ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 204 ทำอาหารอร่อย
บทที่ 204 ทำอาหารอร่อย
…………….
บทที่ 204 ทำอาหารอร่อย
เย่จื้อผิงไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นถือกล่องเมล็ดพันธุ์ออกมาจากบ้าน
เธอชำเลืองมองทั้งสองคนแล้วพึมพำว่า “พังพอนมาอวยพรไก่ ไม่มีเจตนาดีแน่ อย่ามายืนขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้เลย เห็นพวกเธอแล้วรำคาญ”
สีหน้าของหวังหลินแข็งค้าง อยากจะสั่งสอนเด็กหญิงไร้มารยาทคนนี้แทนเย่จื้อผิงและหลี่ชุ่ยชุ่ยเหลือเกิน
ปกติที่บ้านหล่อนก็มีน้องชายหนึ่งคน
แต่พ่อแม่ก็รักหล่อนมาก หล่อนจึงมีนิสัยเอาแต่ใจและเอาอกเอาใจคนเก่ง
ญาติๆ ต่างชื่นชมหล่อนไม่หยุดปาก
หล่อนมีวิธีการเอาใจญาติๆ เป็นของตัวเอง
แต่ตอนนี้ การอบรมสั่งสอนมาหลายปีของหล่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่นี่
หล่อนอยากจะตบหน้าเย่เสี่ยวจิ่นสักสองที ให้เธอรู้สำนึกว่าไม่ควรปากจัดแบบนี้อีก!
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นสายตาของหวังหลินที่มองมาที่ตัวเองราวกับจะพ่นไฟได้ ก็คิดในใจว่าช่างเป็นคนอารมณ์ร้อนเสียจริง
เธอส่ายหน้าแล้วเดินเข้าครัว
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบเรียกเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า อย่าไปสนใจพวกเขาเลย”
“ดูสิ เต้าหู้ของเราหมักได้ที่แล้ว มีขนขาวๆ ขึ้นมาแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเปิดฝาโอ่งให้เย่เสี่ยวจิ่นดู
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกแปลกใจ เต้าหู้มีขนขึ้นแล้ว แต่ดูสะอาดมาก
ตัวเธอเองก็ไม่รู้สึกว่ามันไม่ถูกสุขอนามัย…
ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
หลี่ชุ่ยชุ่ยหยิบตะแกรงใบใหญ่มา แล้วใช้ผ้าขาวชุบน้ำปูลงในตะแกรง จากนั้นใช้ตะเกียบคีบก้อนเต้าหู้ทั้งหมดออกมา
เย่เสี่ยวจิ่นยื่นมือออกไปแตะ แล้วกดลงไปบนก้อนเต้าหู้จนเป็นรอยบุ๋ม
“โอ๊ะ นุ่มเกินไปแล้ว ขนพวกนี้นุ่มจัง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นว่าลูกสาวไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ก็รู้สึกขำนิดหน่อย
“ลูกอย่าไปจับมันสิ พวกเรากำลังจะทำอาหารกินนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นกางมือทั้งสองข้าง “หนูล้างมือแล้ว สะอาดเอี่ยมเลย”
“ลูกน่ะล้างมือแล้วก็ไปลูบหมาอีก คิดว่าแม่ไม่เห็นหรือไง” หลี่ชุ่ยชุ่ยยื่นมือไปแตะหน้าผากลูกสาวเบาๆ “ก็เหมือนตอนที่ลูกเอาลูกอมให้พ่อกินทุกครั้งนั่นแหละ”
“แต่ดีที่พ่อไม่รังเกียจมือสกปรกของลูกอยู่แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นยังอยากจะแก้ตัวอยู่
แต่พอคิดดูดีๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แล้วก็หยิบขวดแก้วหลายใบที่เย่เสี่ยวจิ่นหามาก่อนหน้านี้
