ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 207 ครอบครัวของพี่ใหญ่เย่ไปทำงานในเมือง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 207 ครอบครัวของพี่ใหญ่เย่ไปทำงานในเมือง
บทที่ 207 ครอบครัวของพี่ใหญ่เย่ไปทำงานในเมือง
…………….
บทที่ 207 ครอบครัวของพี่ใหญ่เย่ไปทำงานในเมือง
ผ่านไปสองวัน เย่จู๋ได้แอบมาที่บ้านของเย่เสี่ยวจิ่น
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นหล่อนแล้วจึงถามว่า “สองวันนี้เธอไม่ได้ไปทำงานที่สวนผลไม้เลย มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
เย่จู๋บิดชายเสื้อพลางพูดว่า “ฉันจะไม่ไปทำงานที่สวนผลไม้อีกแล้ว”
“ต่อไปนี้งานเพาะกล้าไม้ทั้งหมดจะต้องให้หลินลี่ลี่ทำแทน”
“ฉันจะไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋องในเมือง หลังจากนี้คงไม่กลับมาทำงานในไร่อีกแล้ว”
เย่จู๋พูดพลางยิ้มอย่างอดไม่ได้ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “ฉันก็จะได้เป็นคนมีความรู้เหมือนพวกเธอแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นมองหล่อน
ตอนแรกที่รู้จักเย่จู๋ เธอคิดว่าคนคนนี้พูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย
แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าหล่อนน่าสงสารในบางด้าน
เย่เสี่ยวจิ่นพูดกับหล่อนอย่างจริงใจว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอไปทำงานในเมืองสักปี หาเงินให้มาก ๆ แล้วค่อยเอาเงินนั้นมาเรียนหนังสือนะ”
“ในอนาคต การทำงานในโรงงานจะไม่ใช่งานที่มั่นคงอีกต่อไปแล้ว”
“และเมื่อมีการเปิดสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ใครๆ ก็จะเข้าสอบได้”
“แม้จะไม่ได้เรียนมัธยมต้นหรือมัธยมปลายมาก่อนก็ยังไปสอบได้”
“เธอยังมีโอกาสในอนาคตนะ”
เย่จู๋ยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณที่เตือนฉันนะ แต่ฉันคิดว่าการได้ทำงานในโรงงานก็ดีแล้ว เดือนหนึ่งได้ตั้ง 10 หยวนเชียวนะ!”
“ส่วนเรื่องเรียน ยังไงสุดท้ายก็ต้องออกไปทำงานอยู่ดี”
“ถ้าฉันเรียนหนังสือหลายปีขนาดนั้น พ่อแม่คงไม่ให้เงินฉันแน่”
“ยังไงก็ถือโอกาสนี้ไปทำงานหาเงินดีกว่า”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ถ้าเธอเชื่อฉัน ก็ใช้เวลาว่างไปเรียนรู้เพิ่มเติมนะ”
เย่จู๋ตอบตกลงและรีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยถือถาดอาหารไก่ออกมาพลางถามว่า “เย่จู๋มาหาแล้วพูดอะไรหรือ?”
“หล่อนบอกว่าจะเข้าไปในเมืองแล้วค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ “แม่ ฉันช่วยไปให้อาหารไก่เองนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพึมพำกับตัวเอง “เข้าไปในเมืองเหรอ? นั่นมันเรื่องดีนี่”
วันต่อมา
ข่าวที่เย่จู๋และหลี่กุ้ยฮวาจะไปทำงานที่โรงงานผลิตอาหารกระป๋องในเมืองก็แพร่สะพัดไปทั่ว
เงินเดือนสิบหยวน มีที่กินที่อยู่ให้ แถมยังแจกเสื้อผ้าอีก
นี่มันช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน
ใต้ต้นไทรใหญ่ในหมู่บ้าน มีผู้คนมากมายนั่งอยู่
“กุ้ยฮวา เธอมีโอกาสดีๆ แบบนี้ ทำไมไม่พาพวกเราไปด้วยล่ะ?”
