ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 18 ข่าวลือทำร้ายคน (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 18 ข่าวลือทำร้ายคน (รีไรต์)
บทที่ 18 ข่าวลือทำร้ายคน (รีไรต์)
บทที่ 18 ข่าวลือทำร้ายคน (รีไรต์)
แต่เย่เสี่ยวจิ่นก็คิดได้ว่าอย่างไรภารกิจนี้ก็ไม่มีกำหนดเวลา ค่อย ๆ ทำไปก็ได้อยู่ดี
หลี่ชุ่ยชุ่ยยื่นฝ้ายให้กับเซี่ยเฟยฝาน
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว หล่อนก็นำเงินสิบสามหยวนห้าเหมาออกมาดูด้วยความตื่นเต้น
“จิ่นเป่า ฝ้ายที่เทพเซียนให้มามันขายได้เงินจริง ๆ ด้วยเหรอเนี่ย?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “แน่นอนสิคะ เพราะฝ้ายของเราดีจริง ๆ นี่คะ ของดีราคาแพงที่ไหนก็ขายได้อยู่แล้ว”
“ต่อไปถ้าเราปลูกเองได้เยอะ ๆ ก็นำไปขายได้ทั้งหมดเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะ “ถึงเอาที่ดินแถวบ้านเราทั้งหมดมาปลูกก็คงไม่พอหรอกจ้ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นคำนวณเวลาคร่าว ๆ ระบบบอกว่าภายในสองปีนี้จะมีการแบ่งที่ดิน ค่อยปลูกตอนนั้นก็ได้
หลี่ชุ่ยชุ่ยเก็บเงินใส่ถุงผ้าใบเล็ก ๆ แล้วพูดกับเธอว่า “นี่คือกระปุกออมสินของจิ่นเป่านะ”
เธอส่ายหน้า “เด็กตัวแค่นี้ไม่ต้องใช้เงินหรอก แม่เอาไปใช้เถอะ”
“ไม่ได้หรอก เผื่อไว้ใช้ยามจำเป็น”
หิมะตกติดต่อกัน 5 วัน พื้นดินจึงขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ทุกค่ำคืน เย่เสี่ยวจิ่นหลับสบาย มีผ้าห่มอุ่น ๆ ห่มกาย ไม่ต้องกลัวหนาวจนสะดุ้งตื่นอีกต่อไป
เธอสวมเสื้อฝ้ายตัวใหม่
แม่ก็มีเสื้อและกางเกงฝ้ายตัวใหม่เช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ชุ่ยชุ่ยได้สัมผัสกับฤดูหนาวอันอบอุ่น นับตั้งแต่แต่งงานเข้าบ้านตระกูลเย่
หลี่ชุ่ยชุ่ยทั้งขยันและทำงานเก่ง เย็บเสื้อผ้าและผ้าห่มผืนใหม่ให้ทุกคนในครอบครัว
พอฟ้าสาง
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ตื่นขึ้นมา “จิ่นเป่า วันนี้แม่ต้องไปที่ฟาร์มไก่แล้วนะ”
“ลูกจะอยู่บ้าน หรือไปกับแม่ดี?”
เย่เสี่ยวจิ่นขยับตัวในผ้าห่มอย่างงัวเงีย “หนูอยู่บ้านรอแม่กลับก็ได้”
พอหลี่ชุ่ยชุ่ยออกไปแล้ว เธอก็ขดตัวนอนต่ออีกสักงีบ
จนกระทั่งสิบโมงเช้าจึงตื่นมาหาอะไรลงท้อง ก่อนจะออกไปริมแม่น้ำ เดินลุยน้ำค้างยามเช้าไปตามทาง
เธอเก็บจูเฉ่าได้มากโข เลยวางกองไว้ริมทาง
ค่อยกลับมาขนหลาย ๆ รอบก็ยังทัน
“จิ่นเป่า!”
