ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 208 ผักในโรงเรือน
บทที่ 208 ผักในโรงเรือน
…………….
บทที่ 208 ผักในโรงเรือน
เย่เหวินชางตั้งใจกลับมาจากในเมืองหนึ่งเที่ยว และพาแม่กับน้องสาวไปอยู่ในเทศบาลอำเภอด้วย
เย่จื้อเฉียงเห็นบ้านว่างเปล่า เขาก็อยู่ไม่ได้ ผ่านไปไม่กี่วันลูกชายก็ส่งข่าวมาให้เขาเข้าเมืองไปทำงานเป็นยามเฝ้าฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของคนอื่น
เย่จื้อเฉียงที่อยู่บ้านคนเดียวเหงาๆ ก็ยินดีไปทำงานนั้น
ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านชงเถียนรู้กันหมดแล้วว่าครอบครัวของพี่ใหญ่ตระกูลเย่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ทุกคนในครอบครัวมีงานที่มีหน้ามีตาในเมืองกันหมด
ต่อไปนี้พวกเขาก็จะแตกต่างจากคนที่ต้องขุดดินหาอาหารกินแบบนี้แล้ว
มีหลายคนแกล้งล้อเย่จื้อผิงว่าทำไมไม่อาศัยหน้าหลานชายไปหางานทำในเมืองบ้าง?
เย่จื้อผิงได้แต่ยิ้ม
เขาไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับคนอื่นจนหน้าแดงคอพองหรอก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บรรยากาศระหว่างมื้ออาหารในบ้านก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เย่จื้อผิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้ว ในเมืองก็เจริญรุ่งเรืองมาก เทียบกับในหมู่บ้านแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
เย่เสี่ยวจิ่นถือชามอาหาร ฟังเสียงลมหนาวพัดกระโชกอยู่ข้างนอก
“พ่อแม่คะ ตอนนี้โครงสร้างพื้นฐานในหมู่บ้านก็พัฒนาไปมากแล้ว”
“หนูก็คิดว่า ครอบครัวเราน่าจะออกไปพัฒนาที่อื่นได้แล้ว”
“ที่นี่ต่อไปก็ให้เป็นแหล่งผลิตสำรองของเรา แล้วเราไปพัฒนาตลาดที่ใหญ่กว่านี้กันเถอะ”
เย่จื้อผิงชะงักไปครู่หนึ่ง “นี่… ”
“บ้านเรามีที่ดินรกร้าง มีที่ดินส่วนตัว ไปข้างนอกทำไมกัน?”
“แถมในหมู่บ้านนี้เราก็หาเงินได้ ถ้าออกไปข้างนอกจะทำอะไรก็ไม่ได้เลยนะ”
เขามองดูหลิวเยว่แวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เสี่ยวเยว่ก็รู้ดีนี่ ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในเมือง ค่าใช้จ่ายสูงกว่ามากทีเดียว”
หลิวเยว่พยักหน้า “ใช่แล้ว ค่าเช่าบ้านก็ต้องจ่าย แถมทุกอย่างในการใช้ชีวิตล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น”
“มาตรฐานการครองชีพในเมืองก็สูงกว่าด้วย ดังนั้นก็มีที่ให้ใช้เงินมากขึ้น”
“ไม่เป็นไร รอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพวกเราก็จะย้ายไปอยู่ในเมืองกัน” เย่เสี่ยวจิ่นใช้เวลาหนึ่งปีในการเรียนรู้การทำไร่ทำนา และได้พัฒนาการเกษตรในหมู่บ้านชงเถียน
ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
เธอรู้สึกว่าตัวเองนับว่าเป็นชาวนามือใหม่ที่พอจะมีความรู้บ้างแล้ว
