ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 182 เย่เหวินชางกำลังจะกลายเป็นคนชั่วร้าย
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 182 เย่เหวินชางกำลังจะกลายเป็นคนชั่วร้าย
บทที่ 182 เย่เหวินชางกำลังจะกลายเป็นคนชั่วร้าย
…………….
บทที่ 182 เย่เหวินชางกำลังจะกลายเป็นคนชั่วร้าย
เย่จื้อเฉียงโมโหจนแทบขาดใจ
พลังของเย่เสี่ยวจิ่นนั้น เรียกว่าพลังแมวข่วนแค่พอแสบคันหรือ?
เหวินชางถึงกับลุกจากเตียงไม่ได้แล้ว
ทำไมพ่อแม่ถึงได้ลำเอียงขนาดนี้?
เขาเบิกตากว้าง กำหมัดแน่น มองพ่อแม่ออกจากบ้านไป ในใจพลุ่งพล่านด้วยความโกรธแค้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
เย่เสี่ยวจิ่นเป็นคนตระกูลเย่
แค่โชคดีเท่านั้นเอง จะเรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่อะไรกัน?
เหวินชางของเขาต่างหากที่เป็นความหวังในการสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลเย่ในอนาคต!
เขาโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ จริงๆ แล้วที่บ้านก็ไม่ได้ไม่มีเงินค่ารักษา แค่เคยชินกับการขอเงินจากพ่อแม่เท่านั้นเอง
คิดว่าจะประหยัดเงินสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธแบบนี้
“โชคดีที่ยังขอความช่วยเหลือจากเจ้ารองได้ เมื่อก่อนเขาให้ความสำคัญกับเหวินชางมาก” เย่จื้อเฉียงออกจากบ้านไปขอยืมเงินที่บ้านของน้องชายรอง
ต้องรู้ไว้ว่าเย่เหวินชางเป็นนักเรียนมัธยมปลายคนเดียวในครอบครัว
ก่อนหน้านี้ค่าเล่าเรียนทั้งหมดมาจากการรวบรวมเงินของทุกคนในครอบครัว
ไม่เพียงแต่หลิวต้าเม่ยที่ให้เงินมา น้องรองก็ยังให้เงินมาไม่น้อย
แม้ว่าครอบครัวของน้องสามจะไม่มีเงิน แต่พวกเขาก็ยังควักกระเป๋าจนหมด
ตอนนี้เหวินชางกำลังจะมีอนาคตที่สดใส
พ่อแม่แก่แล้ว อาจจะสับสน แต่แน่นอนว่าน้องรองต้องไม่สับสน
เย่ไฉกุ้ยกำลังแยกไม้ไผ่เป็นแผ่นบาง ๆ ในลานบ้านมีไม้ไผ่กองเต็มไปหมด
เซี่ยวเฟินฟางกำลังช่วยทำความสะอาดแผ่นไม้ไผ่
เย่จื้อเฉียงยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรแล้วพูดอย่างสนิทสนมว่า “น้องรอง น้องสะใภ้รอง พวกเธอกำลังยุ่งอยู่หรือ? ดีจังที่พวกเธออยู่บ้านพอดี”
“พี่ชาย มีอะไรหรือ?” เย่ไฉกุ้ยไม่ได้มองเขาเลย มือยังถือมีดทำงานอยู่
“ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ? ทำไมถึงดูเหนื่อยขนาดนี้?” เย่จื้อเฉียงรู้สึกสงสัย
เย่ไฉกุ้ยสวมเสื้อผ้าที่ปะชุนไปทั้งตัว เต็มไปด้วยฝุ่นผงสกปรก
ดูสกปรกมอมแมมราวกับไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน
ตั้งแต่ในบ้านมีลูกสะใภ้เพิ่มมา ก็เหมือนมีปากเพิ่มอีกหนึ่ง ลูกสะใภ้คนนี้ใช้เงินเก่ง อีกทั้งยังมีนิสัยเอาแต่ใจมาก
ก่อนหน้านี้เพิ่งซ่อมแซมบ้านไป ก็เสียเงินไปไม่น้อย
ตอนนี้ลูกสะใภ้กำลังตั้งครรภ์ บ่อยครั้งที่หอบหิ้วข้าวของมากมายกลับไปบ้านเกิด
หมอบอกว่ากำลังท้องลูกชาย เขาและภรรยาจึงอดทนเอาไว้
แต่ชีวิตความเป็นอยู่กลับแย่ลงเรื่อยๆ
เขาเห็นหลิวเยว่ที่บ้านของเจ้าสาม หล่อนเป็นคนกตัญญูและประหยัด อีกทั้งยังพยายามหาเงินร่วมกับเย่จวินเสมอ
หล่อนเป็นคนฉลาด ไปที่ไหนก็ได้รับคำชมจากทุกคน
เขารู้สึกเสียใจจนแทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ฮ่าๆ… ผมได้แต่บอกว่า แต่งงานต้องเลือกคนที่ดีมีคุณธรรม ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเหมือนผมนี่แหละ”
“ทำงานหนักเหมือนวัวควายทุกวัน เหนื่อยจริงๆ พ่อคุณเอ๊ย”
เย่ไฉกุ้ยวางมีดลงแล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย “พี่มีธุระอะไรกับผมหรือ?”
