ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 185 แฟนสาวของเย่เหวินชางมาเยี่ยม
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 185 แฟนสาวของเย่เหวินชางมาเยี่ยม
บทที่ 185 แฟนสาวของเย่เหวินชางมาเยี่ยม
…………….
บทที่ 185 แฟนสาวของเย่เหวินชางมาเยี่ยม
เย่จวินกำลังกินข้าวอยู่ จึงไม่สามารถเข้าร่วมสนทนาได้
เขาเป็นคนซื่อสัตย์และไม่ค่อยพูดเก่ง
ตอนนี้เขาสังเกตเห็นจิ่นเป่ามองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จึงรู้สึกสงสัย “มีอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ คืนนี้ฉันจะบอกพี่อีกที”
เย่จวินงุนงงไปหมด แต่เมื่อเห็นว่าเย่เสี่ยวจิ่นเปลี่ยนความสนใจไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปเดินเล่นที่อื่น
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงอยู่บ้านล้างจาน
หลิวต้าเม่ยไม่เคยได้กินอาหารอร่อยขนาดนี้มาตลอดทั้งปี นางกินข้าวไปถึงสี่ชามเลยทีเดียว
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขยับตัวไม่ได้เลยเป็นเวลานาน เพราะท้องอิ่มจนตึง
ยังคงต้องพักผ่อนบ้าง
นางนวดท้องพลางพูดว่า “จื้อผิงเอ๋ย บ้านเธอมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อไปถ้าเย่หวายเรียนโรงเรียนอาชีวศึกษา ก็ต้องให้พี่ชายคนโตและคนรองของเธอร่วมออกเงินส่งเสียให้เขาเรียนด้วยนะ”
เย่จื้อผิงรีบตอบว่า “ไม่ต้องหรอกครับ พวกเราสามารถส่งเสียเองได้”
เขาไม่ได้เป็นห่วงพี่ชายคนโตและคนรอง แต่ไม่อยากรับน้ำใจจากคนอื่น
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนินทาในภายหลัง
เขาแค่อยากตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาทั้งหมด
หลิวต้าเม่ยถอนหายใจ “การที่เธอเย็นชาแบบนี้มันไม่ดีเลย พี่ชายคนโตและคนรองของนายก็เป็นคนดีนะ”
“ครอบครัวเดียวกันต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถึงจะสามารถพัฒนาไปด้วยกันได้ไงล่ะ”
หลิวต้าเม่ยมีความคิดแบบนี้มาตลอด
ใครมีความสามารถ ก็ให้ทั้งครอบครัวช่วยกันส่งเสีย
ถ้าไม่มีความสามารถ ก็แค่มีชีวิตรอดไปวันๆ ก็พอแล้ว!
นี่ทำให้การ “ช่วยเหลือ” กลายเป็นการดูดเลือดเพื่อเลี้ยงดูทั้งครอบครัว
คนอื่นๆ ไม่พอใจกับเรื่องนี้แน่นอน
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็ทะเลาะกับครอบครัวพี่ชายคนโตกันไปแล้ว
อย่าว่าแต่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเลย แม้แต่พูดอีกสักคำพวกเขาก็ไม่อยากฟัง
หลิวต้าเม่ยพูดอีกว่า “พวกเธอก็อย่าโกรธกันเลย เราเป็นครอบครัวเดียวกัน จะมีเรื่องโกรธเคืองกันข้ามคืนได้ยังไง”
“พรุ่งนี้เช้าไปไหว้บรรพบุรุษด้วยกัน แล้วค่อยระบายอารมณ์กัน”
หลิวต้าเม่ยพูดจบก็เดินจากไป
ที่บ้านของเย่จื้อเฉียงก็ได้ยินเรื่องที่จะไปไหว้บรรพบุรุษพร้อมกันตอนเช้า
หลี่กุ้ยฮวาถึงกับขว้างชามในมือแตกทันที
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดไม่กล้าให้ใครเห็นหน้าแล้ว
แต่บ้านของเย่เหล่าซานกลับคึกคักมาก ถึงขนาดมีคนจากในตำบลไปที่นั่นด้วย
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วแล้ว
“ฉันโกรธจนแทบบ้า หลี่ชุ่ยชุ่ยคนนี้จะมาทำท่าทางยโสโอหังต่อหน้าฉันอีกแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะเชิดหน้าขึ้นต่อหน้าพวกเขาได้อย่างไร?”
“ยังต้องไปไหว้บรรพบุรุษด้วยกันอีก ฉันเบื่อจริงๆ แม่ของคุณสมองมีปัญหาหรือเปล่า?”
“เย่จื้อเฉียง คุณพูดสิ ฉันถามคุณอยู่นะ!”