แม้ว่าเย่จื้อผิงและหลี่ชุ่ยชุ่ยจะรู้สึกกังวลอย่างมากกับคำพูดของเย่เสี่ยวจิ่น เพราะการใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่มีความมั่นคงเหมือนในหมู่บ้านย่อมมีปัญหาต่างๆ มากมายแน่นอน
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงคุยกันเรื่องนี้ทั้งคืน
ภารกิจ “แรงงานคือศักดิ์ศรี” ของเย่เสี่ยวจิ่นก็สำเร็จลุล่วงแล้ว
สำหรับเธอแล้ว ภารกิจนี้สำเร็จได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เธอไม่สามารถหาแต้มแรงงานหลายร้อยคะแนนได้ในคราวเดียว จึงต้องทำงานวันละ 10 คะแนนเท่านั้น
บางครั้งเมื่อมีธุระที่บ้าน ร่างกายไม่สบาย หรือวันที่ฝนตก ก็ไม่สามารถทำงานได้
เสียงของระบบดังขึ้น [ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่สะสมคะแนนการทำงานได้ 1,000 คะแนน สำเร็จภารกิจ ‘แรงงานคือศักดิ์ศรี’]
[รางวัลของภารกิจคือ การจั่วรางวัลพิเศษหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นการจั่วระดับ S ขึ้นไป มีอัตราการถูกรางวัลใหญ่ที่ 1,000]
[จำนวนครั้งในการจั่วได้ถูกมอบให้แล้ว โฮสต์ต้องการจะทำการจั่วเลยหรือไม่?]
เย่เสี่ยวจิ่นลูบคาง “เพื่อภารกิจนี้ ฉันเหนื่อยมาตลอดครึ่งปีกว่าแล้ว อย่าให้รางวัลขยะมาเชียวนะ”
ระบบ [โฮสต์วางใจได้ อัตราการถูกรางวัลใหญ่นี้จะไม่มีรางวัลขยะแน่นอน]
เย่เสี่ยวจิ่นคิดใคร่ครวญ “ก็จริงนะ อย่างไรก็เริ่มต้นที่ระดับ S แล้ว”
“งั้นเริ่มจั่วเลยแล้วกัน”
เย่เสี่ยวจิ่นสลับไปที่หน้าจั่วรางวัล แล้วกดที่ปุ่มจั่วพิเศษสีม่วงทันที
ในสระสุ่มรางวัลมีแสงสีม่วงไหลเข้ามา
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกใจเต้น ลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที
เธอดูคำอธิบายแล้วพบว่ารถคันนี้ผลิตขึ้นในปี 1965 เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่พิเศษ สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 8,000 ชั่ง
ความเร็วก็สูงมาก ในชนบทใช้รถแทรกเตอร์ธรรมดาสำหรับทำนาและขนของ เมื่อเทียบกับรถบรรทุกมืออาชีพแบบนี้แล้วก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย
เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทุกครั้งที่ได้รับของรางวัล ฉันรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมากๆ”
“การจับรางวัลพิเศษนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
รถคันนี้เพิ่งผลิตออกมาไม่กี่ปี ตอนที่เริ่มผลิตมีเพียง 600 กว่าคันเท่านั้น
มันมีมูลค่าสูงมากอย่างแน่นอน
เย่เสี่ยวจิ่นดีใจจนบอกไม่ถูก ได้รับรางวัลเป็นรถหรูเลยทีเดียว
เธอขับรถเป็น แต่เธอไม่รู้วิธีขับรถบรรทุก ไม่รู้ว่ารถบรรทุกกับรถยนต์มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ด้วยแขนขาเล็กๆ ของเธอแล้ว ตอนนี้เธอก็ยังขับรถไม่ได้อยู่ดี
“ในเมื่อจับฉลากได้เตาเผาอิฐและรถบรรทุกแล้ว งั้นให้พี่ชายคนโตเผาอิฐในหมู่บ้าน แล้วไปสร้างบ้านที่อื่นไม่ได้เหรอ?”
