ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 206 เย่เหวินชางได้กอดต้นขาคนใหญ่คนโต
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 206 เย่เหวินชางได้กอดต้นขาคนใหญ่คนโต
บทที่ 206 เย่เหวินชางได้กอดต้นขาคนใหญ่คนโต
…………….
บทที่ 206 เย่เหวินชางได้กอดต้นขาคนใหญ่คนโต
“จื้อผิง! มีอะไรก็พูดกันดีๆ อย่าใจร้อนสิ!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบเข้าไปห้ามจื้อผิง แต่ความที่หล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียว จะไปห้ามผู้ชายร่างกำยำได้อย่างไร
เห็นเย่จื้อผิงวิ่งไปแล้ว หล่อนก็รีบวิ่งตามไป
“จื้อผิง คุณไม่มีหลักฐานอะไรเลย อย่าไปก่อเรื่องเลยนะ”
เย่จื้อผิงโมโหจัด วิ่งไปอย่างเร็วรี่
ครอบครัวของเย่ไฉกุ้ยกำลังกินข้าวกันอยู่
เย่ไฉกุ้ยยิ้มแย้มแจ่มใส นั่งไขว่ห้าง ทั้งยังฮัมเพลงเบาๆ สองสามท่อน
“ทำไมคุณดูมีความสุขจัง?” เซี่ยวเฟินฟางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลย เอาแต่ร้องรำทำเพลงอยู่นั่น”
“ดูบ้านน้องชายสามสิ ทั้งขุดบ่อ ทั้งปลูกผัก ส่วนคุณไม่มีอะไรเลย ยังมีหน้ามายิ้มอีก!”
“ไร้สาระ” เย่ไฉกุ้ยพูดอย่างหงุดหงิด “ผมบอกคนเลี้ยงวัวให้ต้อนฝูงวัวไปที่หุบเขาวัวแล้ว”
“ผักน้อยนิดของพวกเขาคงถูกวัวกินหมดแล้วละ”
“พวกเขาคงต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด นั่นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ?”
เซี่ยวเฟินฟางชะงักไปครู่หนึ่ง “ทำไมคุณถึงแอบแทงข้างหลังคนอื่นเหมือนหลานชายของคุณไปได้ล่ะ?”
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ผมแค่พูดไปงั้นๆ ใครจะมาโทษผมได้ล่ะ?”
เย่ไฉกุ้ยแสดงความเป็นจิ้งจอกเฒ่าออกมา “รอให้พี่ใหญ่กับน้องสามปล่อยปลาลงบ่อก่อน ตอนกลางคืนฉันจะแอบไปใส่ยาฆ่าแมลง”
“ฮึ พวกเขาสนใจแต่ที่ดินของตัวเอง คิดว่าฉันโง่งั้นเหรอ”
“คิดว่าฉันเป็นพระอิฐพระปูนงั้นเหรอ?”
เย่ไฉกุ้ยโกรธแค้นพี่น้องสองคนนั้นมาก เพราะพวกเขาไม่พาเขาไปดูที่ดินรกร้าง
เซี่ยวเฟินฟางก็พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ใช่แล้ว เราเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่พวกเขากลับไม่อยากเห็นเราได้ดี”
“พวกเขาช่างใจร้ายเหลือเกิน”
“แต่ก่อนไม่มีเงินก็รู้จักมาขอยืมพวกเรา พอมีเรื่องดีๆ ก็หน้าไม่อายหันหลังให้คนรู้จัก”
“ช่างเป็นเดรัจฉานที่ดูถูกคนจริงๆ ฉันขอถุยน้ำลายรดพวกแก!”
เซี่ยวเฟินฟางด่าทออย่างเดือดดาล ในใจก็รู้สึกโกรธแค้น
ทันใดนั้น เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านนอก
“ต่อให้ผมจะเลวร้ายแค่ไหน ก็ยังไม่เลวร้ายเท่าพวกพี่หรอก!”
