ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 194 สัญญากับร้านสหกรณ์ถูกยกเลิก
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 194 สัญญากับร้านสหกรณ์ถูกยกเลิก
บทที่ 194 สัญญากับร้านสหกรณ์ถูกยกเลิก
…………….
บทที่ 194 สัญญากับร้านสหกรณ์ถูกยกเลิก
เรื่องแต่งงานจบลงแล้ว หลังจากนั้นทุกคนก็วุ่นวายกับเรื่องในไร่
ต้นกล้าเมลอนและแตงโมทั้งหมดเพิ่งถูกย้ายลงแปลง
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นกำลังเตรียมทำหลักสำหรับพยุงเถาแตง
การพยุงเถาในแนวตั้งเหมือนกับการปลูกองุ่นทำให้ผลผลิตต่อหมู่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือมากกว่านั้น
คนอื่นๆ ไม่เข้าใจวิธีนี้ แต่ด้วยความไว้วางใจในตัวเย่เสี่ยวจิ่น จึงไม่มีใครพูดอะไร
ดูเหมือนว่าโครงสร้างพื้นฐานในโรงเรือนทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันทำงานอย่างเดียวกัน
เมื่อต้นกล้าทั้งหมดถูกย้ายลงแปลงเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างจึงดูง่ายขึ้นมาก
แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนจากในหมู่บ้านมาหา
เย่เสี่ยวจิ่นรีบไปที่สำนักงานหมู่บ้านทันที
เจียงถงนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่กับซุนจ่างซุ่น
แต่ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย
“จิ่นเป่า ในที่สุดเธอก็มาสักที เสี่ยวเจียงคนนี้รีบร้อนมาที่นี่มาก เขาไม่ยอมบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น บอกว่าจะพูดต่อหน้าเธอ คงจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างล่ะมั้ง”
ถึงซุนจ่างซุ่นพูดแบบนั้น แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความกังวล
ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งกับการสร้างโรงเรือนกันอยู่
แม้ว่าแผ่นฟิล์มทั้งหมดจะเป็นของจิ่นเป่า แต่คนทั้งหมู่บ้านต่างก็ช่วยกันลงแรงทำงาน
ถ้าร้านสหกรณ์ไม่รับของกะทันหัน พวกเขาก็จะขาดทุนอย่างหนัก
ทุกคนทำงานฟรีมานานขนาดนั้น แม้แต่สิ่งอื่นๆ ก็ยังต้องเลื่อนไปทำทีหลัง
เย่เสี่ยวจิ่นพอจะเดาได้ในใจ เห็นสีหน้าของเจียงถงเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“พี่เจียง พูดตรงๆ เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ ฉันรับได้”
เจียงถงมองพวกเขาพลางถอนหายใจ แล้วถูมือไปมา
พอเห็นดวงตาดำขลับสุกใสของเย่เสี่ยวจิ่นดูเหมือนจะมองทะลุทุกอย่าง เขายิ่งรู้สึกผิดในใจมากขึ้น
“ตามหลักแล้ว ความร่วมมือของเราควรจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน”
“การร่วมมือกันครั้งก่อนถือว่าดีมาก ผมรู้ว่าผลผลิตของพวกคุณดีแค่ไหน แล้วผมก็ปรึกษากับทางสหกรณ์เป็นอย่างดีแล้ว ถึงได้ขอให้พวกคุณปลูกอีกรอบ”
“แต่ว่า…”
เจียงถงก็ไม่ปิดบังพวกเขาอีกต่อไป กำมือแน่นแล้วพูดออกมาว่า “ประธานคณะกรรมการของเราเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่คิดจะรับซื้ออีกแล้ว”
“ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีกับพวกคุณ แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของท่านประธานได้”
“ผมรับผิดชอบแค่เรื่องของสหภาพแรงงานเท่านั้น คนที่ตัดสินใจจริงๆ ก็ยังเป็นประธานคณะกรรมการอยู่ดี”
ซุนจ่างซุ่นมือสั่น ลุกขึ้นยืนทันที
การคาดเดาที่ไม่ดีของเขากลายเป็นความจริงเสียแล้ว
“น้องเจียง เธอ…เธอก็เป็นประธานไม่ใช่เหรอ?”