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นยุคที่ล้าหลัง แต่ถนนหนทางก็สร้างไว้ดีพอสมควร
เป็นถนนดินลูกรัง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขับรถ
เย่เสี่ยวจิ่นตอนนี้อายุสี่ขวบครึ่งแล้ว อีกสองเดือนหลังจากฤดูใบไม้ผลิ พอถึงฤดูร้อนก็จะอายุครบ 5 ขวบแล้ว
เธอก็สามารถตั้งรกรากในอำเภอได้ แล้วตั้งใจเรียนหนังสือได้แล้ว
ตอนเช้า หลี่ชุ่ยชุ่ยมาปลุกลูกสาวให้ตื่น เห็นเธอกอดผ้านวมยิ้มเหมือนคนโง่ ก็ไม่รู้ว่าฝันอะไรที่ทำให้มีความสุขขนาดนั้น
หล่อนเห็นเย่เสี่ยวจิ่นดูอวบอิ่มไม่น้อย เหมือนตุ๊กตาโสมน่ารักๆ จึงอดใจไม่ไหวเกาฝ่าเท้าขาวนุ่มของเย่เสี่ยวจิ่น
“จิ่นเป่า ตะวันส่องก้นแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นลืมตาขึ้นทันที “หา?”
“กินข้าวเช้าได้แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นขยี้ตา “ได้ หนูจะลงไปเดี๋ยวนี้”
เธอสวมถุงเท้าและกางเกงฤดูใบไม้ร่วง เช้าตอนนี้อากาศเย็นลงมากแล้ว
เธอจำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หน่อย
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เธอก็ไปดูเมลอนและแตงโมในโรงเรือน
“จิ่นเป่า ลูกมาแล้วเหรอ” หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังถือถังใส่ปุ๋ย “นี่คืออะไรของลูกน่ะ สว่างจัง”
“ในนี้อุณหภูมิเหมือนหน้าร้อนเลย ร้อนจะตายแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม มองดูเครื่องให้แสงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งอยู่บนเพดาน
ที่นี่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศก็จริง แต่อุณหภูมิในฤดูหนาวก็ยังไม่สูงเท่ากับเมืองทางชายฝั่งทะเล
โชคดีที่มีเครื่องให้แสงสว่างนี้ ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อคืนดูเหมือนจะมีฝนตก ในระบบระบายน้ำเต็มไปด้วยสายน้ำไหลเอื่อย
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูเถาแตงโมที่เลื้อยขึ้นไปตามเชือกที่ดึงไว้ ใต้ใบที่อุดมสมบูรณ์นั้นมีแตงโมแต่ละลูกหนักประมาณสิบชั่ง
แตงโมเหล่านี้ถูกแขวนไว้บนค้าง มันจึงไม่ตกลงมา
แต่เป็นเพราะการจัดวางแบบนี้นี่เอง ผลผลิตแตงโมต่อไร่จึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
“พวกแม่อย่าอยู่ในนี้นานเกินไป ระวังเรื่องการระบายอากาศด้วย เดี๋ยวจะอึดอัด”
แน่นอนว่าหลี่ชุ่ยชุ่ยรู้ดี
“อ้อ ลูกไม่ได้ปลูกผักโขมไว้เยอะๆ บนพื้นที่ว่างข้างๆ หรอกเหรอ? ตอนนี้มันโตมากแล้ว จะเก็บเกี่ยวรอบหนึ่งไหม?”
