ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 212 ขายแตงโมจากโรงเรือนได้ราบรื่นมา
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 212 ขายแตงโมจากโรงเรือนได้ราบรื่นมา
บทที่ 212 ขายแตงโมจากโรงเรือนได้ราบรื่นมาก
…………….
บทที่ 212 ขายแตงโมจากโรงเรือนได้ราบรื่นมาก
เย่ฉางอันยุ่งมาก ตอนนี้เขาเป็นคนสำคัญของหมู่บ้านไปแล้ว
เขาส่งแตงโมที่ต้องส่งไปยังอำเภอเสร็จเรียบร้อย
แต่ระหว่างขับรถก็มีคนหยุดรถเขาเป็นระยะ ถามว่าแตงโมมาจากไหน
ทำเอาเขาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
อย่างไรก็ตาม คนในชนบทที่ซื้อแตงโมมีไม่มาก
แต่เย่ฉางอันก็ไม่รังเกียจคำสั่งซื้อเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ยังสัญญาว่าจะส่งให้ถึงอำเภอด้วย
หลายคนชมว่าเขาเป็นหนุ่มที่มีความสามารถ
เย่ฉางอันรู้สึกเขินอายขึ้นมา
อีกสองวัน เขาจะต้องไปส่งแตงโมและเมลอนที่โรงงานและหน่วยงานในเมืองแล้ว
เนื่องจากได้ตกลงเรื่องคำสั่งซื้อใหญ่ไว้แล้ว ดังนั้นจึงลงมือทำอย่างรวดเร็ว
แค่เปลี่ยนกระเป๋าเงินเป็นใบใหญ่ขึ้น กระเป๋าเงินที่แม่ทำให้เขาแต่เดิมนั้นไม่พอใส่เงินเสียแล้ว
เขาไม่ได้แค่ขายแตงโมเท่านั้น แต่ยังจดบันทึกข้อมูลทุกรายการไว้ด้วย
หนึ่งคือเพื่อให้ชาวบ้านเห็นว่าตัวเองไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
สองคือเพื่อเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ เผื่อว่าในอนาคตมีสินค้าดีๆ จากหมู่บ้านอื่นมาขาย จะได้ติดต่อคนเหล่านี้ได้
เขาไม่ได้ทำธุรกิจแค่ครั้งเดียวนี่นา
ยามค่ำคืน
เย่จื้อผิงเห็นลูกชายค่อยๆ คัดลอกบัญชีลงในสมุด
เขายืนอยู่ด้านหลังลูกชายและมองดู “ตอนลูกเด็กๆ พ่อให้อ่านหนังสือ ลูกก็อยากไปเลี้ยงวัว”
“ตอนเช้าก็หนีเรียนไปจับปลา ไม่ยอมไปโรงเรียนเลย”
“ตอนนี้ลูกกลับตั้งใจเขียนหนังสือและทำสิ่งเหล่านี้จริงๆ ตอนนั้นพ่อคงมองผิดไปที่คิดว่าลูกไม่มีอนาคตน่ะ”
เย่ฉางอันกลับหัวเราะ
“สมัยก่อน กางเกงในผมก็เป็นของที่พี่ชายใส่เหลือ ส่วนเสื้อผ้าอื่นๆ ก็ต้องขอของที่คนอื่นไม่ใช้แล้วมาใส่”
“ของพวกนั้นคนอื่นใส่จนขาดวิ่นแล้ว ผมก็ต้องปะชุนตรงโน้นที ตรงนี้ที”
“ตอนเรียนประถมยังพอไหว ทุกคนก็แต่งตัวขาดๆ กันทั้งนั้น”
“แต่พอเรียนมัธยมต้น ผมรู้สึกอายมาก กลัวคนอื่นจะล้อเลียน”
“ถุงเท้าก็มีแต่รูโหว่ กางเกงในก็ขาดหมด ข้างในเห็นก้นโล่งๆ น่าอายจริงๆ!”
เย่จื้อผิงชะงักไป เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกคนรองผู้มีนิสัยร่าเริงจะไม่ยอมไปเรียนหนังสือด้วยเรื่องแบบนั้น
คิดว่าลูกคนนี้เป็นเด็กโง่ ไม่ชอบเรียน ไม่ใช่ต้นกล้าที่ดี
ไม่คิดว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะอับอายในสภาพครอบครัวที่ยากจนเกินไป ทำให้รู้สึกด้อยค่าตัวเองไปด้วย!