“ใช่แล้ว นี่มันเป็นงานที่หาเงินได้ถึง 120 หยวนต่อปีเชียวนะ เท่ากับว่าพวกเธอแม่ลูกหาเงินรวมกันได้ได้ถึง 240 หยวนเลย”
ทุกคนต่างชื่นชมกันอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้วคนที่ไปทำงานในโรงงานได้ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากๆ เลยทีเดียว
นี่มันเป็นงานที่ดีและมีหน้ามีตามากเลยนะ
หลี่กุ้ยฮวายิ้มพลางโบกมือ “เหวินชางลูกชายของฉันเป็นคนจัดการให้น่ะ เขาเองก็ยังไม่ได้เข้าทำงานในรัฐบาลอำเภอเลย”
“อำนาจในการพูดยังมีไม่มากพอหรอก การที่เขาจัดการให้พวกเราสองคนเข้าไปทำงานได้ก็ยากมากแล้วละ”
“พอเขาเรียนจบปีหน้าแล้วไปทำงานในรัฐบาล ตอนนั้นฉันจะบอกให้เขาหาโอกาสการทำงานให้คนในหมู่บ้านของเราเพิ่มขึ้นนะ”
หลี่กุ้ยฮวาพูดด้วยท่าทางที่มีหน้ามีตาและอวดอ้างเล็กน้อย
ทุกคนต่างพากันเห็นด้วยและยกยอปอปั้นเป็นธรรมดา
แต่ก่อนนี้หลายคนยังรังเกียจเย่เหวินชาง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่มีการศึกษานั่นแหละที่มีความสามารถจริงๆ
แค่ทำเรื่องง่ายๆ ก็ทำให้น้องสาวและแม่ของตัวเองได้งานที่มั่นคงแล้ว
“เหวินชางช่างมีอนาคตไกลจริงๆ ฉันบอกแล้วว่าเขาเก่งกว่าลูกชายคนที่สามของตระกูลเย่ พวกเธอช่างโชคดีจริงๆ”
“ใช่เลย เมื่อไหร่เหวินชางจะกลับมา ไปกินข้าวที่บ้านฉันสิ ฉันอยากจะขอพรจากเขาหน่อย”
“น่าเสียดายที่เหวินชางมีแฟนแล้ว ไม่งั้นหลานสาวฝ่ายแม่ของฉันก็เป็นคนดีเลิศเชียวนะ”
เย่จู๋ยืนอยู่ข้างๆ ก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร
หล่อนมองซ้ายมองขวา คิดถึงการที่จะต้องออกจากหมู่บ้านไปยังสถานที่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในใจก็รู้สึกกังวลมาก
“เสี่ยวจู๋ เธอช่างโชคดีจริงๆ พี่ชายของเธอจัดการให้เธอแบบนี้ ต่อไปเธอต้องได้แต่งงานกับผู้ชายในเมืองแน่ๆ”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปก็จะเป็นคนมีทะเบียนบ้านในเมืองแล้ว”
“เสี่ยวจู๋หน้าตาสะสวย แน่นอนว่าต้องได้แต่งงานกับคนรวยในเมือง”
หลี่กุ้ยฮวายืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจ “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เหวินชางลูกชายของฉันจะต้องได้เป็นเจ้าหน้าที่ยศสูง เขาจะต้องให้เสี่ยวจู๋แต่งงานกับคนที่มีฐานะดีแน่ๆ”
“ต่อไปเสี่ยวจู๋ก็จะได้พึ่งพาพี่ชายของหล่อน ไม่ต้องกังวลอะไรไปตลอดชีวิตแล้ว”
บรรดาชาวนาหญิงรอบๆ ต่างก็อิจฉากันอีกครั้ง
หงส์ที่บินออกไปจากหุบเขาอันยากจนนี้ ย่อมทำให้พวกเขาทั้งหลายตื่นเต้นและชื่นชมอย่างยิ่ง
มีคนรู้ว่าลูกชายคนที่สามของตระกูลเย่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับทั้งครอบครัวไปแล้ว
จึงตั้งใจเอาอกเอาใจหลี่กุ้ยฮวา “ต่อไปครอบครัวของคุณกับครอบครัวของเย่จื้อผิงคงจะเป็นคนละชั้นกันแล้วสินะ”
“ครอบครัวของเย่จื้อผิงจะเทียบได้ยังไง? ก็แค่ทำไร่ทำนา ชั่วชีวิตก็ไม่มีทางเทียบเท่าคนที่ไปเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้หรอก”
“จะเปรียบกันได้อย่างไร? อนาคตของเหวินชางเป็นถนนโล่งกว้าง แม้พวกเขาจะเก่งกาจแค่ไหนก็ยังเต็มไปด้วยโคลนตม พวกเราไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันอีกต่อไปแล้ว”
หลี่กุ้ยฮวาฟังด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า เสียงหัวเราะแทบไม่ขาดหาย
ในใจก็รู้สึกลอยละล่อง หลังจากอดทนมานานแสนนาน ในที่สุดก็ได้ระบายความอัดอั้นออกมา
ใบหน้าของหล่อนเปล่งปลั่งไปด้วยความสุข “พวกเขาจะเทียบกับพวกเราได้ยังไง? พวกเขาช่างโง่เขลาเสียจริง ทำให้เหวินชางของฉันไม่พอใจ”
“ไม่อย่างนั้น ต่อไปเหวินชางของฉันก็อาจจะจัดการหางานในเมืองให้เย่จวินและเย่ฉางอันได้”
“แต่ครอบครัวของเราก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อพวกเขาไร้น้ำใจเช่นนี้ ก็ไม่ต้องโทษพวกเราที่ไม่ช่วยเหลือพวกเขา”
หลี่กุ้ยฮวาพูดต่อ “แต่ว่านะ อย่างไรเสียพวกเขาก็หยิ่งผยอง ไม่เห็นหัวพวกเราอยู่แล้ว”
หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ฮึ ใครจะรู้ บางทีในอนาคตพวกเขาอาจจะกลายเป็นมหาเศรษฐีก็ได้?”