หล่อนใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่งจุ่มลงในเหล้าขาว กลิ้งในผงพริก ก่อนจะใส่ลงในขวด
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูอย่างสนใจ ไม่รู้สึกเบื่อเลย
เธอนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองแม่ทำเต้าหู้ยี้จนเสร็จทั้งหมด
รวมแล้วได้เจ็ดแปดขวดใหญ่เลยทีเดียว
“เต้าหู้พวกนี้มีเยอะจนเก็บไว้กินได้อีกนานเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยปิดผนึกทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เก็บเต้าหู้ยี้ทั้งหมดไว้ในตู้ครัว
“แล้วตอนนี้เราจะได้กินไหมคะ?” เย่เสี่ยวจิ่นถาม
“รออีกสักสองสามวันนะ เพิ่งใส่เหล้าขาวกับน้ำมันลงไปเอง” หลี่ชุ่ยชุ่ยตอบ
เต้าหู้ยี้กินคู่กับขนมจี่บาย่างถึงจะเข้ากันสุดๆ
ตอนเช้ากินขนมจี่บาใส่เต้าหู้ยี้ ทั้งหอมทั้งอิ่มท้อง ไม่ต้องกินมื้อเที่ยงเลย
เย่เสี่ยวจิ่นรู้ดีว่าข้าวเหนียวทำให้อิ่มท้องได้นาน
“แล้วเราจะทำขนมจี่บาเมื่อไหร่คะ?” เธอถาม
“ปกติเราทำกันช่วงครึ่งเดือนก่อนปีใหม่ ตอนนี้เพิ่งเดือน 11 ยังเป็นปลายเดือน 10 อยู่เลย ต้องรออีกเดือนกว่าๆ” หลี่ชุ่ยชุ่ยตอบ
เย่เสี่ยวจิ่นคิดสักครู่ “ที่บ้านเรามีข้าวเหนียวอยู่แล้วนี่ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอถึงปีใหม่ก็ได้นี่คะ”
“พอดีช่วงนี้กำลังยุ่งกับงานในไร่ ทำขนมจี่บาไว้กินจะสะดวกและประหยัดเวลามาก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดสักครู่ แล้วรู้สึกว่าก็เป็นความคิดที่ดี
ด้านนอก
เย่จื้อผิงนั่งอยู่บนเก้าอี้
เย่เหวินชางและหวังหลินกลับไปแล้ว
เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เอามาดมที่ใต้จมูก แต่ก็ไม่ได้สูบ
แต่ก่อนเย่จื้อผิงเคยสูบบุหรี่
ปกติเวลาเหนื่อยล้ามาก การสูบบุหรี่ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าได้บ้าง
แต่เพราะลูกสาวป่วยมาตั้งแต่เด็ก ไอมาก ถ้าเขาสูบบุหรี่จะทำให้ลูกไอหนักขึ้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สูบบุหรี่มาหลายปีแล้ว
ครั้งนี้ก็มีคนยัดใส่มือเขาอีกแล้ว
เขาไม่มีทางสูบบุหรี่หรอก หมอบอกแล้วว่าการสูบบุหรี่ไม่ดีต่อเด็กที่ไอ
หลี่ชุ่ยชุ่ยออกมาข้างนอก เห็นสภาพเขาแบบนี้ จึงถามว่า “คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก เหวินชางเด็กคนี้ ตอนนี้เปลี่ยนไปจริงๆ” เย่จื้อผิงเก็บบุหรี่มวนเข้ากระเป๋าทันที ลุกขึ้นยืนพลางถอนหายใจ “เมื่อก่อนตอนเขายังเด็ก ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะ”
“เมื่อก่อนตอนเหวินชางเรียนหนังสือ ช่วงที่หลี่กุ้ยฮวาคลอดเสี่ยวจู๋ ผมเป็นคนไปส่งเขาที่โรงเรียนทุกเช้า”
“ตอนนี้มุ่งมั่นแต่จะหาทางลัดอย่างเดียว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นเขานึกถึงอดีต จึงพูดว่า “โอ๊ย คุณคิดถึงเรื่องพวกนี้ทำไม ลูกๆ ในบ้านของตัวเองยังจัดการไม่เรียบร้อยเลย ยังจะไปคิดถึงเรื่องของคนอื่นอีก?”