ทั้งสองคนสะดุ้งพร้อมกัน ไม่คิดว่าเย่จื้อผิงจะมาที่นี่
ต่างลุกขึ้นยืนในทันที
เย่ไฉกุ้ยไม่นึกกลัว เขากล้าพูดก็กล้าทำ เขาไม่เพียงแต่จะพูดลับหลัง แต่ยังจะด่าเขาต่อหน้าอีกด้วย
จะด่าให้ไอ้คนเนรคุณนี่ได้สติสักที
แต่เย่จื้อผิงไม่ได้ให้โอกาสเขาพูดเลย พุ่งเข้ามาแล้วฟาดไม้ใส่ทันที
“อ๊าก!”
เย่ไฉกุ้ยถูกฟาดล้มลงบนพื้น จมูกและปากของเขาเต็มไปด้วยเลือดในทันที
เขาโกรธมาก ลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่เย่จื้อผิง
แต่เขาทำงานสานไม้ไผ่มาตลอด แรงของเขาจึงสู้เย่จื้อผิงไม่ได้ จึงถูกฟาดล้มลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว และถูกกดไว้แน่นพร้อมกับโดนทุบตี
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบวิ่งมา เรียกเซี่ยวเฟินฟางมาช่วยแยกทั้งสองคนออกจากกัน
เย่จื้อผิงโยนไม้ฟืนในมือทิ้ง ชี้ไปที่เย่ไฉกุ้ยที่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น
“ไอ้พี่เลว! แกกล้าแอบทำร้ายฉันเหรอ ดูสิว่าฉันจะกล้าตีแกหรือเปล่า!”
“อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องสกปรกที่แกทำนะ”
“แปลงผักของบ้านฉันกว่าจะลงกล้าเสร็จ ก็ถูกแกทำลายไปแบบนี้”
เขาคิดแล้วก็หัวร้อน จึงเตะพี่ชายคนรองของตัวเองอีกสองที
ไม่มีความรู้สึกเป็นพี่น้องกันเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
หลิวต้าเม่ยและเย่จื้อเฉียงก็รีบร้อนมาถึง
เมื่อเห็นเย่ไฉกุ้ยนอนอยู่บนพื้น หลิวต้าเม่ยตกใจจนแทบช็อก “ทำไมถึงมีเลือดออกเยอะขนาดนี้ เจ้าสาม แกเป็นสัตว์เดรัจฉานชัดๆ แกทำร้ายพี่รองของแกได้ยังไง”
ความอดทนของหลิวต้าเม่ยที่มีต่อเย่จื้อผิงถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
แม้นางจะหวังให้ครอบครัวลูกคนที่สามสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล แต่ลึกๆ แล้วนางรักลูกคนโตและคนรองมากกว่า
เมื่อเห็นลูกคนรองถูกลูกคนที่สามทำร้าย นางก็อยากถามเย่จื้อผิงว่ากล้าดีอย่างไร?
“แกอาศัยที่ตอนนี้บ้านมีเงินหน่อย ก็เลยคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบใช่ไหม?”
“แกลองคิดดูสิ ตอนที่พี่รองของแกเคยมีเงินมากกว่าแก เขาก็ไม่เคยลงมือทำร้ายแกแบบนี้นะ”
“แค่มีเงินนิดหน่อยก็กล้าทำร้ายคนแล้ว ต่อไปแกคงจะฆ่าคนวางเพลิงเป็นโจรในคุกแน่ๆ”
หลิวต้าเม่ยด่าอย่างไม่ไว้หน้า น้ำลายกระเด็นออกมา
นางปกป้องลูกชายคนรองที่ตนรักและเป็นห่วง พลางมองเย่จื้อผิงด้วยสายตาเหมือนมองศัตรู
สายตาแบบนั้นทำให้เย่จื้อผิงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น!
“แม่ครับ เขาเป็นคนยุยงให้คนอื่นใช้วัวมาทำลายแปลงผักของผม”
“เขาทำขนาดนี้แล้ว ผมตีเขาเพื่อระบายความโกรธจะเป็นไรไปครับ?”