“อ้อ เป็นอย่างนี้ ลูกชายฉันเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้…มีปัญหาเรื่องเงินนิดหน่อย”
“น้องชาย นายพอจะให้ฉันยืมเงินหน่อยได้ไหม ฉันจะได้ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล”
เซี่ยวเฟินฟางเห็นสถานการณ์นี้แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
การยืมเงินจากบ้านพี่ชายคนโตนั้น เหมือนขว้างก้อนเนื้อให้หมา ให้ไปแล้วไม่มีวันได้คืน
ยืมเงิน? หล่อนไม่เห็นด้วยเป็นคนแรก
“พี่ชาย พี่ทำแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ ฉันรู้ว่าหลี่ชุ่ยชุ่ยให้เงินพวกพี่ไปหลายหยวนแล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”
“เหวินชางแค่บาดเจ็บเล็กน้อย พี่จำเป็นต้องไปหาเงินทุกที่เลยหรือ? ไม่กลัวอับอายขายหน้าเลยหรือไง”
เซี่ยวเฟินฟางแค่นเสียงอย่างรังเกียจ “ลูกสะใภ้ของฉันท้องมาหลายเดือนแล้ว พวกเราจะมีเงินที่ไหนให้พวกพี่ยืม?”
เย่ไฉกุ้ยยิ้มเล็กน้อย “ภรรยา อย่าพูดกับพี่ชายแบบนั้นสิ”
“แต่ละบ้านก็มีปัญหาของตัวเอง พี่ชายไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ”
“พี่ก็เห็นแล้วว่าสถานการณ์ครอบครัวเราเป็นยังไง พวกเราไม่มีเงินจริงๆ”
เย่จื้อเฉียงถอนหายใจ เซี่ยวเฟินฟางพูดจาน่าฟังจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
ทั้งๆ ที่ลูกชายของเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้
เมื่อเย่จื้อเฉียงจากไป
เย่ไฉกุ้ยถ่มน้ำลายทันที “นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะมาทำเป็นว่าเย่เหวินชางเป็นของล้ำค่าอีก”
“เรียนหนังสือก็สู้เย่หวายไม่ได้ ความสามารถก็สู้เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้”
“แม้แต่นิสัยใจคอก็ยังสู้เจ้าเสี่ยวกังของเราไม่ได้”
เซี่ยวเฟินฟางหัวเราะเยาะ “นั่นก็เพราะพ่อแม่ของคุณเมื่อก่อนนั่นแหละ ที่จะเอาแต่ทำให้เย่เหวินชางเป็นไข่มุก แล้วยังจะให้พวกเราทะนุถนอมหลานชายที่ดีของเขาด้วย”
“ตอนนี้ดูสิ เย่เหวินชางคนนี้ใช้ไม่ได้เลย”
“ใครๆ ก็รู้ว่าเขาอิจฉาคนอื่นแล้วไปใส่ร้ายป้ายสีเขาเอง คนแบบนี้แย่มาก ไม่อายที่ทำตัวน่าอับอายเลยหรือไง”
เย่ไฉกุ้ยพยักหน้า “ถึงครอบครัวของเจ้าสามก็ไม่ได้ดีอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปทำร้ายคนอื่นเหมือนครอบครัวของคนโต”
แต่เซี่ยวเฟินฟางกลับแค่นเสียง “ฉันว่าตอนนี้ครอบครัวเจ้าสามก็ไม่ได้ดีอะไรหรอก”
“หลี่ชุ่ยชุ่ยคนนั้นวันๆ เอาแต่ยิ้มแย้มแจ่มใส อยากให้คนรู้ว่าสถานการณ์ครอบครัวดีขึ้นแล้ว”
“ไม่รู้จักถ่อมตัวเลยสักนิด ช่างเป็นหน้าตาของคนรวยใหม่ที่เคยจนมานาน”
แม้หล่อนจะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงก็เจือความอิจฉาริษยา
เย่เหวินชางอยู่โรงพยาบาลสองวันก็ถูกรับกลับบ้าน
ตอนที่เขากลับบ้าน มีคนมากมายชี้นิ้วและวิพากษ์วิจารณ์เขา
บนถนน เย่จื้อเฉียงถึงกับก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมา
แม้หลี่กุ้ยฮวาจะรู้สึกโกรธ แต่เมื่อถูกสายตาเหล่านี้จ้องมอง หล่อนก็รู้สึกทั้งอับอายและขายหน้า
“เย่เหวินชางเอ๋ย ยังบอกว่าเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในหมู่บ้านของเราอีก”
“ใช่แล้ว เรียนเก่งแล้วมันมีประโยชน์อะไร สมองคงจะพังเพราะเรียนหนักเกินไปแล้วล่ะ”
“ก็นั่นแหละ เขามีนิสัยแย่ขนาดนี้ พ่อแม่ก็เป็นคนเก่งกาจแบบนี้ ต่อไปจะมีสาวดีๆ คนไหนยอมแต่งงานกับเขาล่ะ”
“ฉันว่าคนเราต้องมีความจริงใจ ไม่งั้นสักวันก็ต้องได้รับกรรมแน่ๆ”
ทุกคนชอบเย่เสี่ยวจิ่นมาก
แม้ว่าตระกูลเย่จะร่ำรวยขนาดนี้จนทำให้คนอื่นอิจฉาบ้าง
แต่อย่างน้อย เย่เสี่ยวจิ่นก็พาทุกคนหาเงินด้วยกัน ปกติเธอก็ใจดี ไม่เคยกดขี่
ดังนั้นทุกคนจึงยืนอยู่ข้างเย่เสี่ยวจิ่นในเรื่องแบบนี้
แม้เธอจะทุบตีเย่เหวินชาง แต่จะเป็นไรไป?