“ยังไงแต่ละคนก็มีโชคชะตาของตัวเอง ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีเหวินชางอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้”
“ใครจะไปรู้เรื่องในอนาคตได้ล่ะ คุณก็ลองคิดดูสิ เหวินชางเป็นคนฉลาด เขาจะยอมเสียเปรียบเหรอ?”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉางอันกับเสี่ยวจวินเป็นยังไงบ้าง”
“พวกเขาสองคนทำงานหนักมาก ฉันไม่ค่อยเป็นห่วงหรอก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางยิ้ม “พวกเราทำขนมจี่บากันเถอะ พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้พวกเขา จะได้ดูด้วยว่าสร้างบ้านไปถึงไหนแล้ว”
“คุณไม่ได้บอกหรอกเหรอว่ามะรืนนี้จะปลูกผัก? พรุ่งนี้พวกเราพักผ่อนกันสักวันดีกว่า”
“ชุ่ยชุ่ย บ้านเรายังมีถั่วแดงอยู่ไหม?” เย่จื้อผิงถาม
ขนมจี่บานี่ต้องใส่ถั่วแดงถึงจะอร่อย
“มีสิ ที่แบ่งมาปีนี้ยังไม่ได้กินเลย แค่เอาไปต้มให้จิ่นเป่ากินไปชามเดียวเท่านั้นเอง” หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดแล้วรีบพูด “ถ้าจะทำขนมจี่บาถั่วแดง ต้องรีบเอาถั่วแดงไปแช่น้ำก่อนนะ”
“ถั่วแดงนี่ต้องลอกเปลือกออก นึ่งให้สุกแล้วบดให้เป็นเนื้อถั่วแดง ใส่น้ำตาลทรายลงไปถึงจะอร่อย”
พูดจบก็ไปหยิบถั่วแดงกับแป้งขนมจี่บามา
ปีก่อนๆ แม้พวกเขาจะทำขนมจี่บา ก็ทำแต่แบบไม่มีไส้
เพราะว่าใส่ไส้ลงไปในขนมจี่บา ทำให้เก็บไว้ได้ไม่นานเท่าใด
บางครั้งทำแค่ไม่กี่ชิ้นก็กินหมดในวันแรกแล้ว เพราะขนมจี่ป่าไส้ถั่วแดงเป็นของหายากจริงๆ
เย่เสี่ยวจิ่นได้ยินพ่อแม่พูดว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมพี่ชาย
เธอก็รีบออกมาพูดว่า “แม่ งั้นพวกเราทำขนมเพิ่มอีกหน่อยไหม?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเป็นคนขยันและรักการใช้ชีวิต หล่อนย่อมเต็มใจทำสิ่งเหล่านี้
แค่เห็นลูกๆ กินอย่างมีความสุข หล่อนก็ยินดีที่จะลงมือทำแล้ว
ขณะที่ฝั่งนี้กำลังยุ่งวุ่นวายทำของอร่อยเพื่อเอาไปฝาก ส่วนฝั่งพวกเย่ฉางอันก็เหนื่อยจนแทบหมดแรง
การสร้างบ้านไม่ได้เหนื่อยมากนัก แต่การแบกดินทรายนั้นเหนื่อยจริงๆ
เขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ถอดเสื้อด้านบนออกหมดแล้ว
ขากางเกงเต็มไปด้วยโคลน เปียกชื้นและสกปรกมาก
พวกเขาขุดทรายและโคลนออกจากลำธารได้เป็นกองใหญ่แล้ว
แต่พี่ชายคนโตบอกว่ามันยังไม่พอ
ซุนพ่านตี้รู้สึกสงสารที่พวกเขาต้องทำงานหนัก นางจึงนำน้ำชาเย็นๆ มาให้ “พวกเธอพักก่อนเถอะ หักโหมทำงานแบบนี้มันเหนื่อยเกินไปแล้ว”
เย่ฉางอันพบว่างานนี้ไม่ง่ายเลย เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ ไม่สามารถทิ้งค้างไว้ได้
“พี่ใหญ่ พี่จะทำงานนี้จริงๆ เหรอ?”
