ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 196 คุณย่าสามมอบหยกโบราณมูลค่าสูง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 196 คุณย่าสามมอบหยกโบราณมูลค่าสูง
บทที่ 196 คุณย่าสามมอบหยกโบราณมูลค่าสูง
…………….
บทที่ 196 คุณย่าสามมอบหยกโบราณมูลค่าสูง
เย่จวินได้เรียนรู้เทคนิคการเผาอิฐที่บ้าน
ทั้งหมดเป็นภาพประกอบพร้อมคำอธิบาย และด้วยความช่วยเหลือของหลิวเยว่ เขาก็เข้าใจในบทเรียนแล้ว
แต่เขาไม่คิดว่าจะได้รับภารกิจจากเย่เสี่ยวจิ่นเร็วขนาดนี้
เย่จวินถือชามอย่างงุนงงระหว่างอาหารเย็น “หา? ฉันต้องไปเผาอิฐสร้างบ้านเหรอ?”
“ถึงจะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยลงมือปฏิบัติจริงเลยนะ”
“จิ่นเป่า ฉันรู้สึกว่าฉันคงทำไม่ได้แน่ๆ”
“แค่สร้างบ้านให้ครอบครัวตัวเองเอง พี่จะกลัวอะไรล่ะ? ถือว่าเป็นการฝึกฝนไปในตัว”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มกริ่มพลางเท้าคาง “แล้วพี่ก็ต้องไปจัดการด้วยตัวเองอยู่แล้ว ต่อไปถ้ารับเหมาก่อสร้าง ไปสร้างบ้านให้คนอื่น ก็จะได้เงินเยอะไม่ใช่เหรอ?”
หลิวเยว่ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เราคงพึ่งพาฟ้าดินไปตลอดไม่ได้หรอก”
“น้องรองคุณก็มีฝีมือ เลยหาเงินได้ ทำให้เดินหลังตรงกว่าคนอื่นๆ”
“คุณก็ลองดูสิ ถ้าทำไม่ได้ ก็แค่เสียเวลาทำงานในหมู่บ้านไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ตอนนี้ที่บ้านก็ไม่ขาดข้าว ไม่เป็นไรหรอก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็รู้สึกว่ามีเหตุผล “ใช่แล้ว ดูน้องรองของลูกสิ กล้าหาญขนาดไหน ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”
“น้องชายลูกยังกล้าขนาดนั้น ลูกเป็นพี่ชายเขาแท้ๆ ทำไมถึงขี้ขลาดแบบนี้ล่ะ ดูไม่ได้เลย”
“ช่วงฤดูหนาวนี่เป็นช่วงที่ไม่ยุ่งที่สุดแล้ว ถ้าไม่ไปเรียนรู้ตอนนี้ พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะไม่มีเวลาอีก”
เย่จวินถอนหายใจ ยี่สิบปีที่ผ่านมาทำแต่งานเกษตร ไม่เคยคิดจะไปทำงานช่างเทคนิคเลย
คิดแล้วก็กลัวว่าจะทำพลาด
ปกติอยู่แต่ในวงจรสบายๆ ของการทำไร่ทำนา แค่อ่านหนังสือเรียนรู้นิดหน่อย กลับต้องไปทำงานในสาขาอื่นแล้ว
เขาจึงรู้สึกไม่มั่นใจ
“คุณย่าสามอยู่คนเดียวคงเหงามาก ถ้าพี่ไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน ก็ถือว่าช่วยฉันทำงานแล้วล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นอาศัยของเก่าโบราณ ทำให้ครอบครัวกลายเป็นเศรษฐีหมื่นหยวนคนแรกของหมู่บ้าน
คาดว่าน่าจะเป็นคนแรกในรัศมีสิบลี้แปดหมู่บ้านด้วย
แม้จะมีแค่เธอกับพ่อแม่สามคนที่รู้เรื่องนี้ก็ตาม
แต่นั่นก็คือความจริง
“ได้ ฉันตกลง” เย่จวินพยักหน้า “แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะทำได้ดีนะ ฉันไม่มีความรู้ ตอนเรียนหนังสือก็ไม่ใช่คนฉลาด”
เย่เสี่ยวจิ่นคีบเนื้อชิ้นหนึ่งให้พี่ชาย “ขยันไปเดี๋ยวก็ชนะความโง่เองแหละ!”
เย่จวินอดหัวเราะไม่ได้
ตอนกลางคืนเขานอนอยู่ในผ้าห่ม คุยเล่นกับหลิวเยว่
“ผมจะทำได้จริงๆ เหรอ? ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก”
“ตอนเด็กๆ คนในหมู่บ้านเคยพูดว่า ผมเป็นคนที่โง่ที่สุดในรุ่นเดียวกัน”
“คุณแค่ซื่อที่สุดต่างหาก” หลิวเยว่พูดพร้อมรอยยิ้ม “การทำงานอย่างจริงจังก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งนะ”
“คุณไม่คิดเหรอว่าความซุ่มซ่ามก็เป็นเอกลักษณ์ของคุณเหมือนกัน?”