“ก็แค่แปลงผักไม่กี่แปลงเอง!” หลิวต้าเม่ยโกรธจนผลักเย่จื้อผิง “ดูตัวเองสิ เป็นบ้าไปแล้วหรือ”
“แปลงผักไม่กี่แปลงสำคัญกว่าพี่รองของแกอีกเหรอ? เขาแค่ล้อเล่นกับแกเท่านั้นเอง แกถึงกับโกรธขนาดนี้ นิสัยแกนี่แย่มากจริงๆ”
“ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าแกจะเป็นเหมือนพวกนักเลงหัวไม้ไปแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
เย่ไฉกุ้ยเอามือปิดหน้า “แม่ครับ ผมเลือดออกเยอะขนาดนี้ ผมคิดว่าคงบาดเจ็บภายในแล้ว”
“จื้อผิง… แกช่างโหดร้ายเหลือเกิน จะตีฉันให้ตายเลยหรือไง”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เขาไม่ฟังคำพูดของฉันเลย แล้วก็ตีฉันจนเป็นแบบนี้”
หลิวต้าเม่ยยิ่งโกรธมากขึ้น ไม่ฟังเหตุผลใดๆ ตบหน้าเย่จื้อผิงไปทันที
จากนั้นก็หันไปจะตีหลี่ชุ่ยชุ่ยด้วยความแค้น “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแกนี่แหละ นังผู้หญิงต่ำช้า แกต้องเป็นคนยุยงเขาแน่ๆ”
“พวกเขาเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แกกลับมาทำเรื่องแบบนี้ลับหลัง แกสมควรตายนัก!”
“ฉันจะตีแกให้ตาย นังผู้หญิงเลว!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตกใจ รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เย่จื้อผิงคว้าข้อมือของหลิวต้าเม่ยไว้ทันที “พอได้แล้ว! ผมทนไม่ไหวแล้ว!”
เขาแทบจะตะโกนออกมา ราวกับระบายความโกรธ “ขอตัดญาติขาดมิตร ตัดความสัมพันธ์กันทั้งหมด!”
เขาสลัดมือหลิวต้าเม่ยออก “ถ้าพวกแม่มายุ่งกับผมอีก ผมจะถือมีดบุกมาที่บ้านเลย”
เขาพูดจบโดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
แล้วก็พาหลี่ชุ่ยชุ่ยเดินออกไปทันที
เย่เสี่ยวจิ่นและหลิวเยว่ที่ซ่อนตัวอยู่ข้างบ้านไม่กล้าออกไป
หลิวเยว่แทบไม่กล้าหายใจ “ปกติพ่อเป็นคนอารมณ์ดีมาก ทำไมถึงโกรธขนาดนี้นะ”
“พี่ไม่เข้าใจหรอก นี่เรียกว่าคนใจเย็นก็มีโทสะสามส่วน แถมคงอัดอั้นมานานแล้ว สวนผักแค่เป็นชนวนเท่านั้น”
“หนูคาดการณ์ไว้แล้วว่าพ่อของเราจะมีวันนี้”
“อย่าได้รังแกคนใจดีเป็นอันขาด เพราะเมื่อคนใจดีถึงคราวโมโหขึ้นมา ก็น่ากลัวมากเหมือนกัน”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดอย่างมีเหตุผล
หลิวเยว่คิดว่าเธอจะกังวลเรื่องพ่อ แต่ไม่คิดว่าเธอจะวิเคราะห์สถานการณ์แบบนี้
“สระน้ำของเราปล่อยน้ำมาหนึ่งวันแล้ว บ่ายนี้น่าจะใสแล้ว จะปล่อยปลาลงไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นหันหน้าไปพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปดูกันหน่อย”
ในห้อง หลิวต้าเม่ยกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเย่ไฉกุ้ย
ความจริงแล้ว เย่จื้อผิงไม่ได้ลงมือหนักอะไรเลย เขาระมัดระวังตัวอยู่
แค่ทำให้ริมฝีปากของเย่ไฉกุ้ยแตก จึงมีเลือดกบปากเท่านั้น
“เจ้าสามไอ้สารเลวนั่น ตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเราก็ดีแล้ว”
“พวกเราไม่ได้หวังอะไรจากพวกเขาเลย แต่กลับต้องถูกรังแกทุกวัน”
“เมื่อก่อนก็ลูกคนโต ตอนนี้ก็ลูกคนที่สาม สักวันคงจะมาทุบตีพวกเราคนแก่ทั้งสองคนด้วย”
