ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 195 บ้านย่าสามมีของโบราณใหม่หรือ?
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 195 บ้านย่าสามมีของโบราณใหม่หรือ?
บทที่ 195 บ้านย่าสามมีของโบราณใหม่หรือ?
…………….
บทที่ 195 บ้านย่าสามมีของโบราณใหม่หรือ?
โรงเรียนมัธยมเฉียนหยางหมายเลข 1
เย่เหวินชางกำลังกินข้าวในโรงอาหารกับหวังหลิน
ทั้งสองคนนั่งด้วยกันอย่างสนิทสนม
“เหวินชาง ตอนนี้นายกำลังทำงานหนัก ควรกินอาหารดีๆ หน่อยนะ” หวังหลินตักเนื้อในชามของหล่อนให้เย่เหวินชาง สายตาของหล่อนแสดงความอ่อนโยนอย่างยิ่ง
หล่อนเชื่อมั่นว่าเย่เหวินชางเป็นอัจฉริยะที่ยังไม่ได้แสดงความสามารถ
ตอนนี้หล่อนอยู่เคียงข้างเย่เหวินชาง แม้จะลำบากบ้าง แต่หล่อนก็เชื่อว่าในอนาคตจะได้เห็นเขาประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ปกติหล่อนชอบอ่านหนังสือ ในหนังสือเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มยากจนที่ฝ่าฟันอุปสรรคจากครอบครัว จนกลายเป็นคนเก่งที่มีความสามารถ
หวังหลินเชื่อมั่นว่า เย่เหวินชางผู้ช่างเอาอกเอาใจและรอบคอบ ก็เป็น “หุ้นที่มีศักยภาพ” เช่นกัน
“ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องลำบาก”
“เธอเองก็เป็นเด็กสาวที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากครอบครัวนี่นา ในอนาคตฉันจะตอบแทนบุญคุณเธอเป็นอย่างดี”
“ฉันจะไม่มีวันทำให้น้ำใจของเธอต้องสูญเปล่าเด็ดขาด”
เย่เหวินชางแสดงออกอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
น่าเสียดายที่หวังหลินไม่สามารถมองเห็นแววตาของเขาได้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีข่าวดีจะบอกเธอด้วย”
หวังหลินยิ้มอย่างลึกลับ “ก่อนหน้านี้นายถูกคนในบ้านอาสามรังแกใช่ไหมล่ะ”
“ฉันได้สอบถามในหมู่บ้านแล้ว เหตุผลที่บ้านอาสามของนายร่ำรวยขนาดนั้น ก็เพราะมีหัวหน้าสวนผลไม้ที่เก่งในการทำธุรกิจไงล่ะ”
“ดังนั้นฉันจึงไปหาลูกพี่ลูกน้องของฉัน…”
ดวงตาของหวังหลินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป็นผู้จัดการโรงงานในเมืองนะ มีเส้นสายเยอะมากเลย”
“เขาคิดวิธีออกมาทันที เลยไปที่ร้านสหกรณ์ แล้วทำให้ธุรกิจของหมู่บ้านพวกคุณพังพินาศ”
“นายว่ามันไม่ตลกเหรอ? ตอนนี้บ้านอาสามของคุณคงกำลังปวดหัวจนแทบระเบิดแน่ๆ”
ครอบครัวของหวังหลินมีเส้นสายที่ยอดเยี่ยมมาก
คำพูดของหล่อนก็แสดงถึงความสามารถด้วย
ดวงตาของเย่เหวินชางวาบขึ้น แต่เดิมครอบครัวของเขายังรอให้เขาประสบความสำเร็จแล้วกลับมาแก้แค้น
แต่หวังหลินกลับจัดการปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย และยังช่วยระบายความแค้นให้เขาอีกด้วย
“หลินหลิน ฉันขอบคุณเธอมากที่คิดถึงฉันอย่างรอบคอบขนาดนี้ แต่ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
หวังหลินขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหวินชาง นายไม่ชอบที่ฉันทำเรื่องแบบนี้ที่ไม่อยากให้ใครรู้เหรอ?”
“ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกนะ แค่ขายผลไม้ไม่ออกบ้าง มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเขาหรอก”
“ฉันคิดไว้แล้ว อย่างมากก็แค่เอาผลไม้มากินเองที่บ้าน ไม่เจ็บไม่คันอะไร”
หล่อนรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “ฉันแค่อยากให้นายได้ระบายความโกรธออกมาเท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เย่เหวินชางจับมือหล่อนไว้ “ที่ฉันหมายถึงคือ ฉันไม่อยากให้เธอต้องไปขอร้องใครเพื่อฉัน ถ้าติดหนี้บุญคุณคนอื่นมากๆ ฉันก็รู้สึกไม่ดี”
หวังหลินโล่งอกเมื่อรับรู้ว่าเย่เหวินชางคิดถึงแต่หล่อนจริงๆ
“นายวางใจได้ คนๆ นี้เป็นพี่ชายฉันเอง เห็นฉันโตมาตั้งแต่เด็ก”
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ แค่พูดคำเดียวก็จบแล้ว”
เย่เหวินชางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหวังหลินมีพี่ชายเป็นผู้จัดการโรงงาน
ความคิดของเขาเริ่มแล่นขึ้นมา
ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านแล้ว ช่วงนี้ทั้งหมู่บ้านวุ่นวายกับเรื่องสัญญาร้านสหกรณ์มาหลายวัน
เย่เสี่ยวจิ่นยื่นอุทธรณ์ไปถึงสำนักงานเกษตรโดยตรง มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ทางร้านสหกรณ์ก็ไม่สามารถปฏิเสธการจ่ายเงินได้
ยิ่งไปกว่านั้น เย่เสี่ยวจิ่นยังมีท่าทีพร้อมจะยื่นอุทธรณ์ต่อไปอีก
พวกเขาก็ไม่อยากมีเรื่องยุ่งยาก
จึงจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้
เจียงถงยังมาด้วยตัวเอง โดยบอกว่ามาในนามส่วนตัว
ครอบครัวของเย่เสี่ยวจิ่นต้อนรับเขา
“จิ่นเป่า เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ” เจียงถงชูนิ้วโป้งขึ้น “เก่งมากเลยนะ”
“ผมไปสอบถามข้อมูลให้คุณแล้ว ตามที่ได้ยินมา เขาเป็นผู้จัดการโรงงานคนหนึ่งที่ไปพูดอะไรบางอย่างตอนดื่มเหล้ากับหัวหน้าของพวกเรา หัวหน้าถึงได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญา”
“ผู้จัดการโรงงานคนนั้นชื่อเจียงซิน พวกคุณลองคิดดูว่าเคยทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “พี่เจียง ขอบคุณมากนะคะ ฉันจะต้องไปสืบให้รู้เรื่องแน่ๆ”
“แม่ฉันทำเป็ดตุ๋นกับหน่อไม้ไผ่ฤดูหนาว คุณโชคดีแล้วล่ะที่มาวันนี้”
เจียงถงยิ้มพลางกล่าว “งั้นผมก็ไม่เกรงใจละนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นจดจำชื่อเจียงซินที่ไม่คุ้นเคยนี้เอาไว้
เธอตัดสินใจว่าจะไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมในเมืองภายหลัง
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผู้จัดการโรงงานคนนี้ คาดว่าคงต้องถามจากคนที่คุ้นเคยกับในเมืองถึงจะได้คำตอบ
แต่เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือต้องหาวิธีเปิดช่องทางการขายก่อน
ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยดูแลเรื่องสวนผลไม้เป็นอย่างดีด้วย
เย่เสี่ยวจิ่นเดินไปที่โรงเรือนเพาะปลูกตามปกติ มีคนหลายคนกำลังพูดคุยกันอยู่ที่หน้าประตู
“การปลูกพืชในโรงเรือนแบบนี้มีประโยชน์อะไร? ไม่มีใครซื้อแล้ว เหนื่อยแทบตายแบบนี้ สุดท้ายคงไม่ได้อะไรเลยใช่ไหม?”
“ไม่รู้สิ เดิมทีบอกว่าปีนี้หมู่บ้านเราจะได้เงินมากขึ้น พวกเราก็จะได้รับเงินปันผลมากขึ้นด้วย ฮือ… ช่างโชคร้ายจริงๆ”
“ใช่แล้ว แตงโมกับเมลอนตั้งเยอะแยะ พวกเรากินกันเองก็ไม่หมด”
“ถ้าเอาไปขายข้างนอกล่ะ? ฤดูหนาวไม่มีแตงโมกับเมลอน บางทีอาจจะขายได้นะ”
“โอ๊ย ฤดูหนาวหนาวจะตายอยู่แล้ว ใครจะกินพวกนี้กันล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นมองไปในกลุ่มคน เห็นหลินเซี่ยงชุนกำลังปลุกระดมทุกคนอยู่
คงเป็นหล่อนที่ตั้งใจปลุกปั่นคนแน่ๆ
เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไป ทุกคนก็เงียบกันไปทันที
“ป้าหลิน วันนี้คุณก็มาทำงานด้วยเหรอ? ฉันนึกว่าคุณยังคงกังวลเรื่องของเหอชุนเซิงอยู่ ไม่อยากมาทำงานที่นี่แล้วเสียอีก”
“หลายวันมานี้ไม่เห็นพวกคุณออกจากบ้านเลย เหอชุนเซิงที่บ้านคุณเป็นยังไงบ้าง?”