ทุกคนหัวเราะครืนใหญ่
“มหาเศรษฐี? แค่ทำนาก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีได้เหรอ แล้วทำไมพวกเรายังจนอยู่อย่างนี้ล่ะ?”
“หรือไม่พวกเขาที่ดูถูกคนอื่นก็ไม่รู้ว่าเหวินชางเก่งขนาดไหน บางทีตอนนี้อาจจะเสียใจจนอยากตายแล้วก็ได้”
“ฉันว่าเหวินชางกลายเป็นเศรษฐีนั่นแหละจริง ถ้าต่อไปรวยแล้ว ต้องจำพวกเราเพื่อนบ้านเก่าๆ ด้วยนะ”
หลี่กุ้ยฮวาพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
ตอนนี้ คนในหน่วยก็กลับบ้านไปกินข้าวกันหมดแล้ว
หลี่กุ้ยฮวาเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยในกลุ่มคนก็กลอกตาไปมา นึกในใจว่าพูดถึงเสือเสือก็มาจริงๆ
มีคนชอบดูเรื่องวุ่นวาย จึงทักขึ้นว่า “หลี่ชุ่ยชุ่ย พี่สะใภ้ของเธอจะเข้าไปในเมืองแล้ว ทำไมเธอไม่ไปล่ะ?”
“ใช่แล้ว ในเมืองเดือนละสิบหยวนเชียวนะ นี่ต้องไปหาเงินแน่ๆ”
“เธอยังมีลูกชายสองคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน บอกให้พี่สะใภ้พาเธอไปด้วยสิ ปีหนึ่งก็ได้ตั้ง 120 หยวนนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเดินมากับหลี่ผิง
พอได้ยินคำพูดของพวกเขา ก็ขมวดคิ้ว
หลี่ผิงกลอกตา “พวกเขานี่ช่างน่าขัน ตัวเองก็ไม่แน่ว่าจะไปได้ แต่กลับมาพูดจาเหน็บแนมอยู่ตรงนี้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเม้มปาก “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย พวกเขาตั้งใจพูดแบบนี้”
เห็นได้ชัดว่า แม้แต่หลี่กุ้ยฮวาเองก็ไปได้ยากแล้ว
การพาคนอื่นไปด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลี่กุ้ยฮวาเอามือเท้าสะเอว “ชิ ฉันไม่พาเธอไปหรอก ครอบครัวของพวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเราไปแล้ว ดูถูกญาติที่ยากจน”
“พวกอกตัญญูแบบนี้ พลิกหน้าไม่รู้จักกัน”
“เมื่อก่อนตอนบ้านยากจน ยังมาขอยืมข้าวจากพวกเรา ตอนนี้หาเงินได้ไม่เท่าไหร่ ก็ไม่เห็นหัวใครแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ “คุณอย่าพูดเหลวไหลแบบนี้สิ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น”
“การที่คุณไปหาเงินในเมืองกับเย่จู๋ได้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาต่อว่าฉันอีก”
“ฉันชอบอยู่ในหมู่บ้านนะ แต่ละคนก็มีความคิดไม่เหมือนกัน”
หลี่กุ้ยฮวากลับรู้สึกว่า “นี่เธอแค่อิจฉาที่ตัวเองไม่ได้กินองุ่นแล้วบอกว่าองุ่นเปรี้ยวชัดๆ ลูกสาวเธอเก่งกาจมีอนาคตไกลขนาดนี้ ทำไมหล่อนไม่จัดการหางานในเมืองให้เธอบ้างล่ะ?”
“หรือว่าความสามารถของเธอแค่พอทำนาในหมู่บ้านเท่านั้น พอออกไปข้างนอกก็ไม่มีอะไรให้น่าดูแล้ว?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้าง
เธอไม่สนใจว่าหลี่กุ้ยฮวาจะพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ แต่ไม่อยากให้พูดถึงลูกสาวของเธอ
“จิ่นเป่าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน หล่อนไม่เคยเห็นแก่ตัวเลย”
“พวกเราอาจจะไม่ใช่คนที่มีอนาคตไกล แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องละอายใจ”
หลี่ผิงก็ขมวดคิ้ว “นั่นสิ เธอจะชมลูกชายเธอว่าเก่งก็ชมไป จำเป็นต้องดูถูกจิ่นเป่าด้วยเหรอ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้หรือไง?”
