ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 192 แต่งงาน
บทที่ 192 แต่งงาน
…………….
บทที่ 192 แต่งงาน
และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง ผู้คนมากมายทยอยหลั่งไหลกันมาแต่เช้าตรู่
นอกบ้านเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของไก่และเป็ด
เย่เสี่ยวจิ่นรีบกินบะหมี่น้ำใสกับแม่อย่างเร่งรีบ แล้วก็ต้องรีบไปต้มน้ำ
“จิ่นเป่า วันนี้มีคนมาเยอะ เจอใครก็อย่าลืมทักทายนะลูก”
“คนที่อายุเท่าพี่หลิวเยว่ของหนูก็เรียกพี่ คนที่แก่กว่าก็เรียกป้า คนแก่ๆ ก็เรียกย่า”
“ผู้ชายก็เหมือนกัน เข้าใจไหมจ๊ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ หนูจำได้หมดเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มแล้วลูบหัวลูกสาว “งั้นไปเล่นนะลูก แต่ห้ามไปเล่นประทัดเด็ดขาด”
แน่นอนว่าเย่เสี่ยวจิ่นไม่กล้าไปเล่นอยู่แล้ว
ชาวบ้านทุกคนต่างง่วนกับการเตรียมงาน บรรดาแม่บ้านทั้งหลายแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบ กำลังสาละวนกับการเชือดไก่และเป็ดอยู่ข้างบ่อน้ำ
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูอยู่ห่างๆ แม้เธอจะอยากช่วยเหลือ แต่ในสายตาของทุกคน เธอก็เป็นเพียงเด็กที่จะเข้ามาวุ่นวายเท่านั้น
ผู้ใหญ่ต่างไม่ต้อนรับเด็กๆ ที่จะเข้าไปก่อกวน
เธอสังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วมาก
ตอนถอนขนไก่และเป็ด มือของพวกเขาเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่นานก็ได้ไก่เป็ดที่เนื้อตัวสะอาดเกลี้ยงเกลา
ในอ่างน้ำใหญ่มีไก่และเป็ดหลายตัว กำลังรอล้างทำความสะอาดเครื่องใน
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
เสียงผัดอาหารในครัวค่อยๆ ดังขึ้น กลิ่นหอมของเครื่องปรุงและเหล้าลอยอวลในอากาศ
ลานบ้านปูนซีเมนต์มีโต๊ะหลายตัววางอยู่ ซึ่งยืมมาจากบ้านคนอื่นๆ
พี่ชายรองและพี่ชายสามออกไปจัดการธุระกันแต่เช้าตรู่
ทุกคนที่มาจะนำเงินของขวัญมาให้ แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ถือเป็นน้ำใจ
โดยทั่วไปแล้วการจัดงานมงคลก็ไม่ขาดทุน ยังอาจได้กำไรเล็กน้อยด้วยซ้ำ
หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างๆ คอยพูดคุยกับทุกคน
อาสามตบแขนของเย่จวิน “เย่จวิน การแต่งงานเป็นเรื่องดีนะ ลูกผู้ชายต้องมีครอบครัวก่อนแล้วค่อยสร้างเนื้อสร้างตัว ต่อไปนี้จะมีแต่วันดีๆ”
ป้าหกก็พูดต่อจากด้านหลัง “ใช่แล้ว ได้ลูกสะใภ้ที่ดีมีน้ำใจขนาดนี้ ไม่แปลกเลยที่แม่ของเธอจัดงานอย่างคึกคักแบบนี้”
ทุกคนต่างคิดเช่นนี้
เพราะตอนเย่ว่านหยวนแต่งงานนั้นเป็นไปอย่างเร่งรีบ ไม่ได้จัดเลี้ยงด้วยซ้ำ
ได้ยินว่าเจ้าสาวท้องโตแล้ว อีกทั้งยังเป็นหญิงม่าย จึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก
เรื่องนี้ยังถูกคนอื่นหัวเราะเยาะอยู่นานทีเดียว
เมื่อเทียบกับงานแต่งงานของเย่จวิน มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ทั้งที่มีแซ่เย่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างนี้ย่อมทำให้เกิดการเปรียบเทียบและดูถูกกันเป็นธรรมดา
เย่จวินยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกคุณรีบไปนั่งกันเถอะครับ บนโต๊ะมีน้ำร้อนและน้ำตาลขิงเตรียมไว้แล้ว อร่อยนะครับ”
ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันไปนั่ง
พวกผู้ชายบางคนที่เบื่อๆ ก็เริ่มหยิบไพ่ออกมาเล่นกันแล้ว
การเล่นไพ่นี้มีส่วนได้ส่วนเสียกันบ้าง แต่ไม่มากนัก แค่เล่นสนุกๆ เท่านั้น
มีคนชวนเย่ฉางอันให้มาเล่นไพ่ด้วย
เย่ฉางอันโบกมือปฏิเสธ “ผมไม่ว่างหรอก ยังต้องนึ่งข้าวอีก พวกคุณเล่นกันไปเถอะ”
เย่หวายตามพ่อแม่ไปช่วยงาน
เมื่อคืนที่บ้านตัดฟืนไว้มากมาย วันนี้จะใช้ต้มน้ำทำอาหาร
เย่หวายถือกาน้ำร้อน วางไว้ใต้โต๊ะ เติมน้ำร้อนให้เต็มทุกกา
หวังเอ้อร์หู่เห็นเย่หวายแล้วก็เอ่ยทักทาย “เสี่ยวหวาย ตอนนี้นายยังอ่านหนังสือทุกวันอยู่เหรอ?”
