ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 193 วันมงคลใหญ่
บทที่ 193 วันมงคลใหญ่
…………….
บทที่ 193 วันมงคลใหญ่
การแต่งงานเป็นเรื่องมงคลใหญ่
คนในตระกูลเย่จึงมากันหมด ยกเว้นครอบครัวของพี่ชายคนโต
พวกเขาตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว
เรื่องนี้ทำให้หลายคนสนใจ
“เย่หวาย ทำไมครอบครัวลุงใหญ่ของนายไม่มาเลยล่ะ? ฉันยังอยากชวนลุงใหญ่ของนายมาเล่นไพ่เลย”
เย่หวายลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ”
แม้เขาจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในวันมงคล
“อย่าถามเรื่องนี้เลย หลี่เหล่าซาน นายไม่รู้เรื่องหรือไง? อย่าทำเป็นไม่รู้ทั้งที่รู้อยู่แล้วสิ”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ช่วงนี้ฉันไม่ได้อยู่บ้านเลย”
ทุกคนเคยพูดถึงว่าเย่เหวินชางแอบอิจฉาเย่ฉางอัน จนทำให้เขาถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม
เย่เสี่ยวจิ่นโกรธมากและบุกไปต่อยเย่เหวินชางจนเข้าโรงพยาบาล ทำให้สองครอบครัวแตกหักกัน ไม่ไปมาหาสู่กันอีกเลย
หลี่เหล่าซานตบโต๊ะ “เรื่องนี้เป็นความผิดของบ้านใหญ่เย่นี่นา แล้วยังมีหน้ามาแตกหักกับคนอื่นอีกเหรอ?”
“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่ามีคนเห็นสาวคนเมืองรวยๆ มาที่บ้านพวกเขา คงจะแต่งเข้าบ้านแล้วพาทั้งครอบครัวไปใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองแน่ๆ”
ทุกคนพูดกันด้วยน้ำเสียงดูแคลน
ไม่มีใครนับถือคนสองหน้าแบบนี้หรอก
แถมหลี่กุ้ยฮวาก็เป็นคนปากจัดในหมู่บ้าน สร้างศัตรูไว้ไม่น้อย
หยางเจวียนได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ ก็เริ่มรู้สึกตัว
หล่อนมองไปรอบๆ สักพักก็พบว่าไม่เห็นเย่จื้อเฉียงและหลี่กุ้ยฮวาเลย
หล่อนรีบไปหาหลี่ชุ่ยชุ่ย แล้วถามเบาๆ เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมวันนี้ฉันถึงไม่เห็นคนจากบ้านพี่ชายคนโตเธอเลย? พวกเขาคงไม่ได้ไม่มาร่วมงานสำคัญแบบนี้ทั้งครอบครัวจริงๆ หรอกนะ?”
“ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปนานแล้ว” หลี่ชุ่ยชุ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเขาไม่อยากคบหากับพวกเราแล้ว ถึงมีงานแบบนี้ก็คงไม่มาหรอก”
“อะไรนะ? พวกเขายังมีหน้ามาตัดขาดความสัมพันธ์อีกเหรอ?” หยางเจวียนขมวดคิ้ว ทั้งโกรธทั้งขำ “โอ้โห บ้าไปแล้วหรือไง? ตอนนี้ครอบครัวเธอกำลังรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ พวกเขามีหน้าอะไรมาตัดขาดความสัมพันธ์กัน…”
หล่อนตบมือทั้งสองข้าง “ปัญหาคือ… แม้จะตัดขาดความสัมพันธ์ แต่เงินที่ควรได้ก็ต้องเอาสิ?!”
“ฉันจำได้ว่าตอนเทอมแรกที่เหวินชางเรียนหนังสือ ครอบครัวเธอก็ให้เงินไปไม่น้อยเลยนะ”
หยางเจวียนรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนครอบครัวของหลี่ชุ่ยชุ่ย
“ชุ่ยชุ่ย พวกเขาช่างไม่รู้จักอายเอาเสียเลย ยังไงต่อไปครอบครัวของเธอก็ต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น ถึงตอนนั้นพวกเขาจะต้องเสียใจแน่!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเล็กน้อย “จะไปสนใจพวกเขาทำไมกัน? ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรมากนักอยู่แล้ว”
“ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรหรอก ขอแค่จื้อผิงไม่มีปัญหา ฉันว่าเป็นแบบนี้ก็ดีกว่าเดิมอีก”
หยางเจวียนหัวเราะ “แน่นอนสิ”
“ก่อนหน้านี้พวกเขาเอาของไปจากที่นี่ตั้งเยอะแยะ”
“ไม่ต้องไปมาหาสู่กัน ยังช่วยประหยัดเงินได้อีกตั้งเยอะเลย”
อีกด้านหนึ่ง
หลิวต้าเม่ยและเย่ฉู่เฉียงยืนอยู่หน้าบ้านลูกชายคนโต ทั้งสองคนต่างรู้สึกหมดปัญญา
เย่จื้อเฉียงนั่งอยู่หน้าประตู ถือชามข้าวไว้ “พ่อแม่ พวกคุณโดนด่าแล้ว บอกว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว ไปตอนนี้จะมีความหมายอะไรล่ะ?”
