ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 203 เล่ห์เหลี่ยมของเย่เหวินชาง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 203 เล่ห์เหลี่ยมของเย่เหวินชาง
บทที่ 203 เล่ห์เหลี่ยมของเย่เหวินชาง
…………….
บทที่ 203 เล่ห์เหลี่ยมของเย่เหวินชาง
เย่เหวินชางเองก็เชื่อในความจริงข้อนี้อย่างยิ่ง
คนในครอบครัวของหวังหลินสามารถทำให้ธุรกิจล้มละลายได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีอิทธิพลมาก
พอเขาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง จึงเดินไปถามหล่อนพร้อมกับหวังหลิน
หลินลี่ลี่เห็นพวกเขาแล้วก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
หล่อนชอบเย่เสี่ยวจิ่นมาก
ปกติแล้วถ้ามีงานเพาะกล้า เย่เสี่ยวจิ่นก็จะมอบหมายให้หล่อนทำ
ดังนั้นหล่อนจึงสนิทกับเย่เสี่ยวจิ่นมากกว่าคนอื่น
หล่อนรู้ดีว่าเย่เสี่ยวจิ่นมีพี่ชายที่น่ารังเกียจมาก ทำให้เธอต้องไปใช้แรงงานหนึ่งวัน
เย่เหวินชางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรังเกียจเขา
เขาหัวเราะพลางกล่าว “ได้ยินมาว่าธุรกิจของหมู่บ้านกับสหกรณ์จบลงแล้ว แล้วทำไมยังขยันปลูกพืชกันอยู่ล่ะ?”
“มีธุรกิจใหม่แล้วหรือ?”
“นอกจากสหกรณ์แล้ว ยังมีที่ไหนอีกที่จะรับซื้อผลไม้ได้มากขนาดนี้?”
หลินลี่ลี่รู้จักคนผู้นี้ดี เขาเป็นคนชอบฟ้องคนลับหลัง
หล่อนขมวดคิ้ว แม้ท่าทางของหล่อนจะดูเรียบร้อย แต่ก็ไม่หวาดกลัว
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ไปอ่านหนังสือของนายให้ดีๆ เถอะ อย่ามาก่อกวนคนที่นี่”
หล่อนเพิ่มความระแวดระวังขึ้น พูดจบก็แค่นเสียงเย็นแล้วเดินจากไป
เย่เหวินชางขมวดคิ้ว รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตัวเองถูกทำร้ายอีกครั้ง
เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว
ไม่คิดว่าพอกลับบ้านก็ถูกคนอื่นตั้งตัวเป็นศัตรูอีก
เขาเห็นได้ชัดเจนว่านี่เป็นฝีมือของเย่เสี่ยวจิ่น
เธอใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นประโยชน์ ไปเกลี้ยกล่อมคนทั่วไป พูดใส่ร้ายเขา
ไม่เช่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่มีคนมากมายเกลียดชังเขา
เย่เหวินชางไม่ได้อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดหรือได้รับคำชมมากที่สุดในหมู่บ้านก็จริง แต่ก็ไม่อยากเป็นตัวละครที่ถูกทุกคนด่าทอ
เขากำหมัดแน่น
หวังหลินเรียกหลินลี่ลี่มาตำหนิตรงๆ ทันที “เธอนี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย เหวินชางไม่ได้ทำอะไรให้เธอขุ่นเคืองนี่ เขาพูดกับเธอดีๆ แต่ทำไมเธอถึงไร้มารยาทแบบนี้?”
“เหวินชางทำอะไรผิดต่อเธอหรือ?”
หลินลี่ลี่เม้มปาก “ฉันไม่สนิทกับเขาหรอก แต่ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนชอบแทงข้างหลัง”
“คนแบบนี้น่ากลัวจริงๆ! ขอเตือนว่าเธอจงระวังตัวให้ดี!”