หวังเอ้อร์หู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่าของเย่หวาย
ตอนนี้เขาเป็นเสาหลักของบ้านแล้ว
เย่หวายยิ้มพลางตอบ “ใช่แล้ว พอถึงฤดูร้อนปีหน้า ฉันก็จะเรียนจบแล้ว”
หวังเอ้อร์หู่เกาหัวแกรก ๆ “แต่ก่อนเขาว่าเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ พวกเราหลายคนเลยเลิกเรียนกันหมด แต่นายนี่สิ…”
“ผ่านไปแค่ครึ่งปีนายก็กลับไปเรียนต่ออีก”
“แถมตอนนี้ได้ยินว่านายเรียนเก่งมากด้วย นายคิดดูสิ ใจนายไม่เจ็บบ้างเหรอ?”
“ที่ฉันเคยพูดแบบนั้นเพราะที่บ้านไม่มีปัญญาส่งเสียให้เรียน แต่จริงๆ แล้วฉันชอบอ่านหนังสือมากนะ” เย่หวายรินน้ำร้อนเติมให้เขาแก้วหนึ่ง “ถ้ามีโอกาสจริงๆ ฉันก็อยากอ่านหนังสือให้มากกว่านี้”
“นั่นสินะ ยังไงก็ต้องมีความรู้ถึงจะดี” หวังเอ้อร์หู่ลูบศีรษะตัวเองอีกครั้ง “ฉันนี่ทำงานทุกวันจนเหนื่อยแทบตาย ตอนเด็กๆ ไม่รู้หรอกว่าการเป็นหัวหน้าครอบครัวมันเหนื่อยแค่ไหน”
เย่หวายพยักหน้า เขาได้ยินเรื่องที่พ่อของหวังเอ้อร์หู่ป่วย
โชคร้ายมักจะรังควานคนที่มีชะตากรรมอาภัพ
ตอนนี้หวังเอ้อร์หู่กับแม่ต้องทำงานหนักทุกวัน นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“วันนี้แม่นายไม่ได้มากินข้าวด้วยเหรอ?”
“ท่านต้องดูแลพ่อน่ะ” หวังเอ้อร์หู่โบกมือ “นายจะมาเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันไหม?”
“คงไม่ละ นี่ก็ยังมีงานต้องทำอยู่”
หวังเอ้อร์หู่ก็ไม่ได้ชวนอีก
เย่หวายในตอนนี้เป็นคนมีความสามารถที่ได้เรียนหนังสือแล้ว ถึงแม้ว่าตอนประถมจะเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน
ตอนนี้พวกเขาเป็นคนจากสองโลกที่แตกต่างกันแล้ว
เขารู้ดี
ในใจก็นึกอิจฉาอยู่บ้าง ถ้าครอบครัวของเขาส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือได้ก็คงจะดี
การทำงานนั้นเหนื่อยนัก ต้องลำบากมากถึงจะรู้ว่าการมีความรู้นั้นดีกว่า
หยางจิ่นและหยางลี่ลี่นั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ อีกด้านหนึ่ง กำลังเล่นกับเสี่ยวฮุยฮุย
เย่เสี่ยวจิ่นอาบน้ำให้สุนัขตัวนี้จนสะอาดสะอ้านขนฟูฟ่อง ปกติก็กินดีอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอ้วนท้วนน่ารักมาก
“เสี่ยวฮุยฮุย แกยังจำฉันได้ไหม?” หยางลี่ลี่อุ้มเสี่ยวฮุยฮุยมาวางบนตัก “ดูสิ แกอ้วนขึ้นมากเลย คงแอบขโมยไข่ไก่กินลับหลังแน่ๆ”
หยางจิ่นหัวเราะพูดว่า “เธอพูดอะไรน่ะ มันไม่ขาดอาหารกินสักหน่อย จะต้องไปขโมยไข่ไก่ทำไม?”