“ได้สิคะ” เย่เสี่ยวจิ่นมองดูผักโขมและผักบุ้งที่ขึ้นเต็มคันนาริมโรงเรือน
เธอเด็ดใบผักมาหนึ่งใบ เห็นได้ชัดว่ากำลังอ่อน ดูน่ากินมาก
“ตอนนี้กำลังพอดีกินแล้ว แม่ไปบอกคนให้เอาตะกร้าไม้ไผ่มา แล้วเก็บเกี่ยวผักในโรงเรือนหมายเลข 1 ทั้งหมด มีลำต้นเหลืออยู่ มันจะงอกใหม่ได้อีก”
“พอเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็โรยปุ๋ยลงไปหน่อย”
“ส่วนกุยช่ายที่ปลูกไว้ท้ายโรงเรือนนั่น แม่บอกทุกคนว่าเอาไปผัดไข่กินได้ ห่อเกี๊ยวก็ได้ แค่อย่าทิ้งมันไป”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่เคยกินกุยช่ายมาก่อน แค่ได้กลิ่นผักสีเขียวนั่นก็รู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกๆ แล้ว
แต่รู้ว่าในเมืองมีขายกันทั่วไป
“ได้”
ตอนเที่ยง หลายคนช่วยกันเก็บเกี่ยวผักในโรงเรือนหมายเลข 1 ทั้งหมด
พวกเขานำผักไปวางไว้บนลานข้างนอกโรงเรือน ใช้ฟางข้าวแห้งมัดรวมกันเป็นมัดๆ แต่ละมัดมีทั้งผักบุ้ง ผักโขม และกุยช่าย
แต่ละครอบครัวสามารถรับไปได้หนึ่งมัด
ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่เอาผักไปผัดอย่างละหนึ่งชามก็เหลือเฟือแล้ว
ชาวบ้านหลายคนรีบมารับ
“โอ้โฮ ฤดูนี้ยังมีผักให้กินอีกเหรอ ดีจังเลย”
“ผักพวกนี้ดูอ่อนกว่าที่พ่อค้าในตำบลขายซะอีก บีบทีก็มีน้ำออกมาเลย”
“สวนผลไม้ของพวกคุณนี่ปลูกอะไรก็ได้จริงๆ เป็นบุญของพวกเราจริงๆ”
ทุกคนต่างมีความสุข
ในฤดูนี้ นอกจากผักกาดขาวและหัวไชเท้าที่พร้อมเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วัน ก็แทบไม่มีผักอะไรให้กินอีกแล้ว
หยางเจวียนแจกจ่ายของให้ทุกคนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
มีคนถามถึงกุยช่าย หล่อนก็บอกให้เอาไปผัดกับไข่
พอถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับฟ้า ผักก็ถูกแจกจ่ายหมดแล้ว
ตอนเย็น หลี่ชุ่ยชุ่ยผัดผักโขมและกุยช่ายกับไข่เป็นหนึ่งชามใหญ่
“กุยช่ายนี่ตอนแรกก็เหม็นเขียวอยู่หรอก แต่พอผัดแล้วกลับหอมมาก”
“อีกไม่นานพวกเราก็จะต้องจัดการไก่ในฟาร์มไก่แล้ว คาดว่าแต่ละครอบครัวจะได้รับแบ่งคนละตัว”
“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะลูกรักษาโรคของไก่ในหมู่บ้านได้สำเร็จ หลังจากนั้นพวกมันก็ตัวใหญ่เป็นพิเศษ แถมฟาร์มไก่ยังฟักไข่ได้ลูกไก่อีกหลายร้อยตัว”
เย่เสี่ยวจิ่นฟังแม่พูดไปด้วย หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบไข่ผัดกุยช่ายเข้าปาก “หอมจริงๆ”
ครอบครัวอื่นๆ ก็ได้กินกันอย่างพอดี
ครอบครัวของเย่ไฉกุ้ยก็ได้รับส่วนแบ่งด้วย
คราวนี้พวกเขาเห็นทุกคนออกไปข้างนอกกันอย่างคึกคัก ก็ไม่ได้มองดูอย่างโง่ๆ อีกต่อไป