เย่จื้อเฉียงพูดอย่างลังเล “แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ? แม่ของเราบอกแล้ว เราจะไม่ไปได้ยังไง?”
“คุณก็อดทนหน่อยสิ ก็แค่ช่วงเช้าเท่านั้น จะทำอะไรคุณได้?”
แต่เย่เหวินชางกลับมีสีหน้าหม่นหมอง “ผมไม่ไป”
“เหวินชาง ลูกอย่าโง่สิ ตอนนี้ครอบครัวของเราไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“เห็นไหมว่าครอบครัวของอาสามตอนนี้มีฐานะดีขนาดไหน ต่อไปถ้าลูกจะเรียนหนังสือ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปขอยืมเงินพวกเขา”
“ไหนๆ ก็ต้องยืมอยู่แล้ว ไม่ยืมก็เสียเปล่า พวกเขาอาจจะมีเงินมากกว่า 2,000 หยวนด้วยซ้ำ”
“นั่นมันเงินเยอะมากเลยนะ ลูกควรจะเอาอกเอาใจคุณปู่คุณย่าหน่อย แล้วทุกอย่างเหล่านี้ก็จะเป็นของลูก”
เย่จื้อเฉียงพูดไปโดยไม่รู้สึกอายเลยสักนิด
เขาเป็นคนขี้เกียจที่สุดในบรรดาพี่น้องมาตั้งแต่เด็ก แต่เขารู้จักประจบประแจง ดังนั้นจึงยังพออ่านออกเขียนได้บ้าง
หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็สบายมาก
อย่างน้อยก็สบายกว่าน้องรองและน้องสามมากทีเดียว
ตอนนี้เหวินชางไม่ยอมทำเหมือนตัวเอง ไม่รู้จักประจบเอาใจ ไม่รู้จักปรับตัว จึงทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้
“เหวินชาง ในเมื่อลูกเก่งเรื่องเรียนหนังสือมีความรู้ ลูกก็ควรจะพูดจาดีๆ กับคุณปู่คุณย่าของลูกบ้าง เงินของพวกท่านก็เป็นของลูกทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?”
“บ้านอาสามก็เคยให้เงินมามากมายนะ”
เย่เหวินชางไม่สนใจที่จะไปประจบประแจงใคร
ให้เขาไปประจบคนพวกนั้น ฆ่าเขาเสียยังจะดีกว่า
“ผมไม่ไป ผมบอกแล้วว่าไม่ไปก็คือไม่ไป คุณต้องการให้ผมพูดซ้ำอีกกี่ครั้ง?”
เย่จื้อเฉียงเห็นลูกชายโกรธจริงๆ ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
หลี่กุ้ยฮวารีบพูดว่า “พอเถอะๆ ตัวเองอายก็พอแล้ว ยังจะพาลูกชายไปอายอีกเหรอ?”
“เหวินชางไม่ไปก็ไม่ไป ใครจะอยากไปประจบพวกเขากัน?”
“พรุ่งนี้ไปแล้ว อาจจะโดนเขาเยาะเย้ยอีก”
“ฉันก็ไม่ไป ถ้าจะไปก็ไปคนเดียวสิ!”
เย่จื้อเฉียงรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ
เขาแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ แล้วนั่งบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ไปเหมือนกัน ดูสิว่าครอบครัวเราจะนั่งกินภูเขาหมดไปได้ยังไง!”
“ทุกปีของในบ้านน้องสามก็ให้พวกเรามาตลอด ปีนี้สิ้นปีคงได้อดอยากกันทั้งบ้านแน่!”
ปกติพวกเขาอยากไปทำงานก็ไป บางครั้งไม่อยากไปก็ไม่ไป
พอถึงสิ้นปี แรงงานที่ทำก็ไม่ได้มากพอแน่นอน
หลี่กุ้ยฮวาโกรธจนแทบตาย หล่อนตบโต๊ะแล้วเดินไปนอน
เช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
เย่เหวินชางก็ไม่ยอมออกจากบ้าน
หลี่กุ้ยฮวาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
หลิวต้าเม่ยมาถึงแล้ว “พวกแกยังยืนงงทำอะไรกันอยู่? ของทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ขึ้นเขากันเถอะ”
“พวกแกไม่ได้คิดจะไปกันแล้วใช่ไหม? ไม่นับตัวเองเป็นคนตระกูลเย่แล้วจริงๆ เลยสินะ?”
