ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 186 หวังหลินปกป้องแฟนหนุ่ม
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 186 หวังหลินปกป้องแฟนหนุ่ม
บทที่ 186 หวังหลินปกป้องแฟนหนุ่ม
…………….
บทที่ 186 หวังหลินปกป้องแฟนหนุ่ม
เย่เหวินชางไม่คิดว่าหวังหลินจะมาหาถึงที่บ้านด้วยตัวเอง
หลี่กุ้ยฮวารู้ว่าแฟนของลูกชายเป็นผู้หญิงที่มีประโยชน์มากต่ออนาคตของลูกชาย
ทันใดนั้น หล่อนรีบแทรกตัวผ่านหลิวต้าเม่ย “เธอคือหลินหลินใช่ไหม? ฉันได้ยินเหวินชางพูดถึงเธอบ่อยๆ”
“ทำไมเธอถึงมาหาเหวินชางไกลขนาดนี้ เธอคงเหนื่อยและหิวมาก ฉันจะไปทำอะไรให้เธอกินสักหน่อยนะ ดีไหม?”
หวังหลินเดิมทีกังวลว่าพ่อแม่ของเหวินชางจะไม่ชอบหล่อน
ตอนนี้เห็นแม่ของเขาต้อนรับอย่างอบอุ่น หล่อนก็รู้สึกโล่งใจ
หล่อนรับถุงสองใบจากคนขับรถ “ป้า นี่เป็นเหล้าและอาหารบำรุงที่ฉันเอามาฝาก อย่าได้รังเกียจเลยนะคะ”
ตาของเย่จื้อเฉียงเป็นประกาย เหล้าขวดนี้ราคาไม่ถูกเลย
“โอ้โห ช่างมีน้ำใจจริงๆ”
หวังหลินยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น
หล่อนมองไปที่หลิวต้าเม่ย แล้วพูดว่า “พวกคุณไหว้บรรพบุรุษกันที่ไหนล่ะ? ฉันอยากไปพบกับคนในตระกูลเย่ของพวกคุณสักหน่อย”
กล้าที่จะรังแกเย่เหวินชางแบบนี้ ก็ต้องถามความเห็นของหล่อน หวังหลิน ก่อนสิว่าเห็นด้วยหรือเปล่า
เย่เหวินชางรีบพูดว่า “หลินหลิน ความสัมพันธ์ของครอบครัวพวกเราไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้ครอบครัวอาสามของผมร่ำรวยแล้ว เลยไม่ค่อยต้อนรับคนอื่น”
“คุณไม่ควรไปที่นั่นนะ ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไป”
หวังหลินมองด้วยสายตาดูแคลนเล็กน้อย
พวกเขาที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ ถึงจะรวยแค่ไหนก็คงไม่รวยเท่าครอบครัวของหล่อนหรอก?