“แล้วคุณก็ไม่ได้โง่หรอก ฉันว่านะ คุณแค่ค่อนข้างจริงจังและหนักแน่นกว่าคนอื่นหน่อย”
เย่จวินรู้สึกว่าภรรยาของเขาพูดเก่งจริงๆ
วันรุ่งขึ้น เย่จวินก็พาเย่เสี่ยวจิ่นและเย่จื้อผิงข้ามเขาลัดเขาไปยังหมู่บ้านของย่าสามด้วยกัน
พ่อลูกสองคนแบกของด้วยไม้คาน
เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามหลังอย่างสบายๆ ในมือกอดเส้นบะหมี่ก้อนใหญ่
ซุนพ่านตี้นั่งอยู่หน้าประตูบ้าน มองดูไก่และเป็ดวิ่งไปมา
นางถือไม้เท้าอยู่ในมือ รู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย
เมื่อเห็นคนอื่นมีครอบครัวอยู่ข้างกายก็รู้สึกอิจฉา
คิดในใจว่า ถ้าวันไหนจิ่นเป่าเด็กหญิงน่ารักร่าเริงคนนั้นมาเยี่ยม นางจะต้องดีใจมาก และจะฆ่าไก่เป็ดที่เลี้ยงไว้ให้กิน
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากถนนข้างๆ
หูของซุนพ่านตี้ไม่ค่อยดีแล้ว จึงคิดว่าตัวเองหูแว่วไปเอง
“คุณย่าสาม! พวกเรามาเยี่ยมคุณแล้ว”
“ยังเอาข้าวสารและเส้นบะหมี่มาให้คุณอีกเยอะแยะเลย”
ซุนพ่านตี้เห็นเย่เสี่ยวจิ่นมาจริงๆ ก็ดีใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้
“โอ้โฮ จิ่นเป่า หนูมาจริงๆ ด้วย รีบมาให้คุณย่าสามดูหน่อยเร็ว”
“เสื้อผ้าชุดนี้สวยจัง จิ่นเป่าก็ดูอวบอิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก น่ารักขึ้นด้วย”
“ต้องกินข้าวกินอาหารให้มากๆ นะ จะได้อ้วนท้วนสมบูรณ์ ถึงจะดูดี”
ซุนพ่านตี้อุ้มเย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมา ลูบแก้มด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เย่เสี่ยวจิ่น ยิ้มแย้มแจ่มใส “คราวนี้หนูพาคนมาช่วยทำงานให้คุณย่าด้วยนะคะ”
ซุนพ่านตี้ไม่เข้าใจความหมาย “คนนี้… เป็นลูกคนโตหรือคนรองล่ะ? ฉันก็ไม่ได้ออกไปไหนมานาน จำไม่ค่อยได้ซะแล้ว”
“ตามหลักแล้ว ลูกคนโตคนรองก็อายุไล่เลี่ยกันนี่นา”
“คุณย่าสาม ผมเป็นลูกคนโตครับ ชื่อเย่จวิน” เย่จวินยิ้มพลางวางของที่แบกมาลง “ผมมาสร้างบ้านให้คุณครับ”
“อะไรนะ? มาสร้างบ้านให้ฉัน?” ซุนพ่านตี้ถึงกับตั้งตัวไม่ติด
“พวกเธอมาพูดล้อเล่นกับฉันทำไม? สภาพบ้านฉันก็ดีอยู่แล้ว จะสร้างบ้านใหม่ทำไมล่ะ?”
“จิ่นเป่า ย่ารู้ว่าเธอเป็นเด็กดี แต่ย่าแก่แล้ว ไม่ต้องการอะไรดีๆ หรอก”
“พอตายไปก็แค่เอาใส่โลงบางๆ ฝังลงดิน แค่พวกเธอมาจุดธูปให้ย่า ย่าก็ดีใจแล้ว”
คำพูดของคนแก่ ทำให้เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกสะเทือนใจ
คนแก่ที่อยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ ช่างลำบากจริงๆ
ถึงขนาดคิดว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว
“ย่าสาม อย่าพูดแบบนั้นสิ หนูไม่ชอบเลย!”