“หรือว่าลูกชายเธออายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว ต้องมาเปรียบเทียบกับจิ่นเป่าเด็กอายุสี่ขวบ ถึงจะดูเก่งขึ้นมาหน่อย?”
“ลองนึกดูสิว่าตอนพวกเธออายุสี่ขวบพูดอะไรออกมาบ้าง ชีวิตยังอีกยาวไกล รอดูกันไปเถอะ”
หลี่ผิงกับซูต้าเฉียงผู้เป็นสามี ต่างเห็นพ้องกันว่าในอนาคตจิ่นเป่าจะต้องมีความสามารถที่ยิ่งใหญ่แน่นอน
หลี่กุ้ยฮวารู้สึกอับอายและไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
อย่างไรเสียตนก็กำลังจะไปเมืองใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับพวกเขาอีก
เมื่อหาเงินได้อย่างมั่นคงแล้ว และเหวินชางก็ทำงานที่นั่น ทั้งครอบครัวก็จะย้ายไปอยู่ในเมืองอย่างแน่นอน
พวกเขาทั้งครอบครัวกำลังจะกลายเป็นคนเมืองในไม่ช้า
ครอบครัวของเย่เหล่าซานก็ได้แต่อิจฉาเท่านั้น
หลี่ชุ่ยชุ่ยกลับถึงบ้านแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกโกรธเล็กน้อย
“ไม่ใช่” หลี่ชุ่ยชุ่ยเล่าทุกอย่างที่หลี่กุ้ยฮวาพูดให้ฟังอย่างละเอียดด้วยความโมโหสุดขีด “คุณว่าพวกเขาจะไปเมืองใหญ่ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องดี แต่ทำไมพวกเขาถึงคิดจะดูถูกฉันล่ะ?”
เย่จื้อผิงทำหน้าเคร่งขรึม “นี่มันเกินไปจริงๆ”
“ครอบครัวของเราไม่เคยคิดจะไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ด้วยนิสัยแบบนี้ของพวกเขา ต่อไปจะอยู่ดีมีสุขคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ถึงไม่มีพวกเรา พวกเขาก็จะไปเปรียบเทียบกับคนใหม่อยู่ดี ชีวิตนี้คงต้องลำบากไปตลอด”
“คุณอย่าโมโหแทนหล่อนเลย ต่อไปหล่อนจะต้องเจอคนที่แข็งกร้าวกว่านี้ ยังมีเวลาให้ลำบากอีกมาก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกว่าสิ่งที่เย่จื้อผิงพูดก็มีเหตุผล
เมื่อหลี่กุ้ยฮวาไปอยู่ในเมือง ก็ยังคงเปรียบเทียบกับคนอื่นทุกวัน แต่นิสัยของคนอื่นอาจไม่ได้ดีกว่าตัวเองเสมอไป
เย่เสี่ยวจิ่นและหลิวเยว่แบกปลาเฉ่ามาที่ริมสระ
น้ำในสระใสสะอาดมากแล้ว ในนั้นมีใบกล้วยและหญ้าที่โยนลงไป นี่คือสิ่งที่พวกเธอไปหามาตั้งแต่เช้า
ในถังเต็มไปด้วยปลาเฉ่าขนาดหนึ่งถึงสองจั้ง เกล็ดปลาเป็นประกายสดใส ดูมีชีวิตชีวามาก
“ปลาพวกนี้ดูดีนะ” หลิวเยว่มองปลาที่ปล่อยลงสระ ปลาตัวเล็กๆ ก็ว่ายเข้าไปใต้ใบกล้วยทันที
“ไม่ต้องปรับตัวก็ไปกินหญ้าได้เลย”
“ฉันเพิ่งเคยเห็นปลาเฉ่าที่มีชีวิตชีวาขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันต้องโตได้ใหญ่มากแน่ๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “แล้วเราจะได้กินปลาเฉ่าเมื่อไหร่ล่ะ?”
“คงต้องใช้เวลาสักสองสามปี ปลาเฉ่าอายุสามปีสามารถโตได้ถึงเจ็ดแปดกิโลกรัม”
เย่เสี่ยวจิ่นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “งั้นมันก็โตช้าเกินไปแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้งานในเมืองแค่นี้ก็อวดขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้อนาคตเลยว่าอยู่ในเมืองแล้วจะเป็นยังไงจะได้เจอคนแบบไหน เดี๋ยวได้โดนดีแน่หลี่กุ้ยฮวา
ไหหม่า(海馬)
…………….