“เหวินชาง คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันแค่อยากไปทำความรู้จักกับพวกเขาเท่านั้นเอง”
หลิวต้าเม่ยคิดอย่างฉลาด “ใช่แล้ว สาวเมืองกรุงมาที่นี่เป็นครั้งแรก ก็ควรไปกราบไหว้บรรพบุรุษด้วย”
ถึงแม้ว่าหวังหลินจะมีท่าทีไม่ดีต่อนางก็ตาม
แต่หลิวต้าเม่ยก็ยังอดทนได้
ในเมื่อเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่รัฐในเมือง อารมณ์คงไม่ค่อยดีแน่นอน
ก็พอเข้าใจได้
ขอเพียงแค่ในอนาคตสามารถจัดหางานในหน่วยงานรัฐบาลให้เย่เหวินชางได้ ก็ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน
ครอบครัวของเย่เสี่ยวจิ่นทั้งหมดกำลังรออยู่บนถนน
ตอนนี้บนหลุมศพคงมีหญ้าขึ้นเยอะแล้ว เย่จื้อผิงถือเคียวและจอบ เตรียมจะไปทำความสะอาด
เย่ฉางอันถือถุงซาลาเปาและบัวลอยอยู่ข้างๆ
ล้วนเป็นของไหว้ทั้งนั้น
ส่วนเย่จวินก็ถือตะกร้าธูปเทียน
แม้แต่ หลี่ชุ่ยชุ่ย ก็ยังตามมาด้วย
พวกเขามีความเชื่อโชคลาง ดังนั้นจึงคิดว่าแม้บ้านจะดีอย่างนี้แล้ว ก็ยังต้องไปไหว้บรรพบุรุษอีก
ครอบครัวของเย่ไฉกุ้ยมาถึงก่อน
เย่ไฉกุ้ยและเซี่ยวเฟินฟางเดินมาด้วยกัน ส่วนเย่ว่านหยวนอยู่บ้านดูแลภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ จึงไม่ได้มา
“น้องสาม ดูสิ เสื้อผ้าของนายดูดีขนาดนี้ ไม่กลัวเสียหายเวลาไปบนภูเขาเหรอ?” เย่ไฉกุ้ยยิ้มอย่างเป็นมิตร “ทำจากผ้าที่ซื้อใหม่ทั้งหมดใช่ไหม?”
“ได้ยินว่าบ้านของพวกนายมีจักรเย็บผ้า วันหลังขอยืมใช้บ้างนะ”
“พวกเรากำลังจะทำเสื้อผ้าให้หลานชายที่ยังไม่เกิดสักหน่อย”
น้ำเสียงของเย่ไฉกุ้ยดีมาก ต่างจากเมื่อก่อนที่เย็นชาเหินห่าง
เขาก็หวังจะได้ใช้จักรเย็บผ้าเหมือนกัน เพราะได้ยินว่าจักรเย็บผ้านั้นใช้เย็บเสื้อผ้าได้ดีมาก
ในหมู่บ้านก็มีแค่บ้านน้องสามที่มี
คนอื่นๆ ไม่มีของดีแบบนี้กัน
เซี่ยวเฟินฟางยิ้มแย้มอย่างสดใส พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา “ใช่แล้ว ชุ่ยชุ่ย เธอต้องให้พวกเรายืมแน่ๆ ใช่ไหม?”
“ถึงอย่างไรบ้านเธอก็ตัดเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ให้ฉันยืมใช้สักสองเดือนก็ไม่เป็นไรหรอก”
“อีกอย่าง เสื้อผ้าเด็กตัดเย็บเร็ว ฉันจะคืนให้พวกเธอเร็วๆ นี้แหละ”
หลี่ชุ่ยชุ่ย พอได้ยินแบบนี้ ยืมก็แล้วไป นี่จะยืมไปตั้งสองเดือนเลยเหรอ?
ด้วยนิสัยชอบเอาเปรียบของเซี่ยวเฟินฟาง พอยืมไปแล้วจะเอากลับคืนมาคงยากเย็นแสนเข็ญ
“แบบนั้นไม่ได้หรอก แต่พี่มาใช้ที่บ้านฉันได้ เพราะพวกเราก็ต้องใช้เองด้วย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?” สีหน้ายิ้มแย้มของเซี่ยวเฟินฟางแข็งค้าง น้ำเสียงเริ่มประชดประชัน “เป็นญาติกันให้ฉันยืมใช้หน่อยก็ไม่ได้เหรอ? เธอคิดว่าฉันจะยึดของเธอไปเฉยๆ งั้นเหรอ?”
“หลานชายของฉันก็เป็นหลานเล็กของพวกเธอนะ ขี้งกขนาดนี้เลยเหรอ?”
“อีกไม่นานลูกชายคนโตของพวกเธอก็จะแต่งงาน ไม่ต้องให้ญาติๆ อย่างพวกเราช่วยเหลือหรอกเหรอ?”