เย่จื้อผิงตบไหล่เย่ฉางอันเบาๆ “เป็นความผิดของพ่อเองที่ไร้ความสามารถ ทำให้พวกลูกต้องลำบาก”
“พ่อครับ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” เย่ฉางอันวางปากกาในมือลง มองใบหน้าของพ่อที่ปรากฏร่องรอยของกาลเวลา “การที่พ่อเลี้ยงดูพวกเราสามพี่น้องจนโตได้ ก็นับว่าเก่งมากแล้วครับ”
“ผมรู้ว่าพ่อก็ลำบาก ที่ต้องประหยัดอาหารเพียงน้อยนิดเพื่อให้พวกเรากิน”
“ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นแล้ว ผมก็สามารถเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้”
เขายิ้มแย้ม “ผมลืมตัวอักษรไปหลายตัวแล้ว ต้องให้เจ้าสามสอนท่องจำตัวอักษรใหม่เลยครับ”
ตอนนี้เย่ฉางอันมีชีวิตที่ดีขึ้น ได้เห็นโลกภายนอก
เขาไม่มีทางยอมจำนนต่อชีวิตธรรมดาๆ ที่ต้องทำไร่ทำนาอีกต่อไป
เขาต้องการเรียนรู้วัฒนธรรม วัฒนธรรมช่างมีประโยชน์ เช่น ตอนนี้เขาสามารถจดบันทึกข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่สั่งสินค้าได้แล้ว
เมื่อทำธุรกิจในอนาคต นี่จะเป็นวิธีที่ฉลาด
และไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะรำคาญ เพราะตอนที่เขาขายแตงโม เขาได้ส่งเมลอนหนึ่งตะกร้าใหญ่ให้กับผู้รับผิดชอบทุกคนแล้ว
ทุกคนต่างมีท่าทีดีต่อเขา
“พ่อ คุณไปนอนก่อนเถอะ พวกคุณต้องไปเก็บแตงโมในไร่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ผมคัดลอกเสร็จแล้วจะไปนอนเหมือนกัน”
เย่จื้อผิงกลับไม่ได้ทำ “ลูกอยู่ข้างนอกคนเดียว ทั้งต้องขับรถ ส่งของ ยังต้องจดบัญชี รับเงิน ชั่งน้ำหนัก แน่นอนว่าคงทำไม่ทัน”
“พรุ่งนี้พ่อจะไปขายแตงโมในเมืองกับคุณ อย่างน้อยก็ช่วยดูแลเรื่องพวกนี้ได้บ้าง”
“งั้นพ่อต้องระวังหน่อย อย่าให้เกิดความผิดพลาดตอนรับเงินล่ะ”
เย่ฉางอันมอบเงินที่เก็บได้สองวันนี้ให้หลี่ชุ่ยชุ่ยเก็บไว้
ส่วนตัวเขาเองนำเงินติดตัวไปเพียงเล็กน้อยสำหรับทอนเท่านั้น
จึงไม่กลัวว่าจะถูกขโมย
“ดีเลย งั้นพรุ่งนี้ไปด้วยกัน พ่อก็จะช่วยผมได้”
เย่ฉางอันก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เย่จื้อผิงออกจากห้องแล้วกลับไปยังห้องของตัวเอง
หลี่ชุ่ยชุ่ยนับเงินอยู่
หล่อนเป็นผู้หญิงที่มีความอดทนและละเอียดรอบคอบ
ทุก ๆ หนึ่งร้อยหยวนถูกรวมไว้ด้วยกัน ทุกหนึ่งพันหยวนถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นหนึ่ง
รับรองว่าไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน
“ฉางอันไปกลับขายแตงโมก็เหนื่อยพอสมควร สองวันนี้ขายแตงโมวันละสองรถ ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันชั่ง”
“ขายมาสามวันแล้ว ก็ขายได้หนึ่งหมื่นหกพันกว่าหยวน”
“แต่พรุ่งนี้เริ่มต้องเก็บเมลอนแล้ว ยังไงก็ต้องช่วยเขาหน่อยนะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะที่บ้านมีเงินหนึ่งหมื่นหยวนแล้ว
คาดว่าในช่วงหลายวันนี้ พวกเขาคงจะตกใจจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว
โชคดีที่หล่อนก็เป็นคนที่มี “วิสัยทัศน์” อยู่บ้างแล้ว แม้จะรู้สึกว่าเงินทั้งหมดนี้เป็นของมีค่า แต่ก็เข้าใจชัดเจนว่านี่คือเงินของหมู่บ้าน จะเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อยไม่ได้
“จิ่นเป่าเคยบอกว่าจะขายแตงโมได้เกินหนึ่งหมื่นหยวน คุณคงไม่คิดว่าจะได้ผลผลิตถึงหนึ่งแสนสองหมื่นชั่งหรอกมั้ง?”