“พวกเรามาสร้างบ้านอิฐให้ย่านะคะ” เย่เสี่ยวจิ่นจับมือหยาบกร้านของคนแก่ พูดด้วยน้ำเสียงสงสาร “บ้านไม้หลังเก่านี้ทรุดโทรมแล้ว ทั้งมีลมโกรกและมืดทึบอุดอู้”
“พี่ชายหนูเพิ่งเรียนรู้วิธีเผาอิฐมา เลยจะมาสร้างบ้านอิฐให้ย่า”
ดวงตาของเธอเป็นประกาย “พอดีเลย พี่ชายหนูจะได้มาฝึกฝนทักษะของตัวเองด้วย”
“ย่าไม่ต้องปฏิเสธนะคะ พี่ชายหนูอยู่เป็นเพื่อนย่าได้ด้วยนะ”
ซุนพ่านตี้พยักหน้า “เรียนเผาอิฐเหรอ? นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ มีฝีมือติดตัวสักอย่าง ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว”
ซุนพ่านตี้เห็นเย่เสี่ยวจิ่นแค่แวบเดียว ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ถูกชะตากับตัวเองมาก
ดูเหมือนว่าความคิดของตัวเองจะไม่ผิดเลย
เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่มีน้ำใจ แต่ยังเห็นอกเห็นใจคนอื่นด้วย
“เธอนี่ ครอบครัวเธอส่งของมาให้ฉันมากมายขนาดนี้ ฉันที่เป็นแค่คนแก่ใกล้ตายจะใช้อะไรได้”
“จื้อผิงเอ๋ย เรื่องนี้ก็ต้องขอบใจพวกเธอที่นึกถึงฉันด้วยนะ”
เย่จื้อผิงยิ้ม “ป้าสาม อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ตอนนี้ครอบครัวของพวกเรามีฐานะดีขึ้นแล้ว เป็นญาติพี่น้องก็ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
ซุนพ่านตี้ยิ้ม “ฉันจะไปรินน้ำร้อนให้พวกเธอดื่ม คราวที่แล้วที่พวกเธอเอาน้ำตาลทรายแดงมาให้ ฉันยังไม่กล้าดื่มเองเลยนะ”
ซุนพ่านตี้ต้อนรับพวกเขา
จากนั้นก็ลากเย่เสี่ยวจิ่นเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างลับๆ ล่อๆ แล้วเปิดหีบไม้ที่บรรจุเสื้อผ้า
“จิ่นเป่า เธอเข้ามาสิ”
นางกวักมือเรียก ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ตอนที่มีสงครามก่อนหน้านี้ ฉันได้ซ่อนของบางอย่างไว้ในห้องใต้ดิน ตอนนั้นกลัวว่าลุงของเธอจะเอาไปจำนำ ดังนั้นฉันเลยฝังกล่องไว้ในดิน”
“หลังจากนั้นข้าวของในบ้านก็ถูกลูกชายที่ไม่เอาไหนของฉันเอาไปหมด ไม่คิดเลยว่าจะยังเหลือกล่องใบหนึ่งอยู่”
นางถือกล่องไม้ที่ตัวกล่องมีร่องรอยถูกกัดกร่อนไปบางส่วนแล้ว แต่ยังพอเห็นลวดลายบนกล่องได้อยู่
ซุนพ่านตี้เปิดกล่องอย่างระมัดระวังต่อหน้าเย่เสี่ยวจิ่น
ข้างในเป็นหยกสีขาว เนื้อละเอียดมาก
“เธอดูสิ นี่เป็นหยกขาวนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะอ้าปากกว้าง “หยกขาว?”
เธอกะพริบตาปริบๆ ความรู้ในสมองของเธอถูกดึงออกมาใช้
หยกชิ้นนี้เป็นรูปเด็กน้อยคู่หนึ่ง
เด็กน้อยคู่นี้ถือดอกบัวอยู่ในมือ ดอกบัวบานสะพรั่งมีกลีบมากมาย ฝักบัวถูกแกะสลักอย่างประณีตจนเห็นเมล็ดข้างใน
ทรงผมของเด็กน้อยเป็นแบบสมัยราชวงศ์ซ่ง ท่าทางมีชีวิตชีวา เส้นผมชัดเจนทุกเส้น ลวดลายทำอย่างประณีต ดูสวยงามมาก
เด็กทั้งคู่สวมเสื้อแขนสั้นคอกว้างและกางเกงขายาวทรงหลวม รอยจีบของเสื้อผ้าถูกสลักเป็นริ้วชัดเจน
เส้นสายพลิ้วไหว ชายเสื้อม้วนขึ้นเล็กน้อย ประดับด้วยลายตารางสี่เหลี่ยม
นางพึมพำ “นี่คือหยกขาวรูปเด็กถือดอกบัวสมัยราชวงศ์ซ่ง…”
เสียงของระบบดังขึ้นด้วย [เด็กถือดอกบัวนี้มีความหมายว่า ‘บัวกำเนิดอภิชาตบุตร’ ชาวราชวงศ์ซ่งมอบสิ่งนี้ให้กันเพื่อแสดงความปรารถนาดีที่จะมีลูกหลานเต็มบ้าน]
[มีค่ามาก!]