ยังไม่ทันถึงไหน ก็มีเสียงใครบางคนตะโกนเรียก
เธอหันกลับไปมองก็เห็นโจวเหวินรุ่ยกับเด็ก ๆ อีกกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
โจวเหวินรุ่ยชอบเล่นกับเธอ พอเห็นเธอหอบจูเฉ่าก็รีบพูดขึ้นว่า “จิ่นเป่า พวกเรามาช่วยแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูเขาเรียกเพื่อน ๆ ให้ช่วยกันขนจูเฉ่าอย่างขะมักเขม้น
ในใจก็นึกแอบขัน เจ้าเด็กน้อยผู้อ่อนแอนี่ ชัด ๆ ว่าเป็นคนที่มีประโยชน์ไม่น้อยเลย
แม้ว่าในบรรดาเด็ก ๆ แล้ว เย่เสี่ยวจิ่นจะเป็นน้องเล็กที่สุด แต่กลับทำตัวราวกับเป็นหัวหน้ากลุ่ม นำทุกคนกลับมายังบ้านของเธอ
โจวเหวินรุ่ยเดินต้อย ๆ ตามติดเย่เสี่ยวจิ่นไปทุกฝีก้าว “จิ่นเป่า เธอเหนื่อยหรือเปล่า”
“ไม่เหนื่อย”
“แต่ว่า เธอตัวเล็กนิดเดียวเองนะ”
“นายก็ตัวเล็กเหมือนกัน”
“ฉันตัวโตกว่าเธอตั้งเยอะ” โจวเหวินรุ่ยบ่นอุบอิบ พูดมากเสียจริง
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พวกเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย
เมื่อมาถึงบ้านแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นแบ่งไก่ย่างที่ทำให้ทุกคนกิน แล้วก็เริ่มลงมือทำอาหารไก่สูตรเฉพาะของเธอ
“รุ่ยเป่า ที่นี่ไม่สนุก ไปเล่นที่สนามกันดีกว่า”
“ใช่ รุ่ยเป่า ไปเล่นลูกแก้วกันเถอะ”
“ใช่ ไปเล่นลูกแก้วกัน”
มีคนเริ่มส่งเสียงชวนแล้ว
แต่โจวเหวินรุ่ยยังคงนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ จิ่นเป่าคอยช่วยส่งหญ้าให้ไก่
เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักอายุประมาณหกเจ็ดขวบ พูดขึ้นว่า “รุ่ยเป่า ไปเล่นที่บ้านฉันสิ พี่สาวฉันซื้อตุ๊กตาแมวน้อยมา น่ารักมาก เล่นสนุกด้วย”
“พวกเธอไปเล่นกันเถอะ ฉันอยู่ที่นี่แหละ” โจวเหวินรุ่ยพูด
เด็กหญิงเริ่มมีท่าทีไม่พอใจ “รุ่ยเป่า นายดูสิ ที่นี่มีอะไรน่าเล่น ดูคนสับหญ้าให้ไก่ น่าเบื่อจะตาย”
“และที่นี่มันโทรม ๆ เก่า ๆ ไม่เห็นจะดีเลยสักนิด” เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ
“ถ้าพี่ชายนายรู้ว่านายมาเล่นที่นี่ เขาต้องดุนายแน่ ๆ”
ดวงตากลมโตของเย่เสี่ยวจิ่นมองสำรวจเด็กหญิงตรงหน้าอย่างพินิจ เธอคือเซี่ยวหรุยหรุ่ย น้องสาวของเซี่ยวเยว่ เด็กหญิงที่ขึ้นชื่อเรื่องการแต่งตัวโดดเด่นที่สุดในหมู่เด็ก ๆ แถวนี้ เพราะในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ ยังต้องสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ต่อ ๆ กันมา แต่พี่สาวของเธอกลับพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าทันสมัยถึงในเมือง