หวังหลินหัวเราะเยาะ “พวกเธอก็แค่คนที่อิจฉาคนอื่น ตั้งใจใส่ร้ายเหวินชางแบบนี้ คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีค่าขึ้นหรือไง? ฉันรู้นะ บางคนที่ไม่มีความสามารถก็ชอบเหยียบย่ำคนอื่น ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ตัวเองดูเหนือกว่าคนอื่นได้”
เย่เหวินชางดึงแขนของหวังหลินเบาๆ พลางขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะรู้สึกไม่สบายใจมาก
“พอเถอะ อคติไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียวนี่”
“ผมไม่สนใจความคิดเห็นหรือคำใส่ร้ายของคนอื่นหรอก แค่คุณเชื่อใจในตัวตนของผมก็พอแล้ว”
คนรอบข้างหลายคนสังเกตเห็นความวุ่นวายตรงนี้ ต่างก็อยากรู้อยากเห็นเข้ามามุงดู
ปกติแล้ว หลินลี่ลี่เป็นคนที่แทบจะไม่ค่อยพูดอะไรเลยในสวนผลไม้ แทบจะไม่เคยมีการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนกับใครเลย
ทุกคนเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็เข้าใจทันที
ที่แท้ก็เป็นเย่เหวินชาง
เมื่อเทียบกับเย่ฉางอันที่ถูกส่งไปใช้แรงงานเพื่อปรับปรุงตัว กลับกลายเป็นว่าเย่เหวินชางคนนี้ตอนนี้ชื่อเสียงเสียหายไปหมดแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนเย่ฉางอันยังวิ่งวุ่นไปทั่ว ทำงานหนักเพื่อธุรกิจของหมู่บ้าน
แต่เย่เหวินชางคนนี้ เมื่อเทียบกับเย่ฉางอันแล้ว แม้จะมีความรู้มากกว่า แต่นิสัยกลับน่ากลัวมาก
“ลี่ลี่ เธออย่าไปพูดคุยกับพวกเขามากนัก เดี๋ยวเธอก็จะถูกฟ้องร้องเอาหรอก”
“ใช่แล้ว พวกเขาเป็นคนมีการศึกษา อาจจะกุข้อหาอะไรขึ้นมาเล่นงานจนเธอแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ก็ได้”
“พวกเราเดินออกห่างๆ กันดีกว่า ถ้าถึงเวลาถูกส่งไปใช้แรงงานกันหมดทุกคนคงแย่แน่”
ทุกคนหัวเราะเสียงดังอย่างสนุกสนาน และแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
เย่เหวินชางรู้สึกอับอายราวกับถูกโยนลงไปในกระทะน้ำมันเดือด
สายตาเยาะเย้ยของทุกคนแสดงความดูถูกและดูแคลนเขาอย่างไม่ปิดบัง
เขาพูดเสียงเบาว่า “ใส่ร้ายป้ายสีกันชัดๆ!”
หวังหลินรีบคว้ามือเขาไว้ “ฉันรู้ว่านี่เป็นการใส่ร้าย พวกเขาไม่มีความรู้ ก็เลยถูกหลอกได้ง่าย”
“คุณไม่ต้องกังวลไป ฉันจะกลับไปบอกพี่ชายของฉันให้หาวิธีจัดการกับเย่เสี่ยวจิ่นคนนี้ รับรองว่าจะไม่ปล่อยให้หล่อนเหิมเกริมต่อไปแน่นอน”
เย่เหวินชางมองหวังหลินแล้วพยักหน้า
แม้ตัวเขาเองจะไม่มีความสามารถพอที่จะแก้แค้นได้ทันที แต่โชคดีที่เขามีแฟนสาวที่ดีคนหนึ่ง
เขารู้ดีมาตลอดว่าการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ตั้งแต่ที่เขาสอบเข้าโรงเรียนอาชีวะศึกษาไม่ได้ เขาก็รู้ว่าตัวเองได้สูญเสียโอกาสครั้งสำคัญไปแล้ว
ดังนั้น เขาจึงยอมรับความจริง
ตัวเขาอยากเป็น “คนในเมือง”
หนทางเดียวที่จะเป็นไปได้คือการคบกับผู้หญิงในเมืองที่มีฐานะดี
โชคดีที่ดวงชะตาเขายังดีอยู่
หวังหลินมองเย่เหวินชางด้วยความสงสาร “เหวินชาง คุณเป็นหัวหน้าชั้นในโรงเรียน เป็นคนดีขนาดนี้ แต่กลับต้องมาทนรับความอัดอั้นในที่แบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมชินแล้ว” เย่เหวินชางยิ้มน้อยๆ
น้ำเสียงที่ดูเบาบางราวกับสายลมอ่อนๆ นั้น กลับทำให้หวังหลินรู้สึกสงสารเขามากขึ้นไปอีก
ในตอนนั้นเอง
เย่เสี่ยวจิ่นที่อยู่บนภูเขาก็จามขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เธอนั่งพักอยู่ริมทาง ขยี้จมูกพลางนึกสงสัย “นี่ฉันเป็นหวัดหรือเปล่านะ?”
“ร่างกายของฉันแข็งแรงขนาดนี้ ยังจะเป็นหวัดได้อีกเหรอ?”