“ก็ไม่แน่นะ ดูสิขนของมันเรียบลื่นขนาดนี้ ปกติต้องกินไข่ไก่แน่ๆ”
พี่น้องสองคนคุยกันไป แล้วก็เรียกเย่หวายให้มานั่งด้วย
หยางลี่ลี่มองเจ้าสาวด้วยความชื่นชม เจ้าสาวเป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยมและน่าดึงดูด ชุดที่สวมใส่ก็สวยงามมาก
สำหรับเด็กสาวแล้ว เจ้าสาวเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
“พี่เสี่ยวเยว่สวยมากจริงๆ วันนี้”
“พี่เย่หวาย พี่ชายใหญ่ของพี่ช่างโชคดีจริงๆ พ่อแม่ฉันบอกว่าพี่สะใภ้เป็นลูกสะใภ้ที่ดีทีเดียว”
เย่หวายมองพี่ชายและพี่สะใภ้ที่ยืนเคียงข้างกัน ในดวงตามีความยินดีอยู่บ้าง
สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นทุกวัน
เมื่อก่อนพ่อแม่กังวลเรื่องการแต่งงานของพี่ชาย หวังว่าพี่ชายใหญ่จะได้แต่งงานกับภรรยาที่ดี ตอนนี้ในพริบตาเดียวก็เป็นจริงแล้ว
“พี่ชายและพี่สะใภ้ฉันเป็นคนดีทั้งคู่”
หยางลี่ลี่ยิ้มพลางเม้มปาก “ครอบครัวพวกพี่ทุกคนล้วนเป็นคนดี”
หยางจิ่นไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาแทรกขึ้นมาว่า “เสี่ยวหวาย พวกเราเหลืออีกแค่ครึ่งปีก็ต้องสอบเข้าเรียนแล้ว”
“ครั้งที่แล้วฉันสอบได้ไม่ดี ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะสอบติดโรงเรียนอาชีวะศึกษาได้หรือเปล่า คงยากมากแน่ๆ”
“รุ่นพี่ฉันมีแค่สองคนที่สอบติดโรงเรียนมัธยม อีกคนสอบติดวิทยาลัยครู พวกเขาได้ติดประกาศรายชื่อสีแดงด้วยนะ”
เขาลูบหัวสุนัขตัวเล็กสีเทา พลางเอ่ยอย่างกังวลใจ “นายรู้ใช่ไหมว่าฉันเรียนซ้ำชั้นมาหนึ่งปีแล้ว ถ้าสอบไม่ติดอีก อย่างน้อยก็ต้องสอบเข้ามัธยมปลายให้ได้”
“ไม่งั้นพ่อแม่ฉันก็ส่งฉันเรียนเปล่าๆ น่ะสิ”
เย่หวายปลอบใจเขา “ใจเย็นๆ นายไม่มีปัญหาหรอก”
หยางลี่ลี่ก็ยิ้มพูดว่า “ใช่แล้วพี่ชาย คนอื่นเรียนแค่สองปี แต่พี่เรียนตั้งสามปี พี่จะสอบไม่ติดได้ยังไงล่ะ?”
“ก็เพราะแบบนี้แหละถึงได้กดดันมากไง”
เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามแม่ไป มองดูแม่ทำงานยุ่ง
เย่จื้อผิงเห็นลูกสาวกินอาหารเช้าอย่างรีบร้อนจนไม่ค่อยได้กินเท่าใด
เขาจึงแอบหยิบชามเล็กๆ ออกไปอย่างลับๆ
สักพัก เขาก็กลับมาอีกครั้ง แล้วอุ้มเย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมาทันที “ชุ่ยชุ่ย คุณช่วยดูหม้อให้ฉันหน่อย ผมจะพาจิ่นเป่าไปที่ห้อง”
“ตรงนี้กลิ่นควันน้ำมันแรง อย่าให้น้ำมันกระเด็นโดนลูกสาวผมนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกว่าเขาแปลกไป “ได้ ให้จิ่นเป่าไปอ่านหนังสือเล่นในห้องก็ได้”
“ตรงนี้ก็มีคนเดินไปมา ถ้าบังเอิญมีใครมองไม่เห็นแล้วเตะหล่อนล้มคงจะเจ็บแย่”
“เดี๋ยวคุณจะใส่ต้นหอมลงไปในหม้อใช่ไหม?”
