ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 198 ต่างคนต่างยุ่งกับธุรกิจของตัวเอง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 198 ต่างคนต่างยุ่งกับธุรกิจของตัวเอง
บทที่ 198 ต่างคนต่างยุ่งกับธุรกิจของตัวเอง
…………….
บทที่ 198 ต่างคนต่างยุ่งกับธุรกิจของตัวเอง
เย่ฉางอันวิ่งวุ่นอยู่ในเมืองมาหลายวันแล้ว
เขานั่งอยู่ในโรงแรม ถือสมุดเล่มเล็กไว้ จดบันทึกด้วยลายมือที่ไม่ค่อยสวยนัก
“ไปโรงงานทอผ้ามาแล้ว สามารถสั่งได้ 4,000 ชั่งให้พนักงาน”
“โรงประปา 2,000 ชั่ง”
“รัฐบาลเมืองสั่ง 4,000 ชั่ง…”
“และอีก…”
เย่ฉางอันคำนวณ ทั้งหมดนี้คิดตามราคาตลาด
ก่อนหน้านี้ราคาที่ตกลงกับร้านสหกรณ์คือเมลอน 3 เหมา 2 เฟิน สตรอว์เบอร์รี 5 เหมา 5 เฟิน
ส่วนแตงโมราคาประมาณ 3 เหมาเช่นกัน
ตอนนี้เขามาเป็นคนตัดสินใจ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ราคานี้แล้ว
ราคาที่เขาเสนอไปคือเมลอนราคา 3 เหมา 8 เฟิน สตรอว์เบอร์รีราคา 6 เหมา และแตงโมราคา 3 เหมา 5 เฟิน
เย่ฉางอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ คิดว่า “ในเมื่อวิ่งไปทั่วแล้ว งั้นไปดูถึงเทศบาลจังหวัดเลยดีกว่า ถึงยังไงโลกนี้ก็กว้างใหญ่ ที่ไหนๆ ก็มีธุรกิจให้ทำได้ทั้งนั้น”
“ทำไมต้องจำกัดอยู่แค่ในอำเภอด้วยล่ะ?”
“ผลผลิตครั้งนี้มีมากเกินไป แค่อาศัยคำสั่งซื้อในอำเภอคงไม่พอหรอก”
เขาคิดแล้วก็ตัดสินใจไปวิ่งหาโรงงานใหญ่ๆ และสถานที่ก่อสร้างในเมือง
ส่วนร้านสหกรณ์…
เขาไม่คิดจะพิจารณาแล้ว
เขาไม่อยากให้คนอื่นมาทำกำไรซ้อนอีกชั้นหนึ่ง
เขาต้องการทำธุรกิจด้วยตัวเอง
“จิ่นเป่าให้เวลาฉันหนึ่งเดือน ไม่ต้องรีบร้อนอะไร”
“ถ้าขายไม่ออก ค่อยคิดเรื่องขายปลีกเอง ยังไงก็ต้องขายออกอยู่ดี”
เขาค่อนข้างชอบการขายปลีก
ได้พบเจอผู้คนหลากหลาย และยังได้ฝึกฝนทักษะการพูดของตัวเองด้วย
แต่ก่อนเขาพูดไม่เก่งที่สุด แต่ตอนนี้พูดคล่องขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“น้องชาย ฉันต้มบะหมี่มาแล้ว กินสักหน่อยไหม?”
คนที่อยู่หน้าประตูคือเจ้าของโรงแรม
เนื่องจากเย่ฉางอันอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว จึงคุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้น
ถ้าเป็นเย่ฉางอันคนเดิม เขาคงจะปฏิเสธอย่างเขินอายและขลาดกลัวอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่า เจ้าของโรงแรมคนนี้เป็นนักธุรกิจ การพูดคุยกับเขาให้มากขึ้นย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน
“ตกลงครับ”
เย่ฉางอันมีความคิดที่กล้าหาญอยู่ในใจ ถ้าในอนาคตเขาเปิดร้านเฉพาะที่นี่ แล้วใช้ขายผลิตภัณฑ์การเกษตรจากหมู่บ้าน มันจะไม่สะดวกกว่าหรือ?
ถ้าถึงเวลานั้นผู้คนต่างมาที่นี่เพราะชื่อเสียงของร้าน
ก็จะสามารถกระตุ้นสิ่งอื่น ๆ ได้ด้วย
เย่ฉางอันมีความคิดมากมายในหัว แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เป็นจริง!
เขามักจะมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นระบบ พอหันหลังกลับก็รู้สึกว่ามันยากที่จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
อีกด้านหนึ่ง
เย่จวินเดินวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านมาสองวันแล้ว
จริงๆ แล้วการเผาอิฐไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
แต่ทุกขั้นตอนล้วนสำคัญมาก ขั้นแรกคือการเลือกดินและผสมดิน นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบเริ่มทำ แต่ระมัดระวังสำรวจดูรอบๆ ก่อน
ดินที่ดีเมื่อนำมาเผาเป็นอิฐแล้วจะมีรูพรุนน้อย โครงสร้างภายในอิฐจะแน่น
นั่นก็คือมีความแข็งแรงทนทาน แม้ผ่านไปร้อยปีก็ยังคงสภาพเดิม
จึงต้องเลือกดินเหนียวสำหรับทำอิฐแดงนี้ให้ดี
ขั้นที่สองคือการบดดิน
ขั้นที่สามคือการปั้นดิน สองขั้นตอนนี้ไม่ยาก แค่ต้องใช้แรงมากหน่อยเท่านั้น
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องนำแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้มาใช้ในการทำอิฐดิบ
ขั้นตอนที่สี่ คือการกดพิมพ์
ขั้นตอนที่ห้า คือการแต่งแก้อิฐดิบ
เขาตั้งใจจะสร้างเตาเผาที่ใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงสามารถจัดการได้ด้วยคนเพียงคนเดียวอย่างปลอดภัย
ขั้นตอนที่เจ็ด คือการเรียงอิฐเข้าเตา โดยนำอิฐทั้งหมดบรรจุเข้าไปในเตาเผา
ขั้นตอนที่แปด คือการเผาเตา เขาจำเป็นต้องไปเตรียมไม้ท่อนใหญ่จำนวนมากมาใช้ในการเผาไฟ
ขั้นตอนที่เก้า คือการรมควัน
แน่นอนว่าขั้นตอนที่เก้าคือการเติมน้ำเพื่อลดอุณหภูมิ นั่นเป็นวิธีการเผาอิฐเขียว แต่ถ้าเป็นการเผาอิฐแดง ก็แค่รอให้เย็นลงตามธรรมชาติก็พอ
เย่จวินทบทวนขั้นตอนต่างๆ ที่เขาได้เรียนรู้มาในใจ และคิดถึงเทคนิคที่ต้องระวังด้วย
เขาเดินวนเวียนจนฟ้ามืดก่อนจะกลับบ้าน
ซุนพ่านตี้รู้สึกโล่งใจที่เห็นเขา “เสี่ยวจวิน ทำไมเธอออกไปนานจัง? แถวริมแม่น้ำนั่นอันตรายนะ อย่าไปเลย”
“ถ้าพลาดตกลงไป มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”
“ปีที่แล้วมีคนไปขุดโคลนแถวนั้นแล้วตกลงไป จากนั้นก็หายไปเลย”
เย่จวินรู้ว่าคุณย่าสามเป็นห่วงมาก “คุณย่าสาม ผมรู้แล้วครับ ผมแค่ไปเดินแถวๆ เชิงเขาใกล้ๆ นี่เอง”
“แล้วเป็นไงล่ะ? หาดินที่เธอต้องการเจอไหม?”
“เจอแล้วครับ” เย่จวินยิ้ม “เดินตั้งนาน สุดท้ายดินเหนียวสีแดงหลังบ้านเรานี่แหละที่ดีที่สุด”
“พรุ่งนี้ผมจะสร้างเตาเผา แต่เพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังบ้านมีเตาเผาถ่านอยู่แล้ว?”
“ใช่แล้ว ฉันเคยเผาถ่านบ้างในปีก่อนๆ” ซุนพ่านตี้พูด “แต่ไม่รู้ว่าจะยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องปรับปรุงได้อยู่แล้ว”
ซุนพ่านตี้พยักหน้า “ถ้าเธอทำสิ่งนี้สำเร็จ ต่อไปก็จะมีฝีมือติดตัวไว้ใช้ประกอบอาชีพได้”
“เธอเพิ่งแต่งงานไม่ใช่หรือ? หาเงินให้มากๆ นะ จะได้เลี้ยงดูลูกเมียได้สบาย”
นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกฉันตรงๆ เลย ถึงฉันจะอายุ 60 กว่าแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่นะ”
นางเพียงแค่เหงา จึงดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาในยามปกติ
แต่ถ้าให้ทำงานจริงๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนหนุ่มสาวเท่าใด
“ได้ครับ คุณย่าสาม คุณวางใจได้ พรุ่งนี้ผมยังต้องรบกวนคุณช่วยทำแม่พิมพ์อิฐด้วยนะครับ”
เย่จวินมองไปรอบๆ บ้าน “มีไม้ที่ดีหน่อยไหมครับ? ผมจะทำแม่พิมพ์สองอัน”
เขาเตรียมไม้บรรทัดมาเองด้วย
ในหนังสือมีระบุขนาดไว้ ทำตามขนาดในหนังสือจะดีที่สุด
แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็รู้สึกว่ามันน่าจะดีกว่าที่เขาจะทำเองตามใจชอบ
เขาเตรียมทำแบบพิมพ์ให้ดีขึ้นด้วย เพราะคิดว่าต่อไปคงได้ใช้อีก
ทั้งวันเขาค่อนข้างว่าง ขึ้นเตียงนอนสักพักถึงจะหลับ
ก่อนนอน ในหัวยังคิดว่าจะทำเตาเผาให้แข็งแรงได้อย่างไร แม้แต่ในฝันก็ยังฝันว่าได้ลองเผาอิฐไปหนึ่งรอบ…
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ข้างนอก
“แปลกจัง บ้านย่าสามมีแค่คุณย่าคนเดียว ทำไมถึงมีคนคุยกันล่ะ?”