เย่จื้อเฉียงไม่กล้าพูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “แม่ครับ ภรรยาผมไม่สบาย ลูกชายผมต้องอ่านหนังสือ ผมจะไปกับเสี่ยวจู๋แล้วกันนะครับ”
“ยังไงก็เหมือนกันนั่นแหละ”
หลิวต้าเม่ยจ้องหลี่กุ้ยฮวาด้วยสายตาดุดัน “ช่างเป็นผู้หญิงไร้ประโยชน์จริงๆ นิสัยแย่เสียเหลือเกิน”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงใสกังวานของเด็กสาวคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก
“พูดถึงใครกันน่ะ?”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาชี้โน่นชี้นี่ที่นี่ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
“พวกคุณนี่แหละที่รังแกเหวินชางทุกวันใช่ไหม? ดูสิว่าเขาบาดเจ็บหนักขนาดไหน ยังจะบังคับให้เขาขึ้นเขาอีก?”
“คุณยายคนนี้ ช่างใจร้ายเหลือเกิน”
สาวน้อยที่มาถึงอายุราว 16 ปี ผิวขาวสะอาด คิ้วเข้มตาโต
หล่อนสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ผมยาวหนาถักเป็นเปียสองข้าง ผูกโบว์สวยงามที่ปลายผม
ดูออกทันทีว่าเป็นการแต่งตัวแบบคนในเมือง และยังมาจากครอบครัวที่ไม่ธรรมดา
แค่ดูรองเท้าหนังคู่เล็กๆ ที่หล่อนสวมก็รู้ว่าเป็นของราคาแพง
“เธอเป็นใครกัน?” หลิวต้าเม่ยรู้สึกโมโหขึ้นมา
“ฉันน่ะเหรอ? ฉันคือหวังหลิน แฟนสาวของเย่เหวินชาง”
“พ่อของฉันทำงานในรัฐบาลอำเภอ ส่วนแม่ของฉันเป็นครูที่โรงเรียนมัธยมหนึ่งของพวกเรา!”
“ยายคงไม่กล้ารังแกฉันด้วยหรอกนะ?”
หวังหลินเชิดคางสวยๆ ของตนขึ้น ริมฝีปากแดงฟันขาว ท่าทางไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ
หล่อนรู้มาว่าเย่เหวินชางเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วย จึงรีบร้อนให้คนขับรถพาหล่อนมาที่หมู่บ้านชงเถียน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงได้รู้ว่าทุกคนต่างพากันนินทาว่าร้ายแฟนหนุ่มของหล่อนกันขนาดนี้
ในใจทั้งโกรธทั้งร้อนใจ
หล่อนรู้ดีที่สุดว่าเย่เหวินชางเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อมถ่อมตน เขายังเขียนบทกวีได้ด้วย และเป็นคนที่มีกิริยามารยาทดีมาก
เขาจะเป็นคนเลวที่คอยฟ้องคนลับหลังได้อย่างไร?
แม้ว่าจะเป็นการฟ้อง…
ก็คงเป็นเพราะคนอื่นทำผิดจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ก็เป็นแฟนหนุ่มของหล่อนที่ถูกรังแก ถูกทำร้าย และยังมีคนแต่งเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของเย่เหวินชางอีก
ตลอดทางที่มา ในใจก็เต็มไปด้วยความโกรธ พอก้าวเท้าเข้าประตูมา ก็ได้ยินคำพูดของหลิวต้าเม่ยเข้าพอดี
ยิ่งทำให้หล่อนโกรธจนแทบระเบิด
หล่อนสงสารเย่เหวินชาง และอาศัยสถานะของตัวเองที่เป็นสาวเมืองกรุง จะต้องช่วยเขาระบายความแค้นให้ได้
“เหวินชาง คุณเป็นอย่างไรบ้าง? ร่างกายของคุณดีขึ้นหรือยัง?”
เย่เหวินชางเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยดูถูกคนอื่นเป็นปกติ แล้วแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา “ผมไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะ?”
“คุณดูสิ ผมเคยบอกแล้วว่าบ้านของผมจนและทรุดโทรมมาก คุณมาที่นี่…”
“คงจะดูถูกผมแน่ๆ ผม…”
หวังหลินคว้ามือของเย่เหวินชางไว้อย่างอ่อนโยน แล้วพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า “คุณอย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันไม่ใช่คนที่สนใจแต่วัตถุนะ”
“ครอบครัวของคุณเป็นชาวนาที่ขยันขันแข็ง ข้าวขาวที่พวกเรากินก็มาจากสิ่งที่พวกคุณปลูกนั่นแหละ”
“ถ้าฉันรังเกียจคุณ แล้วฉันจะเป็นคนแบบไหนกัน?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณหนูกลับไปค่ะ อย่ามาที่นี่ โดนหน้าหล่อๆ ของเหวินชางหลอกแล้ว
ไหหม่า(海馬)
…………….