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าป่วย ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นมากแล้ว” หลินเซี่ยงชุนตอบอย่างเก้อเขิน “ฉัน…”
“เอ๊ะ อย่าเพิ่งรีบไปสิ” เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มตาหยี ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของหล่อนแม้แต่น้อย “คุณกลับไปบอกเหอชุนเซิงด้วยนะว่าอย่าเห็นศักดิ์ศรีสำคัญเกินไปนัก”
“ถ้ายังคิดแต่เรื่องอับอายขายหน้าอยู่ตลอด ไม่ปรับทัศนคติให้ดี มันจะทำร้ายร่างกายนะ”
“ฉันไม่ได้โกรธเขาแล้ว ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรนานแล้ว พวกคุณก็ไม่ต้องเห็นฉันแล้วหนีไป”
เรื่องพวกนี้ หลินเซี่ยงชุนไม่อยากจะพูดถึงอีกเลยตลอดชีวิตที่เหลือ
อับอายขายหน้าไปถึงในบ้านแล้ว
หล่อนยิ้มแย้มแต่ไม่ถึงดวงตา “ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราก็รู้ว่าคุณใจเย็น”
“ฉันมีธุระที่บ้านนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะ”
หลังจากที่หลินเซี่ยงชุนจากไป เย่เสี่ยวจิ่นก็มองคนอื่นๆ
“จิ่นเป่า อย่าโกรธเลยนะ แค่เรื่องนี้มันใหญ่หน่อย พวกเราก็เป็นห่วงเท่านั้นเอง”
“ใช่แล้ว ถึงจะเป็นห่วง แต่สิ่งที่ต้องทำพวกเราก็จะทำอยู่ดี”
“งานวันนี้ยังไม่ได้เริ่มเลย พวกเราก็ต้องไปทำต่อแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นสังเกตเห็นว่าทุกคนมีความกระตือรือร้นน้อยลงกว่าเดิม
เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “พวกคุณวางใจได้ ฉันได้คุยกับผู้ใหญ่บ้านแล้ว แตงโมและเมลอนพวกนี้ พวกเราจะรับผิดชอบขายให้หมด”
“ตอนแรกธุรกิจกับสหกรณ์ก็เป็นพี่รองของฉันไปเจรจามา”
เธอรู้สึกขบขันอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อพี่รองของฉันสามารถเจรจาตกลงกับร้านสหกรณ์ได้หนึ่งร้าน ทำไมเขาจะไม่สามารถเจรจากับร้านค้าที่สองได้ล่ะ?”
“อีกอย่างสินค้าของพวกเราคุณภาพดีขนาดนี้ ย่อมไม่มีทางขายไม่ออกแน่นอน”
เย่เสี่ยวจิ่นแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“ฉันขอรับรองกับพวกคุณว่าผลไม้จากโรงเรือนครั้งนี้ จะทำให้หมู่บ้านของเราได้กำไรมากกว่า 10,000 หยวน”
ทุกคนต่างตกตะลึง
หนึ่งหมื่นหยวน…
นั่นมันเงินมากขนาดไหนกัน?