“ผมเป็นแค่ประธานสหภาพแรงงาน รับผิดชอบเรื่องการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรอะไรแบบนี้…” เจียงถงยิ้มขื่น “ท่านผู้ใหญ่บ้าน จิ่นเป่า ผมทำไม่ดีกับพวกคุณแล้ว”
“เรื่องนี้หัวหน้ามาพูดด้วยตัวเองครับ ผมก็พยายามเกลี้ยกล่อมแล้ว”
“แต่เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ท่าทางเด็ดเดี่ยวมาก”
ซุนจ่างซุ่นรู้สึกหดหู่ใจจนแทบจมดิน
เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง เอ่ยพึมพำ “ตอนนี้ปลูกไปมากมายขนาดนี้แล้ว จะทำยังไงดีล่ะ”
เขายังคิดอยู่เลยว่า ครั้งนี้จะต้องทำให้ทุกคนได้รับเงินปันผลมากขึ้นแน่นอนตอนสิ้นปี
ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่จู่ๆ ก็ตกจากสวรรค์ลงสู่นรกเสียอย่างนั้น
เรื่องนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน
“คุณเจียง…หัวหน้าเจียง พวกเราตั้งราคาสูงเกินไปหรือเปล่า? เรื่องนี้เราสามารถเจรจากันได้นะครับ”
เจียงถงถอนหายใจ ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
นี่เป็นการทำให้หมู่บ้านชงเถียนเสียหายอย่างมากจริงๆ
เขารู้สึกเจ็บปวดในใจมาก
แต่เย่เสี่ยวจิ่นกลับไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เรื่องราวเป็นแบบนี้ไปแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่ากระบวนการจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ผลลัพธ์ก็ชัดเจนว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
“พี่เจียง ประการแรก พวกเราได้ลงนามในสัญญาแล้ว ดังนั้นพวกเราจะไม่คืนเงินมัดจำก่อนหน้านี้ให้”
“พวกคุณไปปรึกษากันได้ว่าจะปฏิบัติตามสัญญาหรือจะจ่ายชดเชยเงินมัดจำให้พวกเรา”
เย่เสี่ยวจิ่นเม้มริมฝีปากแล้วพูดต่อ “ประการที่สอง ถ้าพวกคุณยืนยันว่าไม่สามารถรับซื้อได้ พวกเราก็จะจัดการกับผลไม้เหล่านี้เอง หลังจากนั้นก็อย่ามาบอกอีกว่าจะรับซื้อตามสัญญา”
เจียงถงมองดูเย่เสี่ยวจิ่น รู้สึกตกใจอยู่ในใจ
แม้เด็กคนนี้จะอายุน้อย แต่ก็ดูสงบนิ่งเกินไป
กระทั่งผู้ใหญ่บ้านยังกลัวที่จะรับสินค้าจำนวนมากขนาดนี้มาไว้ในมือ
เธอไม่สนใจเลยหรือ?
เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าเย่เสี่ยวจิ่นจะต่อรองอีก ตัวเขาเองก็คงต้องปฏิเสธ
แต่ไม่คิดว่าเธอจะไม่มีท่าทีอยากเอาคืนเลย
เธอให้สองทางเลือกนี้มาเลย
“เงินมัดจำ 400 หยวน ถ้าจะใช้เป็นค่าชดเชยก็มากเกินไปหน่อยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม
ตอนนี้เธอไม่พูดถึงเรื่องน้ำใจอะไรอีกแล้ว
“เราลงนามกันในสัญญาอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ยกเลิกง่ายๆ ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำไม่ได้”
“แล้วแบบนี้ประโยชน์ของการทำสัญญาจะอยู่ตรงไหนละคะ? หรือว่าพวกคุณเห็นเป็นแค่เรื่องเล่นๆ?”
“พี่เจียง หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุผลรองรับ”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ถ้าคุณตัดสินใจเองไม่ได้ ก็กลับไปปรึกษากับประธานคณะกรรมการของพวกคุณก่อนก็ได้”
เจียงถงพยักหน้า
หลังจากพูดเรื่องนี้จบก็เดินจากไป
ซุนจ่างซุ่นรู้สึกหมดกำลังใจไปครึ่งหนึ่ง “จิ่นเป่า แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? พวกเราทำงานกันมาตั้งนาน ถึงเวลานั้นจะให้ทุกบ้านแบ่งแตงโมกันเยอะขนาดนั้นเหรอ?”