“ดูท่าคืนนี้คงต้องห่มผ้านวมหนาๆ หน่อยแล้วล่ะ”
เย่จื้อผิงตะโกนมาจากไม่ไกล “จิ่นเป่า พวกเราไปข้างล่างกันเถอะ”
“ได้เลยค่ะ มาแล้ว” เธอลุกขึ้นยืน หยิบจอบแล้วไปทำงานต่อ
พวกเขายุ่งอยู่กับการใส่ปุ๋ย แม้จะเหนื่อย แต่ก็เป็นการใส่ปุ๋ยให้ที่ดินของครอบครัวตัวเอง
จึงมีแรงจูงใจและกำลังใจเป็นพิเศษ
เสี่ยวฮุยฮุยเดินตามหลังเย่เสี่ยวจิ่นตลอดเวลา
เธอเดินไปไหน เจ้าลูกหมาก็ตามไปที่นั่น เหมือนเป็นเงาตามตัวไม่ห่าง
พอถึงตอนเที่ยง เย่เสี่ยวจิ่นก็อุ้มลูกหมาใส่ไว้ในกระบุงสะพายหลัง
“เสี่ยวฮุยฮุย เรากลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ”
เธอก้าวเดินอย่างสบายใจ
พอกลับถึงบ้าน หลี่ชุ่ยชุ่ย ก็บอกกับพวกเขาว่า “พวกเธออย่าเพิ่งไปแถวบ้านพี่ใหญ่ในช่วงสองวันนี้นะ”
“เย่เหวินชางกลับมาอีกแล้ว แถมยังพาแฟนสาวปากจัดมาด้วย”
“พอกลับมาถึงหมู่บ้าน ก็ไปทะเลาะกับคนแถวสวนผลไม้เข้าแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถือผ้าขี้ริ้วอยู่ในมือ กำลังอาศัยช่วงอากาศดีทำความสะอาดบ้าน
เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือ “ถ้าเขาไม่มาหาเรื่องหนู หนูก็ไม่ไปหาเรื่องเขา อยู่กันอย่างสงบก็พอ”
หลิวเยว่เทน้ำร้อนและเรียกเย่เสี่ยวจิ่นมาล้างหน้า “จิ่นเป่า เธอนี่เข้าใจเหตุผลดีจังนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อยๆ แล้วเข้าไปใกล้ ยอมให้หลิวเยว่ล้างหน้าล้างมือให้
“ถ้าไม่ไปยุ่งกับพวกเขาก็คงไม่มีเรื่องอะไรหรอก” หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ “ได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่รัฐในเมือง”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจดจำพวกเราไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องแก้แค้นแน่ๆ”
“พวกเราเป็นแค่ชาวนาธรรมดา ไปยุ่งกับเรื่องไม่สบายใจพวกนี้ทำไม หลบได้ก็หลบเถอะ”
เย่จื้อผิงแค่นเสียง “ทำไมต้องหลบล่ะ? พวกเราอยู่ในหมู่บ้านนี้มาหลายปีแล้ว ยังต้องไปเกรงใจคนนอกด้วยหรือ?”
“แถมหล่อนยังไม่ใช่คนตระกูลเย่ด้วยซ้ำ ลับหลังคนอื่นเขาพูดกันยังไงบ้างล่ะ?”
“ไร้ยางอาย ยังไม่ทันแต่งงานก็ตามผู้ชายไปทั่ว”
“ผมเองก็ไม่ใช่คนขี้นินทานักหรอก แต่ถ้าลองออกไปถามดู คุณได้ยินใครพูดดีๆ เกี่ยวกับหล่อนบ้างไหมล่ะ?”
เย่จื้อผิงพูดไปก็รู้สึกโมโห
“พวกเราจะทนรับความอัปยศทำไม? ชีวิตของเราก็ต้องใช้กันเอง พวกเราอย่าไปหาเรื่องใส่ตัวเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอยากจะพูดอะไรแต่ก็กลั้นไว้ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คุณอย่าไปพูดเรื่องภายนอกพวกนั้นนะ ถ้าบ้านพี่ใหญ่ได้ยินเข้า คงจะยิ่งแค้นเคืองคุณมากขึ้น”
แน่นอนว่าเย่จื้อผิงไม่ไปพูดถึงลูกสาวของคนอื่นแบบนั้นหรอก
แต่เขารู้ว่าหลี่กุ้ยฮวาก็แอบโม้ลับหลังว่าหวังหลินนั่นไม่มีค่าอะไร เป็นฝ่ายวิ่งแจ้นมาหาพวกเขาเอง
ไม่ใช่เขาที่เป็นคนไปแพร่ข่าวนี่นา
“ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว พวกเราก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ดูคุณสิ ตอนนี้อารมณ์ร้อนขึ้นเยอะเลย แต่ก่อนใครแค่พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับบ้านพี่ใหญ่นิดหน่อย คุณก็จะโมโหแล้ว”
ขณะที่สามีภรรยากำลังคุยกันอยู่ ก็มีเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากข้างนอก
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
เย่เหวินชางและหวังหลินมาถึงแล้ว
หวังหลินถือถุงใบหนึ่งในมือ ข้างในมีน้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายขาวอยู่หลายห่อ
เย่จื้อผิงหยุดพูดทันที
เย่เหวินชางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อาสาม อาสะใภ้สาม ครั้งนี้ผมกลับมาจากในเมือง ตั้งใจซื้อของมาฝากพวกคุณด้วย”
“ทำไมพี่เย่จวินกับพี่ฉางอันไม่อยู่บ้านล่ะครับ?”