หลิวต้าเม่ยพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เจ้ารอง เจ็บไหม? ต้องเจ็บมากแน่ๆ เลย”
เย่ไฉกุ้ยตั้งใจพูดว่า “เจ็บสิครับ มันเล่นเอาท่อนไม้ใหญ่ขนาดนี้มาตีผม”
เย่จื้อเฉียงยืนดูอยู่ข้างๆ เหมือนกำลังดูละคร
ทางฝั่งลูกชายของเขาส่งข่าวมาว่าจะสั่งสอนเย่เสี่ยวจิ่นอย่างหนัก
เขาแค่รอดูครอบครัวของเจ้าสามเดือดร้อนก็พอแล้ว
ส่วนครอบครัวของเจ้ารองก็ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน ยังจะไปทำลายที่ดินของคนอื่นอีก
เย่จื้อเฉียงถึงกับรู้สึกโล่งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามทุบตีเขาไปแล้ว คงไม่ช้าก็เร็วที่เย่ไฉกุ้ยจะมาลงมือกับเขาเอง
ถ้าตอนนั้นบ่อปลาของเขามีปัญหา ก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เย่จื้อผิงนั่งอยู่ที่บ้านด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ไม่ปลอบใจเขาสักคำ ได้แต่วุ่นวายกับธุระของตัวเอง
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นกับหลิวเยว่ไปดูบ่อปลา
เธอพูดว่า “น้ำยังไม่ค่อยใสเท่าไหร่ ปล่อยไว้อีกสองสามวันเถอะ พวกเราก็ไม่รีบร้อน”
“จิ่นเป่า ฉันเตรียมจะกลับบ้านแม่ในอีกไม่กี่วัน ที่นั่นมีตลาดนัด เธออยากให้ฉันซื้ออะไรกลับมาฝากไหม?”
“ทางโน้นมีร้านขายไก่ผัดพริกแห้ง รสชาติอร่อยมาก”
“ยังมีร้านขายเต่าด้วย รสชาติดีเยี่ยมเลยล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นสนใจเรื่องอาหารมาก “ดีเลย หนูชอบกินของอร่อย ราคาเท่าไหร่คะ? หนูจะจ่ายให้เอง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเงินแล้วล่ะ”
เย่จื้อผิงเดินไปเดินมาด้วยความโมโห
ไม่นานความโกรธของเขาก็จางหายไป
“ชุ่ยชุ่ย ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นเขาไปหยิบพร้า ก็รู้สึกไม่สบายใจทันที “คุณจะทำอะไรน่ะ?”
“ผมจะไปตัดไม้ไผ่มาล้อมสวนผัก” เย่จื้อผิงพูด “ยังดีที่เป็นแค่ต้นกล้า ถ้าเป็นผักที่โตพอกินได้แล้วโดนทำลายคงจะน่าโมโหกว่านี้”
“ผมจะล้อมรั้วรอบทั้งด้านในและด้านนอก อยากรู้ว่าต่อไปจะมีอะไรผิดพลาดอีกไหม”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อล้อมรั้วสวนผักไว้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร
“งั้นคุณไปเถอะ”
เย่จื้อผิงจึงขึ้นเขาไป
ทางด้านเทศบาลอำเภอเชียนอิน
เย่เหวินชางและหวังหลินนั่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ตรงข้ามพวกเขาคือชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเรียบร้อย
เขาคือเจียงซิน พี่ชายของหวังหลิน
เขาสวมนาฬิกาใหม่ที่เพิ่งซื้อมา อดไม่ได้ที่จะอวด “น้องสาว ดูซิว่าสวยไหม?”
“สวยค่ะ” หวังหลินยิ้มพลางพูด “เดือนนี้พี่คงหาเงินได้ไม่น้อยสินะ?”
หล่อนยื่นมือออกไป “ไม่แบ่งให้ฉันบ้างเลยเหรอ?”
เจียงซินตบมือของหวังหลินเบาๆ แล้วพูดว่า “เธอช่วยแนะนำแฟนสาวให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะให้ซองอั่งเปาใหญ่เลย”
“ไปให้พ้น พี่อายุเท่าไหร่แล้ว ยังคิดจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนอีก ไม่อายเหรอ?”