แม้ว่าเซี่ยวเฟินฟางจะรังเกียจครอบครัวของเย่เหล่าซาน แต่ก็ไม่ถึงขั้นปฏิเสธอาหาร
หล่อนผัดอาหารมาสองสามชาม แล้วพูดว่า “กินเถอะ”
เซี่ยหลินตอนนี้ตั้งครรภ์ได้กว่าสี่เดือนแล้ว และท้องก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะกินอะไรหล่อนล้วนรู้สึกคลื่นไส้ แต่หลังจากกินผัดผักโขมไปนิดหน่อย หล่อนก็พูดว่า “จานนี้อร่อยดีนะ”
“ฉันอยากกินผักสดๆ จัง ทุกวันนี้กินแต่เต้าหู้ยี้กับผักแห้ง ไม่อร่อยเลยสักนิด”
ตอนนี้เย่ว่านหยวนก็ไม่อยู่บ้าน
มีแต่ตอนที่เขากลับมาจากในเมืองเท่านั้น ถึงจะนำผลไม้และของกินมาฝากหล่อนได้
คืนนี้หล่อนจึงกินข้าวเพิ่มไปหนึ่งชามอย่างหาได้ยาก
แม้ว่าคู่สามีภรรยาเซี่ยวเฟินฟางจะไม่สนใจว่าหล่อนจะเป็นหรือตาย แต่พวกเขาก็ยังห่วงสภาพของหลานชาย
ดังนั้นทั้งสองคนจึงคิดว่าควรจะหาผักโขมมาให้ลูกสะใภ้กินมากขึ้น
แต่ปัญหาก็คือ มันยุ่งยากเหลือเกิน
“ผักโขมนี่เป็นของสวนผลไม้นะ สวนผลไม้น่ะ อยู่ในความดูแลของครอบครัวน้องชายคนเล็ก”
“ไปขโมยมาสักหน่อยไหม? ยังไงก็คงไม่มีใครรู้หรอก”
เย่ไฉกุ้ยคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี
ตกกลางคืนเขาก็แอบย่องไปที่โรงเรือนในสวนผลไม้เพื่อขโมยผักโขม
เขาเพิ่งจะย่อตัวลง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
“ใครน่ะ?” เย่จื้อผิงส่องไฟฉายมา พอเห็นว่าเป็นพี่ชายคนรองของตัวเอง เขาก็ขมวดคิ้ว “พี่นี่ใจร้ายจริงๆ ถึงกับคิดจะมาทำลายโรงเรือนของพวกเราเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่!” เย่ไฉกุ้ยตกใจในตอนแรก แต่พอเห็นว่าเป็นเย่จื้อผิงก็รู้สึกดีกว่าถูกคนนอกจับได้
“ลูกสะใภ้ของฉันกินได้แต่ผักโขม ฉันแค่อยากเอากลับไปสักหน่อย”
เย่จื้อผิงมองเขาอย่างสงสัย แล้วเตือนว่า “แตงโมพวกนี้อีกเดือนครึ่งก็จะออกจากโรงเรือนแล้ว ทุกคืนจะมีคนมาลาดตระเวน”
“ถ้าพี่มีความคิดไม่ดีก็ควรเลิกคิดเสียแต่เนิ่นๆ!”
“ฉันรู้แล้ว ฉันรู้แล้ว…”
เย่ไฉกุ้ยไม่อยากก้มหัวให้ แต่น้ำเสียงก็อ่อนลงเล็กน้อย “นายอย่าบอกคนอื่นนะ ฉันยังไม่ได้ขโมยอะไรสักหน่อย”
“ฉันก็ต้องรักษาหน้าเหมือนกัน ถ้านายเอาไปเล่าต่อ ฉันคงไม่กล้าเจอหน้าใครในหมู่บ้านแล้ว”
แม้ว่าเย่ไฉกุ้ยจะดูถูกคนอยู่บ้าง แต่พูดตามตรง เขาไม่เคยทำเรื่องขโมยไก่จับหมาเลย
เขามองเย่จื้อผิง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร
ถ้าเย่จื้อผิงแก้แค้นเขาโดยตรงด้วยการเอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อ อย่างน้อยเขาก็ต้องถูกวิจารณ์ต่อหน้าพวกผู้นำในหมู่บ้านแน่นอน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยังไงดีนะ จะแบ่งผักโขมให้พี่ชายหรือจะแก้แค้นพี่ชายด้วยการโพนทะนาเรื่องนี้ดี
ไหหม่า(海馬)
…………….