“ผมยังคิดว่าจะหาโอกาสขอโทษเขาด้วย”
เย่จื้อผิงไม่รับของขวัญจากพวกเขา “ไม่ต้องหรอก พ่อเธอพูดไปแล้วว่าสองครอบครัวของเราตัดขาดจากกันแล้ว”
“เธอก็ไม่ต้องเอาของพวกนี้มาประจบ สถานการณ์เป็นยังไงเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
“พวกเราไม่อยากมีเรื่องพัวพันกับพวกเธออีก”
เย่จื้อผิงพูดพลางโบกมือไปมา
เย่เหวินชางมีสีหน้าแข็งทื่อไปทันที
เขาไม่ได้มาเพื่อขอคืนดีหรอก แค่อยากจะผ่อนคลายความสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้จับจุดอ่อนของพวกเขาให้ได้มากขึ้น
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ยิ่งเขาแสดงท่าทางน่าสงสารต่อหน้าหวังหลิน หล่อนก็จะยิ่งกระตือรือร้นที่จะช่วยจัดการเรื่องทะเบียนบ้านในเมืองและงานที่มีหน้ามีตาให้เขา
ใครจะคิดว่า อาสามที่แต่ก่อนซื่อตรงถึงขั้นเซ่อซ่าจะมีเล่ห์เหลี่ยมขึ้นมาได้
“อาสาม ผมรู้ว่าที่ผ่านมาผมผิดเอง ผมยังเด็ก ต้องให้โอกาสผมแก้ตัวสักครั้งสิครับ”
เย่จื้อผิงแค่นเสียงฮึในลำคอ แล้วส่ายหน้าไม่พูดอะไร
เขาก็ไม่อยากจะกลั่นแกล้งคนรุ่นหลังโดยเจตนา แค่ไม่อยากมีเรื่องเกี่ยวข้องกับครอบครัวของพวกเขาจริงๆ
หลี่ชุ่ยชุ่ยที่อยู่ด้านหลังก็รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
คนบ้านนี้ยอมก้มหัวให้แล้ว ถ้าไม่สนใจพวกเขาต่อไป ก็ดูจะไร้น้ำใจไปหน่อย
แต่พอคิดอีกที หากตัวเองเป็นห่วงเหวินชาง แล้วใครจะมาเป็นห่วงฉางอันล่ะ?
หล่อนจึงตัดสินใจเข้าไปในบ้านเพื่อไปทำเต้าหู้ขน
หวังหลินเห็นว่าพวกเขายังคงดื้อดึงไม่ยอมรับความหวังดี จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นเบาๆ “เหวินชาง อย่าไปฟังพ่อแม่ของคุณเลย มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาสานสัมพันธ์กันด้วย?”
“ต่อไปพวกเขาก็จะทำนาที่นี่ไปชั่วลูกชั่วหลาน ส่วนคุณอีกแค่ครึ่งปีก็จะเรียนจบแล้ว”
“ตอนนั้นคุณก็จะเป็นคนของรัฐบาลอำเภอ ยังจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกหรือ?”
หวังหลินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย รู้สึกลำพองใจในสถานะของตน
เย่เหวินชางได้ยินคำพูดของหล่อน ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย บรรลุจุดประสงค์ของการมาที่นี่แล้ว
ส่วนหวังหลินตัดสินใจแล้วว่าพอกลับไปถึงบ้าน หล่อนจะบอกให้พ่อจัดหางานที่ดีๆ ให้กับเย่เหวินชาง
เมื่อถึงเวลาที่เหวินชางกลับมา เขาจะต้องได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ราวกับดวงจันทร์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยดวงดาว
สามารถจินตนาการได้เลยว่าการที่มีหงส์ทองโผทะยานออกมาจากหุบเขาอันยากจนแห่งนี้ จะต้องเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในรอบสิบกว่าปีอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลาจัดงานเลี้ยง ครอบครัวของเย่เหล่าซานคนนี้จะต้องก้มหัวประจบเอาใจเหวินชางอย่างแน่นอน
หล่อนจะต้องทำให้พวกเขาเสียหน้าให้ได้อย่างแน่นอน!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ก่อนจะไปบอกพ่อให้ใช้เส้นพาแฟนมาอยู่เมืองน่ะ จัดการเรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างเธอกับไอ้หนุ่มนี่ก่อนดีไหมยัยคุณหนู พ่อยังไม่รู้เลยมั้งนั่นว่าเธอตามผู้ชายต้อยๆ มาถึงบ้านเขาน่ะ
ไหหม่า(海馬)
…………….