“ผมน่ะ อยู่บ้านกินข้าวกับผักดองก็อร่อยดีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ติดคอ”
“จะไปบ้านน้องสามให้ขายหน้าคนอื่นทำไม?”
เขาหัวเราะเยาะ “ตอนนี้น้องสามรวยแล้ว ไม่เห็นพี่ชายคนโตอย่างผมอยู่ในสายตาแล้ว”
“ถึงผมไม่พูดอะไรออกมา แต่ในใจรู้ดี และรู้สึกเจ็บปวดมาก”
หลี่กุ้ยฮวาก็พูดเสริมอยู่ข้างๆ “ใช่แล้ว พวกคุณยังจะมาสนใจพวกเราทำไมอีก? ยังไงตอนนี้ก็สนใจแต่ครอบครัวน้องสามแล้ว ไม่ต้องมาหาพวกเราอีกก็ได้”
“พวกเราต้องรัดเข็มขัด แต่ก็แค่ปีกว่าๆ อย่างน้อยก็ยังส่งเสียเหวินชางเรียนจนจบได้”
ทั้งสองคนพูดราวกับว่าตัวเองน่าสงสารมาก
“เหวินชางของเราก็เจ็บ ตอนเขานอนป่วยอยู่โรงพยาบาลไม่มีใครมาเยี่ยมเลย”
“แถมที่บ้านก็ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล”
หลี่กุ้ยฮวาถอนหายใจ โบกมือไปมา “พวกเราไม่ไปบ้านน้องสามให้เกะกะสายตาหรอก ยังไงพวกเราก็ไม่มีเงินเอาไปเป็นของขวัญอยู่แล้ว”
เย่ฉู่เฉียงเงียบไปครู่ใหญ่ มองเย่จื้อเฉียง “เจ้าใหญ่ ลองชั่งใจดูให้ดีๆ”
“ต่อไปนี้ครอบครัวของพวกแกจะไม่ต้องการพวกเราตระกูลเย่อีกแล้วจริงๆ หรือ?”
“ถึงพวกแกจะตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว แต่บุญคุณที่ควรตอบแทนก็ต้องตอบแทน ของขวัญที่ควรให้ก็ควรให้บ้างตามสมควร อย่างน้อยก็ยังเป็นพี่น้องกันในสายตาคนอื่น”
“ไม่เช่นนั้นถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่เสียหน้าก็คือพวกเราตระกูลเย่”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ค่อยมีพี่น้องคู่ไหนที่ทะเลาะกันในครอบครัวแบบนี้”
เย่จื้อเฉียงแค่นเสียง “ทะเลาะกันในครอบครัว? พวกเขาแค่ดูถูกพวกเราต่างหาก แค่ไม่ไปมาหาสู่กันก็จะไม่ทำให้ตระกูลเย่เสียหน้าแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ?”
หลิวต้าเม่ยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดแล้ว
พูดกันมาทั้งเช้าแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมรับฟังอะไรเลย
ลูกชายคนโตเคยเป็นคนกตัญญูที่สุด แน่นอนว่าต้องถูกหลี่กุ้ยฮวายายแสบคนนี้ยุแหย่แน่ๆ ถึงได้ทำให้ลูกชายคนโตของตัวเองทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ออกมา
“แกอย่าโง่ไปหน่อยเลย บ้านเจ้าสามมีเงิน ต่อไปเหวินชางของพวกแกจะได้เป็นใหญ่เป็นโต จะก้าวหน้าโดยไม่ต้องใช้เงินได้ยังไง?”
“ถึงครอบครัวจะมีเส้นสาย แต่การแต่งงานกับลูกสาวคนอื่นก็ต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ? ถ้าพวกแกเอาใจเจ้าสามก็จะได้เงิน จะไปหรือไม่ไปก็ตามใจ”
หลี่กุ้ยฮวาไม่ยอมรับการดูถูกแบบนี้
หล่อนรอให้หวังหลินแต่งงานเข้ามา ตัวเองจะได้สบายมีชีวิตที่ดี
ทำไมต้องไปเอาใจพวกบ้านนอกไร้การศึกษาด้วย เป็นไปไม่ได้!