เย่จวินมองดูบ้านที่กำลังสร้างฐานรากอยู่ ในใจรู้สึกภูมิใจมาก
เขารู้สึกชอบกระบวนการสร้างบ้านหลังหนึ่งจากศูนย์นี้มาก
และทุกขั้นตอนล้วนเป็นรากฐานในการสร้างบ้าน
ต้องผ่านขั้นตอนพื้นฐานมากมาย จึงจะสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้
“ตอนเด็กๆ ฉันมักถูกบอกว่าเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ฉันพบว่าบางครั้งการทำอะไรช้าๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป”
“นายดูบ้านที่ฉันสร้างสิ มันแข็งแรงมากเลยใช่ไหม”
“บางทีฉันอาจจะเหมาะกับงานแบบนี้ก็ได้”
เย่จวินนั่งอยู่ข้างๆ รับน้ำชาเย็นมาดื่มอึกใหญ่
เขาไม่รู้สึกเหนื่อยเลย กลับรู้สึกมีพลังมากด้วยซ้ำ
“ฉันเห็นว่านายรักการทำงานจริงๆ นะ”
เย่ฉางอันส่ายหน้าอย่างจนใจ “ผมยังรู้สึกว่าการทำธุรกิจน่าสนใจกว่า มันต้องใช้สมองมาก”
“บางครั้งมันยาก แต่เราก็ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหา”
เขามองด้วยสายตาเป็นประกาย “พี่ใหญ่ พี่ไม่รู้สึกว่ามันท้าทายหรอ?”
เย่จวินไม่เห็นด้วย “ยากเกินไปแล้วล่ะ”
“ฉันรู้สึกว่ามันน่ากลัวมากที่ต้องไปหาเงินจากกระเป๋าคนอื่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“การพูดคุยกับคนอื่นก็ต้องมีความรู้ ฉันไม่เหมาะกับการทำแบบนี้”
“กลับกัน การสร้างบ้านคนเดียวแบบไม่ต้องติดต่อกับใครมันก็ดีนะ”
เย่ฉางอันฟังคำพูดของพี่ชายคนโต ก็รู้สึกขำเล็กน้อย
พวกเขาสองพี่น้องแต่ก่อนเป็นคนไม่ฉลาด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านิสัยจะแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ซุนพ่านตี้นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ “เจ้ารอง มีคนบอกฉันว่าเห็นเธอทำงานเก่ง แถมยังมีทักษะเจรจาด้วย เลยอยากจะจับคู่ให้เธอน่ะ”
เย่ฉางอันรีบโบกมือ “ผมเพิ่งอายุสิบแปด จะจับคู่อะไรกัน อย่าพูดเรื่องพวกนี้กับผมเลยครับ”
“ทรายนี่ยังไม่พอ ผมจะไปขนทรายที่ลำธารก่อน”
พูดจบ เขาก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
เย่จวินถอนหายใจอย่างจนปัญญา “คุณย่าสาม น้องชายของผมไม่อยากแต่งงานในเร็ว ๆ นี้หรอกครับ”
ซุนพ่านตี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็ยังหนุ่มอยู่ ต่อไปภายหน้าเขาก็ต้องออกไปเห็นโลกกว้างอยู่แล้ว”
“ถ้าแต่งงานเร็วเกินไป ก็อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการออกไปผจญภัยของเขา”
ผ่านไปหนึ่งวัน
เย่ฉางอันลุกขึ้นจากเตียง
เห็นพี่ชายคนโตยังคงนอนหลับกรนอยู่
“พี่ใหญ่ ตื่นได้แล้ว ถึงเวลาทำงานแล้ว” เขาตบแขนของเย่จวินอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด “งานของพวกเรายังต้องทำอีกเป็นเดือนเลยนะ”
เย่จวินตื่นขึ้นมาแล้วหาว
“คุณย่าสาม พวกเรามาเยี่ยมพวกคุณแล้วนะ”
“พี่ใหญ่กับพี่รองยังไม่ตื่นเหรอ? คุณไม่ต้องทำอาหารเช้าหรอก พวกเราเอาขนมจ้างและขนมมันเทศมาด้วยแล้ว”
พวกเขาสองพี่น้องจำเสียงใสแจ๋วของเย่เสี่ยวจิ่นได้ทันที
เย่ฉางอันรีบชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่างเหมือนลิง และก็เห็นพ่อแม่มาถึงแล้วจริงๆ
เขารีบสวมเสื้อผ้ากางเกง ยังไม่ทันใส่รองเท้าให้ดี ก็วิ่งออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน
“พ่อ แม่ จิ่นเป่า พวกคุณเอาของอร่อยอะไรมาให้บ้าง?”