ธนบัตรที่มีมูลค่าสูงสุดที่พวกเขาเคยเห็นก็แค่ใบละ 10 หยวนเท่านั้น
ต่อให้แบ่งเงินหนึ่งหมื่นหยวนให้แต่ละคน ก็ยังเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล
“หนึ่งหมื่นหยวนเลยเหรอ? เยี่ยมมาก ถ้าขายได้ราคานี้จริงๆ นั่นก็คงจะกำไรเละเทะเลยสิ”
“ฉันยังไม่เคยได้ยินเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนเลย”
“พวกเราอย่าคุยกันเล่นอีกเลย รีบไปทำงานกันดีกว่า ในสวนแตงโมนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ”
ตอนนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องให้เย่เสี่ยวจิ่นพูดอะไรอีกแล้ว พวกเขารีบไปทำงานกันอย่างคล่องแคล่วทันที
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นทุกคนในโรงเรือนเริ่มยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกโล่งอก
ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ประกาศราคาในสัญญาออกไป ทุกคนก็ยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำเงินได้เท่าใด
เพียงเย่เสี่ยวจิ่นพูดส่งๆ ว่าหนึ่งหมื่น ก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้นราวกับได้ฉีดยากระตุ้นไปแล้ว
ความจริงแล้วกับผลผลิตมากมายขนาดนี้ เงินที่จะได้ไม่ใช่แค่เท่านี้หรอก
เย่จื้อผิงออกมาจากโรงเรือน “จิ่นเป่า ลูกนี่เจ้าแผนการจริงๆ แถมยังมีวาทะศิลป์ด้วย”
“ตอนเช้าพ่อเห็นว่าทุกคนไม่ค่อยกระตือรือร้น เลยอยากจะพูดให้กำลังใจ แต่พูดยังไงพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนใจ”
“ส่วนเจ้ารองวันนี้ก็ไปยุ่งอยู่ในเมือง เขาน่าจะรู้จักคนมากมาย เดือนนี้จึงต้องวิ่งติดต่อธุรกิจไปทั่ว”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกปลื้มใจอยู่บ้าง พี่ชายคนรองมีความสามารถในการปฏิบัติงานที่ดีมากโดยไม่จำเป็นต้องมีใครบอกจริงๆ
เขาแค่คิดหาวิธีได้แล้วก็ขี่จักรยานออกไปแต่เช้าตรู่
แม้จะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์พิเศษ แต่เขาเป็นคนที่กล้าเผชิญหน้ากับความล้มเหลวและเรียนรู้
การถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะสั่งสมประสบการณ์ไม่น้อย
“แม้เรื่องนี้จะเป็นข่าวร้ายสำหรับทุกคน แต่หนูคิดว่านี่เป็นแผนระยะยาวที่ดีนะคะ”
“เราขายให้กับร้านสหกรณ์ร้านเดียวไม่ได้ตลอดไปหรอก”
เย่จื้อผิงพยักหน้า รู้สึกว่าสิ่งที่เย่เสี่ยวจิ่นพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“อ้อ ใช่แล้ว มีข่าวมาจากบ้านย่าสามของลูก ท่านบอกว่าไก่และเป็ดที่เลี้ยงไว้โตแล้ว เรียกให้เราไปกินข้าวด้วยนะ”
“ก่อนหน้านี้พ่อส่งข้าวสารและเส้นบะหมี่ไข่ไปให้ท่านเยอะมาก จนท่านกลัวว่าพวกเราจะไม่มีพอกิน”
เย่เสี่ยวจิ่นนึกถึงย่าสามแล้วอดรู้สึกสงสารคนแก่ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้
“ได้สิคะ วันหลังเราไปเยี่ยมย่าสาม พาท่านไปตรวจร่างกายในเมืองกันเถอะค่ะ”
“คนแก่ถ้าไม่ไปตรวจร่างกายเป็นประจำ อาจเกิดปัญหาได้ง่าย”
“ยิ่งท่านอยู่คนเดียว ลูกชายก็ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ไม่มีคนดูแลด้วย”
เย่จื้อผิงรู้สึกว่าจิ่นเป่าสมกับเป็นลูกสาวของตัวเอง ทั้งฉลาด ใจดี และกตัญญู
เขายิ้มพลางพูดว่า “ย่าสามยังบอกอีกด้วยว่าเจอของดีในถ้ำ อยากให้ลูกไปดูน่ะ”
ดวงตาของเย่เสี่ยวจิ่นเป็นประกาย “จริงเหรอคะ?”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “พวกเราอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดข้างนอกนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกดีใจมากในใจ และรู้สึกเกรงใจที่จะได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว
เธอก้มหน้าครุ่นคิด “หรือว่าเราไปช่วยซ่อมแซมบ้านให้ย่าสามดีไหมคะ? สร้างเป็นบ้านอิฐเลยก็ได้”
“พอดีช่วงนี้ให้พี่ใหญ่ไปเรียนวิธีทำอิฐ ไม่รู้ว่าเขาอ่านหนังสือไปถึงไหนแล้ว”
“ให้พี่ใหญ่ไปลองฝึกปฏิบัติดู ถ้าทำได้ดี ฤดูหนาวนี้ก็จะเริ่มหาเงินได้แล้ว”
เย่จื้อผิงเห็นเธอคิดอะไรได้หลายอย่าง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ลูกนี่มีความคิดเยอะจริงๆ เลยนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ยัยหลินหลิน ตบเรียกสติเธอให้หายตาบอดจากความรักสักหน่อยดีไหมเนี่ย เสียหายทั้งหมู่บ้านแบบนี้เธอเรียกว่าไม่เสียหายหนักมากเหรอ? โชคดีที่จิ่นเป่ามีแผนสำรองไว้แล้วหลายแผนเลยไม่เป็นไรมาก
ไหหม่า(海馬)
…………….