“คุณไม่ต้องพูดอีกแล้ว พวกเราไม่ไป”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็กลับเข้าห้องไปด้วยความโกรธ
งานมงคลคึกคักสนุกสนาน
ทุกคนหยุดพักหนึ่งวัน เพื่อไปร่วมงานมงคลที่บ้านลูกชายสามของตระกูลเย่
ตระกูลเย่เตรียมอาหารไว้อย่างเรียบร้อย มีอาหารจานเนื้อแปดเก้าอย่าง และอาหารจานผักห้าหกอย่าง
พอวางบนโต๊ะ ก็ทำให้ทุกคนน้ำลายสอทันที
“อาหารนี่ดีเหลือเกิน ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่บ้านซุนเหล่าเอ้อร์มีแค่เจ็ดอย่างเองนะ”
“ใช่แล้ว นี่มีตั้ง 14 อย่าง แถมครึ่งหนึ่งยังเป็นเนื้อสัตว์อีก นี่มันดีจริงๆ”
“ฉันไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว เนื้อสดๆ แบบนี้อร่อยมาก”
อาหารที่นี่ทำอร่อยมาก และก็หาได้ยากที่จะมีครอบครัวร่ำรวยจัดงานเลี้ยงแบบนี้
ทุกคนต่างสนุกสนานกับงานเลี้ยง
เย่จื้อผิงยกไหเหล้าขึ้น “พวกเรา เหล้าขาวนี้ซื้อมาจากบ้านผู้ใหญ่บ้าน ถ้าไม่อร่อยก็ไปรับเงินคืนที่ผู้ใหญ่บ้านนะ”
เหล้าขาวถูกแจกจ่ายไปทุกโต๊ะ
คนมางานนี้เยอะมาก
หากเป็นในอดีต แน่นอนว่าคงไม่ได้รับเกียรติมากขนาดนี้
แต่วันนี้ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ต่างก็มากันพร้อมหน้า
ทุกคนต่างมาร่วมงานเพื่อให้เกียรติหัวหน้าทีมทั้งสองคือ เย่เสี่ยวจิ่นและเย่ฉางอัน
“ดีครับ ถ้าไม่อร่อยก็มาหาผมได้” ซุนจ่างซุ่นเอ่ยพลางยิ้มแย้ม “แต่ผมคงทำอะไรไม่ได้หรอกนะ ฝีมือก็แค่นี้แหละ”
“อร่อยมากครับ ผู้ใหญ่บ้านอย่าถ่อมตัวไปเลย”
ทุกคนต่างหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ซุนจ่างซุ่นมองไปทางเย่จวิน “วันนี้ทุกคนต้องดื่มอวยพรเจ้าบ่าวสักแก้วนะ ผมขอให้พวกคุณมีหลานเร็วๆ นี้ละกัน”
“ฮ่าๆๆๆ… ตอนนั้นจิ่นเป่าก็จะได้เป็นอาเล็กแล้วสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นคิดว่าก็ดีเหมือนกัน “ได้สิ ได้เลย ฉันชอบเด็กผู้หญิงมากกว่า”
หลิวเยว่ยิ้มน้อยๆ การมีลูกชายหรือลูกสาวก็ต้องดูโชคชะตาเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หล่อนก็ยินดีทั้งนั้น
เย่จวินมองหลิวเยว่แวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ผมไม่ถือหรอก รอวาสนาแล้วกัน เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวก็มีเอง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงต่างดีใจมาก
ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลเรื่องการแต่งงานของลูกชายคนโต ตอนนี้พวกเขากลับกำลังหวังที่จะอุ้มหลานชายหลานสาว
“พวกเธอใช้ชีวิตด้วยกันให้ดีๆ นะ ขอให้ทั้งสองคนมีความสุขและปลอดภัย นั่นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”
ทุกคนกำลังคุยกันอยู่
ที่โต๊ะดื่มเหล้าของผู้ชาย
มีคนล้อเย่ไฉกุ้ยว่า “พี่ไฉกุ้ย หลานชายของคุณก็กำลังจะคลอดแล้วใช่ไหม? คิดชื่อไว้หรือยัง?”