เย่เสี่ยวจิ่นมีรอยคล้ำใต้ตา
เธอตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เพื่อช่วยพ่อแม่ทำงาน
“มีขนมถั่วแดงค่ะ ยังร้อนๆ อยู่เลย นุ่มมากๆ พี่รีบกินเลยนะ ไม่งั้นทิ้งไว้นานจะแข็งเอา”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางยื่นขนมถั่วแดงให้เย่ฉางอันหนึ่งชิ้น “อ้อ ในตะกร้ายังมีเต้าหู้ยี้ที่แม่ทำใหม่ๆ ด้วย เอามาให้หนึ่งโหล”
“เต้าหู้ยี้เหรอ?” เย่ฉางอันกลืนน้ำลายอย่างแรง “ของชอบฉันเลย รีบเอามาให้ฉันหน่อย”
เขากัดขนมข้าวเหนียวคำหนึ่ง ขนมข้าวเหนียวนี้มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม รสชาติอร่อยลิ้น
เย่จวินก็ออกมาด้วย
เขาทำขนมมันเทศมากิน ขนมมันเทศนี้ทำจากมันเทศนึ่งครึ่งสุกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แต่ละชิ้นจะเคลือบด้วยแป้งมัน
จากนั้นนำไปใส่ในตะแกรงแล้วทอดในน้ำมัน
พอทอดสุกแล้วก็จะติดกันเป็นแผ่นกลมๆ รับประทานแล้วอร่อยมาก
ปกติก็เป็นอาหารว่างที่ขายตามข้างทางในตลาดนัด
“อร่อยจัง” เย่จวินกินขนมมันเทศไปครึ่งชิ้นในคำเดียว แล้วพูดพลางหยิบอีกชิ้น “พวกพ่อกินกันหรือยัง? กินอีกหน่อยไหมครับ?”
“ไม่ต้องแล้วล่ะ พวกเรากินอิ่มแล้ว” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางยิ้ม “เมื่อเร็วๆ นี้บ้านเราได้ที่รกร้างมาด้วย ทุกอย่างดีขึ้นมาก”
“พวกเราเลยถือโอกาสมาดูว่าพวกลูกทำอะไรกันบ้าง แล้วก็ถือโอกาสเอาของกินมาฝากด้วย”
เย่ฉางอันชี้ไปที่บ้านฝั่งโน้น “พวกคุณดูสิ พวกผมสร้างบ้านได้ดีขนาดไหน”
“ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของพี่ใหญ่ แถมยังมีคนเห็นว่าฝีมือเขาดี จ้างเขาสร้างบ้านด้วยนะ”
“พี่ใหญ่รับเงินจากเขามา 200 หยวน พวกคุณคิดว่ายังไงบ้าง?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีแต่ของอร่อย น่ากินจังเลย
ฝั่งลูกคนโตกับลูกคนรองก็เห็นพัฒนาการอยู่นะ
ไหหม่า(海馬)
…………….