ทุบตีก็ดีแล้ว!
“หลี่กุ้ยฮวา พวกแกช่างมีจิตใจสกปรกโสโครกจริงๆ ระวังตอนกลางคืนอย่าเดินคนเดียวนะ”
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว ทำเรื่องไม่ดีก็ต้องระวังผีเคาะประตูตอนดึกด้วยนะ”
“พวกแกช่างเลวจริงๆ ไม่รู้ว่าจะแอบทำร้ายพวกเราลับหลังหรือเปล่า”
“นั่นสิ ไม่แน่นะ ถ้าวันไหนพวกเราโดนแจ้งความก็อย่าคิดเลย…ต้องเป็นฝีมือไอ้อัจฉริยะนี่แน่ๆ”
เย่เหวินชางที่เคยยืดตัวตรงตระหง่านตอนนี้กลับงอตัวลงเล็กน้อย
เขาไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้
ความโกรธแค้นในใจเผาไหม้จนทั้งตัวร้อนผ่าว ราวกับจะระเบิดออกมา
เขาทำอะไรผิด? ถึงต้องถูกชี้หน้าด่าทอเช่นนี้?
เขาไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อน เป็นเพียงความผิดพลาดชั่ววูบเท่านั้น อีกทั้งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อครอบครัวของลุงสามเย่
พวกเขากลับแพร่ข่าวลือในหมู่บ้านเช่นนี้ ทำลายชื่อเสียงของเขา
ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
“หุบปาก!” หลี่กุ้ยฮวากัดฟันกรอด “พวกแกพูดเหลวไหลอะไรกัน?”
“เหวินชางคือความภาคภูมิใจของฉัน เขาจะไม่มีวันทำเรื่องเลวร้าย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก เป็นแค่ข่าวลือที่คนอื่นสร้างขึ้นมา!”
“เหวินชางของเราเป็นเด็กดี ใครกล้าพูดไม่ดีเกี่ยวกับลูกชายฉันอีก ฉันจะสู้กับพวกแกถึงตายเลย!”
หลี่กุ้ยฮวาปกติปากไม่ยอมคน ด่าคนเก่งมาก
เมื่อหล่อนพูดแบบนี้ ทุกคนก็พากันปิดปากเงียบอย่างกระอักกระอ่วน
แต่ในแววตาของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความดูถูก
ย่างก้าวของเย่เหวินชางหนักอึ้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เมื่อเดินมาถึงที่ที่ไม่มีใคร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืดสนิท แววตาเต็มไปด้วยความแค้นที่น่าตกใจ
“ในเมื่อครอบครัวอาสามบีบให้ผมถึงทางตัน ก็อย่าโทษว่าผมไม่สุภาพเลย!”
“พวกเขาต้องการจะทำร้ายฉัน ฉัน…ไม่ใช่คนที่จะกลืนกระดูกที่หักลงท้องหรอกนะ”
หลี่กุ้ยฮวาแทบจะร้องไห้ “ใช่แล้ว ลูกเอ๋ย อย่าเสียใจไปเลย ต่อไปเราจะมีโอกาสแก้แค้นกลับคืนมาแน่นอน”
แต่เย่จื้อเฉียงกลับรู้สึกหวั่นใจ “อย่าพูดแบบนี้เลย ถ้าคนอื่นได้ยินเข้า ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะนินทาลับหลังว่าอย่างไรบ้าง”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บ้านใหญ่ทำตัวเองแล้วยังไปแค้นเขาอีกน้อ มันต้องโดนแบบลุกไม่ขึ้นเลยใช่ไหมถึงจะสำนึก
ไหหม่า(海馬)
…………….