เย่จื้อผิงพยายามพูดให้บรรยากาศผ่อนคลาย “วันนี้เป็นวันไหว้บรรพบุรุษ เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”
“ในเมื่อพวกคุณอยากใช้ ก็ควรให้พวกเราได้ใช้บ้างนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกอึดอัดใจ “ใช่แล้ว ฉันก็ไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้น”
เซี่ยวเฟินฟางจึงพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้างั้นสองสามวันนี้ฉันจะใช้ ฉันจะบอกพวกคุณ แล้วพวกคุณส่งมาให้ฉันนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยแทบจะกลอกตาอยู่แล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
อย่างมากก็แค่แกล้งทำเป็นว่าตัวเองจะใช้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทะเลาะกันตรงนี้
“พวกเธอมากันหมดแล้วเหรอ” เสียงของหลิวต้าเม่ยดังขึ้น
นางพาครอบครัวเย่คนโตมาถึงอย่างช้าๆ ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
นางหันไปมองหวังหลินด้วยสายตาอบอุ่นและเอาใจ “หลินหลิน รองเท้าคู่นี้ใส่เดินแล้วเมื่อยไหม ถ้าเมื่อยต้องบอกพวกเรานะ”
“เธอเป็นสาวเมืองกรุง ผิวพรรณละเอียดอ่อน ไม่เหมือนพวกเราชาวชนบทหรอก”
“การปีนเขาของคุณคงจะทำให้เหนื่อยมากแน่ๆ เหวินชาง เธอต้องคอยดูแลหล่อนให้ดีๆ นะ”
หวังหลินและเย่เหวินชางต่างไม่สนใจหลิวต้าเม่ย
โดยเฉพาะหวังหลิน หล่อนเกลียดยายแก่ที่ชอบรังแกเหวินชางคนนี้เข้ากระดูกดำ
ตอนนี้ก็แค่เห็นว่าหล่อนมีฐานะสูง ถึงได้มาประจบประแจงแบบนี้ใช่ไหม?
หล่อนจะไม่มีวันสนใจยายแก่คนนี้เด็ดขาด
ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อวานนี้ ครอบครัวพี่ใหญ่ยังคงหดหัวอยู่เลย ถึงขนาดปฏิเสธที่จะมาไหว้บรรพบุรุษ
กลัวว่าจะถูกคนอื่นเยาะเย้ยอีก
แต่วันนี้กลับดูสดใสเปล่งปลั่ง อกผายไหล่ผึ่งเชียว
ดูเหมือนพวกเขาจะมีความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
หลี่กุ้ยฮวาถือถาดค้างไว้ พลางยิ้มพูดว่า “ใช่แล้ว หลินหลินเป็นคนเมืองนี่นา คงถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมแน่ๆ”
“ที่นี่สภาพแวดล้อมแย่กว่าในเมืองของพวกเธอมาก”
“เธอคงต้องลำบากหน่อยนะ”
หวังหลินยิ้มตอบ “คุณป้า อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ ฉันไม่เหนื่อยหรอก”
เย่ไฉกุ้ยพึมพำ “ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่คุยโวกับผมว่า เหวินชางได้ลูกสาวตระกูลรวยมาเป็นภรรยา คงเป็นคนนี้แหละ”
เซี่ยวเฟินฟางเห็นพวกเขาห้อมล้อมหวังหลินราวกับดาวล้อมเดือนแทบจะบูชาหล่อน “ฮึ น่าแปลกใจจริงๆ ที่พวกเขาภูมิใจอวดอ้างได้ขนาดนี้”
“ที่แท้ก็มีอะไรให้โอ้อวดได้อีกแล้วสินะ”
หล่อนรู้สึกโมโหขึ้นมา
ถึงแม้ว่าลูกสะใภ้ของหล่อนจะชื่อเซี่ยหลิน ซึ่งต่างจากหวังหลินคนนี้แค่ตัวอักษรเดียวก็ตาม
แต่ชะตาชีวิตของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลี่กุ้ยฮวาก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจริงๆ “หลินหลิน พูดถึงเรื่องนี้แล้วมันช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ลูกสะใภ้ของบ้านรองเราก็ชื่อหลินหลินเหมือนกัน แต่ชื่อเต็มๆ คือเซี่ยหลิน”
“น่าสงสารที่เป็นหญิงม่าย แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเหวินชางแล้วก็ตั้งท้องอีก”
“คาดว่าอีกไม่กี่เดือนก็คงจะคลอดแล้ว”
“นิสัยเทียบกับคุณแล้ว ต่างกันลิบลับเลย”
เย่เหวินชางขมวดคิ้ว “แม่ จะเอาผู้หญิงแบบนั้นมาเปรียบกับหลินหลินได้ยังไง?”