เขาเองก็รู้สึกกังวลเช่นกัน “อีกฝ่ายเป็นถึงสหกรณ์ ถึงแม้เรามีสัญญา ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะพวกเขาได้”
“เงินสี่ร้อยหยวนนี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ นะ จะ…”
“ลุงซุน คุณวางใจได้ค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือ “ในเมื่อหนูลงนามในสัญญาแล้ว หนูก็เตรียมพร้อมรับมือกับการที่อาจจะถูกยกเลิกสัญญาไว้แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นชาติก่อนเคยเป็นผู้บริหารในวงการธุรกิจ
เธอรู้ดีว่าในการทำธุรกิจ เหตุสุดวิสัยต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
ไม่ต้องพูดถึงการผิดสัญญา แม้แต่การกลับคำพูดอย่างกะทันหันก็เป็นเรื่องปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงถงยังรีบมาแจ้งให้พวกเขาทราบทันที
“แตงโมและเมลอนในฤดูหนาวจะขายได้ราคาแพงกว่า ในเมื่อพวกเขาไม่รับซื้อ เราก็ขายเอง”
ซุนจ่างซุ่นตกใจ “ผลผลิตมากขนาดนี้ จะขายเองเหรอ?”
เย่เสี่ยวจิ่นมีความคิดว่องไว ทันทีที่รู้เรื่องนี้ ในใจก็มีแผนแล้ว
อย่างน้อยก็คิดออกมาได้สามทางเลือก
เธอเม้มริมฝีปาก “กลัวอะไรกันคะ พี่ชายฉันเก่งเรื่องทำธุรกิจมาก”
ซุนจ่างซุ่นที่เดิมกังวลอย่างไร้ทิศทาง พอเห็นเย่เสี่ยวจิ่นดูสงบนิ่งเช่นนี้ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น
“ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ แสดว่าเธอต้องมีความคิดอะไรแน่ๆ” ซุนจ่างซุ่นพยักหน้า “ฉันยังเชื่อใจพวกเธออยู่”
“แต่เรื่องนี้มันแปลกจริงๆ นะ ตามหลักแล้วเราเคยร่วมมือกันมาหลายครั้ง พวกเขาก็มีเงินให้หาได้ ทำไมถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้ล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
เธอขมวดคิ้ว “งั้นปัญหาก็อยู่ที่ประธานคณะกรรมการคนนี้แล้วล่ะ”
“นี่มันไม่เหลือช่องให้เจรจาเลย ไม่ก็มีทางเลือกที่ดีกว่า หรือไม่ก็ดูถูกพวกเรา”
“พวกเราไม่รู้จักประธานคณะกรรมการคนไหนเลย ไม่น่าจะมีโอกาสไปทำให้เขาขุ่นเคืองได้”
“หรือว่าจะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งโผล่มาล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นคิดไม่ออก เลยตัดสินใจไม่คิดต่อ
ถึงร้านสหกรณ์ไม่ซื้อ แต่ก็มีคนอื่นที่รอซื้ออยู่แล้ว
ระหว่างทางกลับบ้านจากหมู่บ้าน เย่ฉางอันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ทำไมเธอถึงรีบร้อนไปหาผู้ใหญ่บ้านแบบนั้นละ มีเรื่องดีอะไรหรือ?”
เย่เสี่ยวจิ่นชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “เรื่องดีน่ะไม่มีหรอก แต่มีเรื่องร้ายอยู่หนึ่งเรื่อง พี่อยากฟังไหม?”
“เรื่องร้ายเหรอ? ฉันไม่อยากฟังเรื่องร้ายหรอก”
“ถึงพี่ไม่อยากฟัง แต่ก็ต้องฟังนะ” เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มกริ่ม “เพราะว่ามันเกี่ยวกับพี่ด้วย”
“เงินค่าตอบแทนสี่ร้อยหยวน พี่อยากได้ไหม?”
“สี่ร้อยหยวน? เธอพูดจริงหรือ? อย่าหลอกฉันนะ” ดวงตาของเย่ฉางอันเป็นประกายขึ้นมา
“เงินสี่ร้อยหยวนนี้เป็นค่าชดเชยที่ร้านสหกรณ์จ่ายให้พวกเรา พวกเขาเปลี่ยนใจไม่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรของพวกเราแล้ว”
เย่ฉางอันได้ยินแล้วพูดว่า “ดังนั้นเธอเลยวางแผนจะให้เงินชดเชยสี่ร้อยหยวนนี้กับฉัน แล้วให้ฉันไปขายผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมดใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าเบาๆ “เรื่องนี้สำหรับพี่แล้วน่าจะไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“และคาดว่าพี่น่าจะทำเงินได้มากกว่าที่ระบุในสัญญาของร้านสหกรณ์ด้วยนะ”
“ครั้งที่แล้วที่พี่ขายปลาดอกข้าว พี่ไม่ได้เสียดายที่ขายถูกไปหรอกเหรอ? คราวนี้มีโอกาสใหม่ พี่จะไม่คว้าเอาไว้หรือ?”