“ไม่คิดจะจัดงานฉลองสักหน่อยเหรอ? ถึงฝ่ายหญิงจะแต่งงานครั้งที่สอง แต่ว่าว่าานหยวนลูกชายของคุณก็แต่งงานครั้งแรกนะ”
“ดูสิ เย่จวินเขาจัดงานได้ดีขนาดไหน”
“เมื่อไหร่คุณจะพาลูกสะใภ้ออกมาให้ทุกคนได้เห็นหน้าบ้างล่ะ? นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าหล่อนเลย แค่สองครั้งเท่านั้นเอง”
เย่ไฉกุ้ยรู้ดีว่าลูกสะใภ้ของเขานั้นน่าอับอาย
เขายิ้มแหยๆ อย่างเก้อเขิน “หล่อนจะออกมาให้คนเห็นได้ยังไงล่ะ? จะจัดงานอะไรก็ไม่จัดแล้ว”
เขารู้สึกว่าตอนแรกที่เขาดูถูกหลิวเยว่นั้น คงเป็นเพราะสมองถูกลาเตะเข้าแล้วจริงๆ
หลิวเยว่คนนี้ดีมาก ดีกว่าเซี่ยหลินเยอะเลย
ตอนนี้เซี่ยหลินทำให้เขาต้องอับอายไปทั่วจริงๆ
“เฮ้อ พวกคุณอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ผมรำคาญมากพอแล้ว”
“คุณไม่ต้องรำคาญหรอก อย่างน้อยลูกสะใภ้คุณก็ตั้งท้องไวนะ แปบเดียวท้องโตเร็วขนาดนี้แล้ว”
“บางทีอาจจะคลอดลูกแฝดเลยก็ได้ ตอนนั้นคุณคงดีใจแย่”
เย่ไฉกุ้ยยิ้มแหยๆ อย่างเสแสร้ง
“อ้อ ใช่แล้ว วันนี้ว่านเหยวนลูกชายของคุณไม่อยู่เหรอ? เขาไม่มางานแต่งงานของเย่จวิ้นเลยเหรอ?”
เย่ไฉกุ้ยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “เย่กังลูกชายของผมกำลังเรียนตัดผมอยู่ในเมือง ช่วงนี้เขาป่วย พี่ชายของเขาก็เลยต้องไปดูแลน่ะครับ”
เขาไม่กล้าบอกความจริงว่าว่านหยวนออกไปเรียนรู้เทคนิคการทำอิฐ
ถ้าคนอื่นรู้เข้าแล้วแย่งทำก่อน พวกเขาคงขาดทุนใหญ่แน่
ทางฝั่งของเย่จวินเดินไปรอบๆ เพื่อชนแก้วกับแขก จนใบหน้าแดงก่ำไปหมด
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าหลิวคัง “พ่อครับ พ่อวางใจได้เลยที่ให้เสี่ยวเยว่มาอยู่กับผม ผมจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดี ไม่ให้หล่อนต้องลำบากแน่นอนครับ”
หลิวคังพยักหน้าอย่างพอใจ “ขอให้พวกเธอใช้ชีวิตคู่กันอย่างมีความสุข พ่อก็จะได้สบายใจ”
หลิวเยว่น้ำตาคลอ “พ่อ พ่อวางใจได้เลยค่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงก็พูดเสริมขึ้นมา
“ใช่แล้วคุณพ่อตา คุณวางใจได้เลย พวกเราชอบเด็กคนนี้มากเลยล่ะ”
“ใช่แล้ว ครอบครัวของพวกเราจะไม่ทำให้หล่อนต้องลำบากใจแน่นอน”
หลิวคังพยักหน้า “พ่อแม่สามี ผมรู้ดีถึงคุณธรรมของพวกคุณ การที่เสี่ยวเยว่ได้มาอยู่ในครอบครัวของพวกคุณ นับว่าเป็นโชคดีของหล่อน”
บรรยากาศเป็นไปอย่างสงบสุขกลมเกลียว
หลังจากวุ่นวายทั้งวัน ทุกคนต่างเหนื่อยล้า
หลิวคังเห็นว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวกลับบ้าน โดยมีเย่ฉางอันขี่จักรยานไปส่ง
อีกทั้งยังนำเส้นบะหมี่ แป้ง และไข่ไปให้อีกไม่น้อย
หลิวคังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านคนเดียว ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก ทำอาหารวันละมื้อกินสามมื้อ
เมื่อถูกส่งถึงบ้าน เขาก็มองดูบ้านที่ว่างเปล่า แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
“เฮ้อ ในที่สุดเสี่ยวเยว่ก็แต่งงานไปแล้ว”
“บ้านหลังนี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว”
เขายิ้มออกมาเล็กน้อย เตรียมที่จะเลี้ยงหมูอ้วนให้โตเต็มที่ เพื่อที่จะส่งขาหมูขาใหญ่ไปให้ลูกสาวและลูกเขยในช่วงปีใหม่
ชีวิตยังมีความหวังใหม่ให้รอคอยอีกครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นับว่าเป็นโชคดีที่บ้านใหญ่ไม่ไป ไม่งั้นบรรยากาศงานกร่อยแน่
ไหหม่า(海馬)
…………….