หวังหลินกลอกตาใส่
เย่เหวินชาง รู้สึกอึดอัดใจ
เขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูง และคิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแบบนี้ เขารู้สึกว่ามันยากมากที่จะก้มหัวให้
“นายคือเหวินชางใช่ไหม? ฉันรู้เรื่องของนายหมดแล้ว และได้จัดการทุกอย่างให้นายเรียบร้อยแล้ว”
“ก็แค่สั่งสอนพวกบ้านนอกไม่กี่คนเท่านั้นเอง นายวางใจได้ ฉันจัดการให้ทั้งหมดแล้ว”
เจียงซินมองออกว่าเขาเป็นหนอนหนังสือที่ค่อนข้างเก็บตัว จึงอดรู้สึกขำไม่ได้ “ที่บ้านนายมีผู้หญิงไหม?”
เย่เหวินชางรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที “พี่หมายความว่ายังไงครับ?”
หวังหลินก็จ้องเจียงซินอย่างดุดัน “พี่ชาย!”
เจียงซินรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้าย “พวกเธอคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนกัน? ฉันแค่ปากไวไปหน่อย แต่ฉันเป็นคนจริงจังนะ”
“ฉันแค่คิดว่า ในเมื่อเจอน้องเขยครั้งแรก ก็ควรจะมีอะไรแสดงน้ำใจบ้าง”
“อย่างเช่นจะช่วยหางานให้อะไรทำนองนี้”
“จริงเหรอ?” หวังหลินดีใจทันที ขยิบตาส่งสัญญาณให้เย่เหวินชาง “พี่ชายฉันเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง ถ้าจะจัดหางานให้คนในครอบครัวคุณ รับรองว่าดีแน่นอน”
เย่เหวินชางเริ่มหายโกรธ และรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง
เขากลืนน้ำลาย “แม่และน้องสาวของผมทำงานในไร่นา”
เจียงซินพยักหน้า “เป็นอย่างนั้นนี่เอง โรงงานของเราตอนนี้กำลังไปได้ดี แต่ในสายการผลิตยังขาดคนงานหญิงอยู่สองสามคน”
“ไม่จำเป็นต้องมีทักษะอะไรมาก แค่ขยันขันแข็งก็พอ”
“เดือนหนึ่งก็ได้ 10 หยวน รับรองว่าดีกว่าทำไร่ทำนาแน่นอน”
เขาเชิดคางขึ้นพูดว่า “ฉันเป็นผู้จัดการโรงงาน ก็พอมีอำนาจอยู่ในมือบ้าง”
“แต่จะจัดการให้เฉพาะคนในครอบครัวของเธอเท่านั้น ส่วนญาติคนอื่นๆ ขอยกเว้น”
“ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมีอำนาจตัดสินใจ ก็คงยากที่จะเข้าไปทำงานได้”
พูดจบ เขาก็มองไปที่เย่เหวินชาง
เย่เหวินชางลังเลอยู่ในใจ แต่ก็ยกแก้วขึ้นรินเหล้า “ขอบคุณพี่ชาย ผมขอดื่มอวยพรคุณแก้วหนึ่ง”
เจียงซินจึงพยักหน้าอย่างพอใจ “แบบนี้สิถูกต้อง พวกผู้ชายในครอบครัวเราล้วนคุยธุระกันบนโต๊ะเหล้า นายก็ห้ามทำตัวแปลกแยก”
หวังหลินพูดยิ้มๆ “เหวินชาง พี่ชายฉันถือว่าคุณเป็นคนในครอบครัวแล้วนะ”
เย่เหวินชางหน้าแดงเพราะฤทธิ์เหล้า เขาไม่คิดว่างานในเมืองที่คนอื่นใฝ่ฝันจะได้มาเพียงแค่ดื่มเหล้าแก้วเดียว
ความปรารถนาในใจเขาพองโต ยิ่งกระหายที่จะมีเส้นสายแบบนี้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ลองมาลงกล้าผักทั้งวันแล้วพบว่าต้นกล้าผักในแปลงตัวเองโดนวัวเหยียบมั่งสิ จะโมโหเหมือนกันไหม พูดมาได้นะแม่เฒ่าว่าพี่ชายล้อน้องชายเล่น
เหวินชางได้เส้นสายคนในเมืองแล้ว น่ากลัวจริงๆ
ไหหม่า(海馬)
…………….