เย่ฉางอันรู้สึกสนใจมาก “แต่ลำพังฉันคนเดียวคงทำไม่ไหวหรอกนะ มันเยอะเกินไป”
“ในหมู่บ้านจะมีคนช่วยพี่แน่นอน”
“งั้นก็ได้ ตอนนั้นฉันจะชวนพี่ใหญ่มาด้วย พวกเราจะหาเงิน 400 หยวนนี้ด้วยกัน”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า “ไม่เลวเลยนะ พี่รอง รู้จักชวนพี่ใหญ่มาหาเงินด้วยกันแล้วสินะ?”
เงิน 400 หยวนไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย
ปีก่อนๆ ตอนแบ่งเงินปันผลปลายปี ยังได้แค่ร้อยกว่าหยวนเอง
เงิน 400 หยวนนี่พอให้ทั้งครอบครัวมีชีวิตที่สุขสบายได้ตลอดทั้งปีเลยทีเดียว
“แน่นอนสิ ฉันเป็นโสดคนเดียว จะหาเงินไปทำไม? ส่วนพี่ใหญ่แต่งงานมีภรรยาแล้ว ต่อไปอาจจะต้องเลี้ยงลูกด้วยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นคิดว่าก็จริงอยู่ “ฉันอยากเป็นอาเล็กจังเลย”
ชาติที่แล้วเธอเป็นคนโสดไม่มีครอบครัว ยังไม่เคยอุ้มเด็กทารกเลย
“ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะมีลูกเมื่อไหร่นะ”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ หลิวเยว่ที่ออกมาจากในบ้านก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา พลันหน้าแดงขึ้นมา “ดีเหลือเกิน พวกเธอสองคนกำลังแช่งฉันอยู่เหรอ ฉันไม่อยากมีลูกเร็วหรอก มีลูกเร็วแบบนั้น ก็ทำงานหาเงินไม่ได้แล้วสิ”
“มีครอบครัวแล้วก็ต้องดูแล เหนื่อยแย่เลย”
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ” เย่ฉางอันยิ้มพลางกล่าว “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีชีวิตแบบนี้แล้วจะกลัวอะไรล่ะครับ?”
หลิวเยว่รู้ดีว่าพี่น้องพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก
หล่อนยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปมองเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า ฉันทำเสื้อให้เธอชุดหนึ่ง มาลองดูสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามหลิวเยว่เข้าไปในบ้านอย่างสงสัย
ช่วงนี้หลิวเยว่พยายามเรียนรู้เทคนิคการออกแบบเสื้อผ้าอย่างหนัก ความคืบหน้าในการเรียนรู้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นเธอก็เห็นเสื้อไหมพรมถักสีเขียวอ่อนตัวหนึ่งที่ปักลายดอกไม้เล็กๆ สีขาวและสีเหลือง
ชายเสื้อยังมีการตกแต่งที่สวยงาม ตั้งใจทำเป็นระบายกลีบบัว
ช่างประณีตเหลือเกิน
“ว้าว สวยมากเลย”
ไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีรสนิยมที่เหนือกว่าความเรียบง่ายของชนบท มีความรู้สึกถึง “ความงาม” แล้ว
“พี่สะใภ้ พี่มีพรสวรรค์มากเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่น ไม่ได้ตั้งใจจะยอหล่อน
พอลองสวมเสื้อไหมพรมก็พบว่ามันพอดีตัวมาก ทำให้คนใส่ดูน่ารักมากขึ้น
“ถ้าเธอชอบก็ดีแล้ว วันหลังฉันจะทำกระโปรงเล็กๆ ให้เธออีก”
หลิวเยว่ชอบเด็ก ในบ้านมีแต่เย่เสี่ยวจิ่นที่เล็กที่สุด หล่อนจึงรักและเอ็นดูเธอมาก
“เธอชอบสีอะไร ฉันจะทำผ้าพันคอลายเดียวกันให้เธอ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครเป็นประธานสหกรณ์นี่ อยู่ดีๆ จะมายกเลิกแบบนี้ได้ไง เขาเขียนหนังสือสัญญากันเรียบร้อยแล้วนะไม่รู้เหรอ
เชื่อฝีมือการขายของฉางอันได้เลย สหกรณ์เตรียมเจ็บหน้าได้
ไหหม่า(海馬)
…………….