เย่จื้อผิงพยักหน้าตอบรับ
เย่เสี่ยวจิ่นถูกพ่ออุ้มกลับไปที่ห้อง
“พ่อคะ หนูชอบเล่นข้างนอก”
“งั้นเดี๋ยวค่อยออกไปเล่นข้างนอกนะ” เย่จื้อผิงวางเธอลง แล้วชี้ไปที่ชามเล็กบนโต๊ะ “ลูกกินตรงนี้นะ อย่าเอาออกไปข้างนอก”
เย่เสี่ยวจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง รอจนพ่อเดินออกไปแล้ว จึงเข้าไปดูใกล้ๆ
ในชามเล็กมีเนื้อไก่ชิ้นดีที่สุดสองสามชิ้น ทั้งหมดเป็นเนื้อล้วนๆ แถมยังมีเนื้อวัวต้มหั่นบางๆ อีกสองสามแผ่น และขาหมูตุ๋นอีกหนึ่งชิ้น
ยังร้อนระอุ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
ดูเหมือนเพิ่งยกลงจากเตา
เย่เสี่ยวจิ่นหยิบตะเกียบขึ้นมา ประคองชามนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มกิน
เธอหิวอยู่บ้าง ตอนเช้ากินบะหมี่แบบลวกๆ ไม่อิ่มเลย
“ตึง” เสียงดังขึ้น
ประตูห้องถูกผลักเปิดออก
เย่ฉางอันเดินเข้ามาในห้องก็ได้กลิ่นหอม เขาเบิกตากว้าง พูดเสียงเบาว่า “ฉันเห็นเธอหายไป เลยจะมาชวนออกไปเล่น”
“เธอนี่ดีจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่หายไป ที่แท้ก็แอบมากินคนเดียวอยู่ที่นี่นี่เอง”
เย่เสี่ยวจิ่นกอดชามไว้แน่นพลางพูดว่า “ถ้าพี่อยากกินก็ไปที่ครัวสิ ห้ามแย่งของหนูนะ”
ใช่ว่าเย่ฉางอันจะแย่งอาหารของน้องสาว เขาแค่ส่งเสียงฮึดฮัดว่า “เธอดูถูกฉันเกินไปแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นกลอกตาไปมาแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วหนูก็กินไม่ค่อยลงหรอก เนื้อวัวตุ๋นนี่อร่อยมากเลยนะ”
“หนูมีอยู่ตั้ง 5-6 ชิ้น แบ่งให้พี่กินสักชิ้นก็ได้ แต่พี่กินได้แค่ชิ้นเดียวนะ ตอนนี้มันยังร้อนๆ อยู่ อร่อยที่สุดแล้ว พอถึงเที่ยงเนื้อวัวก็จะเหนียวเกินไป”
เย่เสี่ยวจิ่นคีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งยื่นไปที่ปากของเย่ฉางอัน
ตอนแรกเขาตั้งใจจะปฏิเสธ
แต่เนื้อวัวชิ้นนั้นดูน่ากินมาก เขาจึงอ้าปากรับไว้
“อร่อยจริงๆ ด้วย เนื้อวัวตุ๋นนี่หอมมาก แถมแม่ยังหั่นหัวไชเท้าใส่เยอะแยะเลย”
“เนื้อวัวกับหัวไชเท้าที่ตุ๋นรวมกันนี่ ต้องอร่อยจนกลืนลิ้นแน่ๆ เลย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ตอนเที่ยงหนูจะกินเนื้อให้มากหน่อย”
“ฉันก็เหมือนกัน”
พี่น้องทั้งสองกระซิบกระซาบกัน ท่ามกลางเสียงแขกเหรื่อดังเซ็งแซ่อย่างคึกคักข้างนอก
พวกเขาทั้งสองกลัวความวุ่นวาย จึงหลบมาเล่นอยู่ในห้อง
เย่เสี่ยวจิ่นถือตะเกียบพูดว่า “คนข้างนอกกำลังเล่นไพ่กัน เล่นไพ่ไม่สนุกหรอก ยิ่งถ้าแพ้พนันด้วยก็จะเจ็บใจมาก”
“ใช่แล้ว ฉันไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่เอา” เย่ฉางอันพลิกดูหนังสือที่อ่านไม่รู้เรื่องของเย่เสี่ยวจิ่น “ต่อไปเธอก็อย่าไปเล่นอะไรพวกนี้นะ ถ้าเล่นไม่ดีอาจทำให้ครอบครัวพังพินาศได้”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
เธอรู้สึกปลื้มใจที่คนในครอบครัวล้วนเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่หมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้
แม้วิธีหาเงินจะค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่ก็ถือว่าค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โอกาสและฐานะนี่เป็นปัจจัยสำคัญกับการเรียนหนังสือจริงๆ ต่อให้ใจรัก แต่ฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย ก็เรียนลำบาก
มีทุกที่ทุกงานเลยเรื่องเล่นพนันกัน ขึ้นอยู่กับว่าเล่นกันเป็นสีสันหรือเล่นแบบเอาจริงเอาจัง
ไหหม่า(海馬)
…………….