“นี่มันน่ากลัวมากจริงๆ ปลูกในโรงเรือนแบบนี้ได้นับว่าเก่งมากๆ เลย”
“เมลอนก็มีโรงเรือนขนาดเท่ากันอีกมากมาย ราคาขายก็แพงกว่าด้วย หมู่บ้านเราน่าจะได้ผลผลิตประมาณแปดถึงเก้าหมื่นชั่ง”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “คุณยังไม่เห็นเลยว่าสีหน้าท่าทางของทุกคนเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน”
“พอรู้ว่าทำเงินได้ ทุกคนก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้น”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะพูดว่า “แน่นอนสิ ถ้าไม่ได้เงิน ใครจะอยากมีแรงฮึดสู้ขนาดนี้ล่ะ?”
“ฉันแค่ไม่คิดว่า ใกล้สิ้นปีแล้ว จะยังสามารถทำเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ได้”
“ฉันคาดว่าปีนี้ทุกคนจะมีเนื้อกินในวันปีใหม่บนโต๊ะอาหารกันแล้ว”
เย่จื้อผิงฟังหล่อนพูดแบบนั้น ก็มุดเข้าไปในผ้าห่ม ยิ้มแย้มราวกับนึกถึงอาหารมื้อค่ำวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว
เขาห่มผ้านวม ตบท้องตัวเองเบาๆ “วันนี้ฉางอันกลับมา ซื้อเนื้อมานิดหน่อย”
“พรุ่งนี้เช้าคุณเอาเนื้อไปผัด แล้วใช้คลุกกับเส้นก๋วยเตี๋ยวนะ”
“ผมกับฉางอันจะได้ไม่ต้องไปกินก๋วยเตี๋ยวในเมืองให้เสียเงินแล้ว”
“คุณวางแผนซะเสร็จสรรพเลย” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางหัวเราะ “ตอนนี้ไม่ต้องไปนั่งรถคนอื่นแล้ว กินอาหารเช้าเสร็จค่อยออกเดินทางก็ได้”
“มีรถที่บ้านนี่มันสะดวกจริงๆ แต่ก่อนแค่จะคิดยังไม่กล้าคิดเลย ตอนนี้กลับรู้สึกว่า…”
“ก็ดีเหมือนกันนะ”
ทั้งสองคนต่างยิ้มแย้มแล้วเข้านอน
ความสุขจากการเก็บเกี่ยวทำให้พวกเขามีความฝันที่หวานชื่น
มุมปากของพวกเขามีรอยยิ้มบางๆ
หลังจากที่เย่ฉางอันทำงานเสร็จ ก็ไม่ใช่เวลาเช้าแล้ว เขารีบปีนขึ้นเตียง
เขาคำนวณบัญชีของตัวเอง คิดว่าถ้านี่เป็นธุรกิจของตัวเองคงจะดีแค่ไหน
เงินมากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
แต่เขาแค่ต้องทำตามที่จิ่นเป่าบอก คือเรียนรู้ให้มาก พยายามอย่างดี ขยันและมุ่งมั่น
อย่างน้อยชีวิตก็คงไม่แย่
เขาหวังว่าในอนาคตไม่ว่าจะไปที่ไหน ครอบครัวจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
สำหรับเขาแล้ว ครอบครัวคือทุกสิ่งทุกอย่าง การทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา…
ด้วยความหวังเช่นนี้ เขาก็นอนตะแคงหลับไป
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อนาคตรุ่งเรืองใหญ่แล้วฉางอัน นายคือความหวังของหมู่บ้านเลยนะ
ไหหม่า(海馬)
…………….