“เสียงนี้ฟังคุ้นๆ นะ เหมือนเสียงภรรยาของฉันเลย”
เย่จวินลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเดินออกไปข้างนอก
พอมองไปก็เห็นว่าเป็นหลิวเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้จริงๆ
“คุณตื่นแล้วเหรอ?”
“เสี่ยวเยว่ ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” เย่จวินรู้สึกแปลกใจ
“จิ่นเป่าบอกว่าคุณกำลังจะเริ่มเผาอิฐแล้ว เลยให้ฉันมาทำอาหารให้พวกคุณน่ะ” หล่อนพูดพลางยิ้มน้อยๆ “แต่ฉันเห็นที่นี่ยังไม่มีอิฐสักก้อนเลย คงมาเร็วไปหน่อย”
“ไม่เร็วหรอก มาถูกเวลาพอดีเลย!”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม
เย่เสี่ยวจิ่นตื่นนอนตอนเช้า เห็นว่าพี่ชายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว คิดว่าเขาคงจะเริ่มงาน จึงให้พี่สะใภ้เอาเส้นหมี่ไปช่วยเหลือ
ส่วนทางฝั่งของเธอเองก็ได้จัดการทุกอย่างในโรงเรือนเรียบร้อยแล้ว
โรงเรือนทั้งสิบถูกติดตั้งระบบระบายน้ำเสร็จหมดแล้ว ส่วนระบบปรับแสงแดดก็ทยอยติดตั้งอยู่
เธอเรียกโรงเรือนทั้งสิบหลังนี้ว่า “รวยเบอร์สิบ”
ตั้งแต่หมายเลขหนึ่งถึงสิบ แต่ละหลังมีชื่อเรียกเป็นของตัวเอง
เย่จื้อผิงเห็นเธอแขวนป้ายชื่อไว้ที่แต่ละโรงเรือน ก็อดรู้สึกขำไม่ได้
“เครื่องจักรแปลกๆ ที่โรงเรือนรวยเบอร์เก้าและสิบยังไม่ได้ติดตั้งเลยนะ”
“ใช่ค่ะ วันนี้ต้องทำให้เสร็จ” เย่เสี่ยวจิ่นเอามือเท้าสะเอว “พ่อ เราต้องตัดแต่งเถาแตงในโรงเรือนเบอร์สามแล้ว เรียกคนไปจัดการหน่อยสิคะ”
“อย่าลืมเอาเถาแตงกลับมาด้วยนะคะ ฉันจะเอาไปเลี้ยงหมู”
เย่จื้อผิงรับปากแล้ว
“ทำไมลูกไม่ทำแบบนี้กับเมลอนล่ะ?”
“หนูรู้สึกว่าแตงโมหนักกว่า คงขายได้เงินมากกว่า” เย่เสี่ยวจิ่นลูบคาง พูดอย่างตรงไปตรงมา “อีกอย่าง ดินในโรงเรือนทั้งสิบหลังนี้ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ ต่อไปใช้ปลูกแตงโมตลอดก็ไม่เสียหาย”
“ที่ดินอื่นๆ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ พอถึงเดือนเมษายนพฤษภาคมปีหน้า ยังต้องใช้ปลูกข้าวอีก”
“หนูเตรียมจะรอให้แตงรุ่นนี้หมดก่อน แล้วค่อยบำรุงดินตรงนี้ให้ดีๆ”
เย่จื้อผิงสงสัย “ลูกไม่ได้บอกว่าจะปลูกสตรอว์เบอร์รีหรอกเหรอ? แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาบำรุงดิน?”
“สตรอว์เบอร์รีปลูกแบบลอยได้ แขวนเป็นแถว ซ้อนกันเป็นชั้นๆ” เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางทำท่าประกอบ “ก็คือใช้ค้างวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ ให้เถาเลื้อยออกด้านข้าง วิธีนี้จะช่วยใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
เย่จื้อผิงฟังแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่โดยรวมแล้วรู้สึกว่าน่าจะออกมาดีมาก
“ได้ งั้นพ่อจะไปโรงเรือนหมายเลขสามละ” เย่จื้อผิงพยักหน้า อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พ่อพบว่าการจัดการโรงเรือนแบบนี้ดูแลง่ายกว่าแบบเดิมมาก”
“แค่มองปราดเดียวก็รู้สถานการณ์ของแต่ละโรงเรือนแล้ว”
“สั่งงานคนก็ชัดเจน แค่ลูกบอกพ่อคำเดียว พ่อก็ให้คนไปทำงานที่โรงเรือนหมายเลขสามได้แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มพูด “แน่นอนสิ ไม่เพียงแต่เพิ่มผลผลิต แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพด้วยละค่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ครอบครัวสามเย่แต่ละคนนี่ขยันทำงานกันเหลือเกิน อนาคตรวยยิ่งกว่าหลักหมื่นหยวนแน่
ไหหม่า(海馬)
…………….