หวังหลินมีการศึกษาสูง หน้าตาสวย เป็นคนในเมือง ฐานะดี
พูดจาคล่องแคล่ว เป็นสาวสวยน่ารัก
ส่วนเซี่ยหลินเป็นแค่หญิงม่าย แถมยังมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีอีกด้วย
ตอนนี้ตั้งท้องแล้ว อารมณ์ก็ยิ่งแปรปรวน บ่อยครั้งที่อยู่แต่บ้านเกิดของตัวเอง
เปรียบเทียบกับหวังหลินไม่ได้เลยสักนิด
ในดวงตาของหวังหลินฉายแววรำคาญอยู่บ้าง หล่อนแค่นเสียงฮึ “คล้ายกันเหรอ? แค่ชื่อเท่านั้นแหละ”
“ฉันยังเด็ก ต่อไปจะต้องพยายามไปด้วยกันกับเหวินชาง ไม่มีทางอยู่ในชนบทแบบนี้แน่นอน”
“ในอนาคตพวกเราจะตั้งรกรากในเมือง พ่อของฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
เซี่ยวเฟินฟางกลอกตา แล้วส่งสัญญาณตาให้เย่ไฉกุ้ย
เห็นไหม แน่นอนว่าจะเริ่มอวดอ้างอีกแล้ว
เย่ไฉกุ้ยแค่นเสียงฮึ “เด็กน้อย อย่าเพิ่งด่วนพูดไปนักเลย พวกเธอยังไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง”
“ถ้าพ่อของเธอเห็นด้วย ก็น่าจะให้ทางฝ่ายเราไปสู่ขอแล้วสิ”
ใบหน้าของหวังหลินแดงขึ้นมา หล่อนยังไม่กล้าบอกเรื่องที่คบหาดูใจกันให้พ่อรู้เลย
ถึงอย่างไร พ่อก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเรียนหนังสือแล้วมาคบหาดูใจกัน เขาคิดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เอาการเอางาน
แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะดูเหมือนบุกมาหาฝ่ายชายอย่างมั่นใจ
แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นความคิดของหล่อนเอง
ถ้าพ่อของหล่อนรู้เข้า คงจะหักขาหล่อนให้ได้
แต่หล่อนถือว่าตัวเองเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ควรมีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความสุขและความรัก
แน่นอนว่าไม่ควรถูกครอบครัวมาจำกัด
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องของคนสองคนควรเป็นการตัดสินใจของหล่อนเอง ไม่ใช่ให้คนในครอบครัวมายุ่ง
“สุดท้ายพวกเราจะแต่งงานกันอยู่ดี จะรีบร้อนไปทำไม?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อยากแนะนำเหลือเกินว่าคุณหนูหาแฟนคนอื่นเถอะ ถ้าได้รู้ธาตุแท้ของเจ้าหนุ่มนี่แล้วจะหนาว แต่ถ้ามันเป็นวิบากกรรมของคุณหนูเองก็ไม่มีใครช่วยได้ละ
ไหหม่า(海馬)
…………….