เย่เสี่ยวจิ่นรู้ว่าในยุคสมัยของเธอ สิ่งนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านหยวนแน่นอน
เธอไม่รู้ว่าระบบจะคำนวณและประเมินมูลค่าของมันเท่าใด
ซุนพ่านตี้ยิ้มพลางกล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นของที่แม่ทิ้งไว้ให้ฉัน ตอนนั้นฉันยังจำได้ว่าแม่บอกว่ามันเป็นของที่รั่วไหลออกมาจากวังหลวง”
“ตอนนั้นขันทีในวังแอบเอาของพวกนี้ออกมาขายทั่วไป ก็นับว่าโชคดีที่แม่ของฉันซื้อมันมาได้ บอกว่ามันมีความหมายดีที่จะให้กำเนิดอภิชาตบุตรอย่างต่อเนื่อง”
ซุนพ่านตี้กลับคิดว่าการมีอภิชาตบุตรนั้นเป็นเรื่องโกหก หลังจากที่ตัวเองให้กำเนิดบุตรชายตัวอัปรีย์ขึ้นมา
นางถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดว่า “ฉันจะมอบสิ่งนี้ให้เธอ”
เย่เสี่ยวจิ่นเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “คุณย่าสาม สิ่งนี้มีค่ามากนะคะ คุณไม่รู้หรอกว่า…”
“แน่นอนว่าฉันรู้” ซุนพ่านตี้ยิ้มเล็กน้อย “นี่เป็นหยกขาว ไม่ว่าจะเป็นของโบราณหรือไม่ ก็น่าจะมีค่าสูง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันหมายความว่า สิ่งนี้อาจจะมีมูลค่ามหาศาลเลยนะคะ”
“ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหลายพันหยวนแล้ว”
ซุนพ่านตี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ “ฉันเก็บไว้เองก็คงเสียเปล่า พอลูกชายฉันกลับมา ก็คงขายไปแค่สิบกว่าหยวน”
“ถ้าของชิ้นนี้มีค่ามาก ก็ยิ่งดีใหญ่”
ซุนพ่านตี้หยิบเชือกแดงเส้นหนึ่งออกมา ร้อยหยกเข้าไป แล้วส่งให้เย่เสี่ยวจิ่น
“จิ่นเป่า นี่เป็นของขวัญที่ย่าให้หนู หนูต้องเก็บรักษาให้ดีนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นรับมาอย่างจริงจัง โดยไม่สนใจการแจ้งเตือนราคาจากระบบ
เมื่อเป็นน้ำใจจากย่าสาม เธอจึงไม่มีทางเอาไปแลกเปลี่ยนแน่นอน
คุณค่าของสิ่งนี้ได้เหนือกว่ามูลค่าดั้งเดิมไปแล้ว
“ย่าสาม หนูจะเก็บรักษามันไว้ข้างกายอย่างดีแน่นอนค่ะ”
“ต่อไปเมื่อหนูแก่ตัวลง ก็จะมอบของแบบนี้ให้กับลูกหลานของหนูเช่นกัน”
ซุนพ่านตี้ตบหัวเธอเบาๆ “ดีๆ ดีแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นผูกเชือกสีแดงไว้ที่คอ
เย่จื้อผิงเห็นลูกสาวเดินออกมาจากบ้านอย่างมีความสุข ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
“เตาไฟบนนี้พังหมดแล้ว เวลาจุดไฟ ควันออกไปไม่ได้ มันก็จะลอยเข้าไปในบ้าน”
“ต้มน้ำก็ไม่ร้อนพอ คาดว่าต้องใช้ฟืนเยอะมากน้ำถึงจะเดือด”
เย่จวินก็สังเกตเห็นปัญหาหลายอย่างในบ้านหลังนี้
“ใช่ครับ ของพวกนี้ต้องทำใหม่หมด ผมไม่มีความชำนาญ ได้แต่ทำตามที่หนังสือบอกเท่านั้น”
เขารู้สึกจริงๆ ว่าตัวเองเป็นแค่ช่างมือสมัครเล่น
โชคดีที่ได้มาลองทำงานให้บ้านย่าสามก่อน ถ้าออกไปรับจ้างข้างนอกจริงๆ คงโดนเจ้าของบ้านดูถูกแน่ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
งานแกะสลักประณีตแบบนั้นน่าจะประเมินค่าไม่ได้เลยล่ะ ระบบจะให้จิ่นเป่าเก็บไว้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)
…………….