“รุ่ยเป่า ถ้านายไม่ไป ฉันจะไม่ยอมเล่นกับนายอีกแล้ว” เซี่ยวหรุยหรุ่ยทำท่าทีเบื่อหน่ายกับสถานที่แห่งนี้ ก่อนจะหันไปขู่เพื่อนเล่นตัวน้อย
โจวเหวินรุ่ยไม่สนใจคำขู่ เหมือนไม่แยแสต่อสิ่งที่หล่อนพูด เซี่ยวหรุยหรุ่ยเห็นท่าทีเช่นนั้น จึงเปลี่ยนน้ำเสียงอ่อนลง “รุ่ยเป่า ไปกันเถอะนะ”
เซี่ยวหรุยหรุ่ยชอบมาเล่นกับโจวเหวินรุ่ยมากที่สุด เพราะเขาเป็นเด็กชายจากในเมือง วันที่เขาย้ายมาที่นี่ พวกเขามาพร้อมกับรถคันเล็กน่ารักเสียด้วย
เขาแต่งตัวไม่เหมือนเด็กคนอื่นในหมู่บ้าน ผิวพรรณผุดผ่องราวกับตุ๊กตาชั้นดี
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น พวกเธอรีบไปกันได้แล้ว” โจวเหวินรุ่ยส่ายหน้า
“รุ่ยเป่า อย่าไปเล่นกับเด็กคนนั้นเลย เดี๋ยวซวยไปด้วยหรอก”
“พี่สาวฉันเล่าให้ฟังแล้ว ครอบครัวนี้ร้ายกาจจะตาย”
“แม่เด็กนั่นขี้เกียจ ส่วนเด็กนั่นก็เป็นตัวซวย ใคร ๆ ก็ต้องอยู่ห่าง ๆ ไว้”
โจวเหวินรุ่ยกะพริบตาปริบ ๆ “ไม่จริงสักหน่อย พวกเธอนั่นแหละชอบพูดมั่ว จิ่นเป่าเป็นเด็กดีจะตาย”
เด็กคนอื่น ๆ พากันเดินจากไป เหลือเพียงเซี่ยวหรุยหรุ่ยที่จ้องมองเธอตาขวางก่อนจะเดินตามเพื่อน ๆ ไป เย่เสี่ยวจิ่นไม่เข้าใจว่าทำไมรุ่ยเป่าถึงเข้าข้างเด็กน่ารังเกียจอย่างเธอ
โจวเหวินรุ่ยเดินตามเธอต้อย ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จิ่นเป่า ฉันช่วยทำงานนะ”
“เดี๋ยวเธอปิ้งให้ฉันกินอีกอันได้ไหม”
เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ที่บ้านนายมีของอร่อยตั้งเยอะ ทำไมต้องมากินที่นี่ด้วย”
“ก็นี่ไง ของที่จิ่นเป่าทำอร่อยที่สุดแล้ว”
จิ่นเป่าสบตากับดวงตาที่เป็นประกายของเขา ก่อนจะยอมแพ้ ปิ้งไก่ให้เขาอีกอัน “เป็นเด็กจอมงอแงจริง ๆ”
โจวเหวินรุ่ยอยู่เล่นจนเย็น พี่ชายมารับถึงยอมกลับบ้าน
หิมะหยุดตก ชาวบ้านเริ่มกลับไปทำงานตามปกติ
ตอนเย็นหลังเลิกงาน ทุกคนต่างเดินกลับบ้านพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากเลิกงาน หลี่ชุ่ยชุ่ยบังเอิญเจอกับหยางเจวียนที่เพิ่งกลับมาจากสวนผลไม้ ทั้งสองคนจึงเดินกลับบ้านด้วยกัน
หยางเจวียนถามด้วยความสงสัย “ชุ่ยชุ่ย ช่วงนี้ทำงานที่ฟาร์มไก่เป็นยังไงบ้าง”
“ได้ยินมาว่าเธอเคยหอบตะกร้าไข่ใบเบ้อเร่อกลับบ้านด้วยนี่”
“ที่นั่นเงินดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ในกลุ่มของหยางเจวียน มีแต่หลี่ชุ่ยชุ่ยคนเดียวเท่านั้นที่ทำงานในฟาร์มไก่ในหมู่บ้าน
ตอนนี้ใคร ๆ ก็พูดกันว่าการทำงานในฟาร์มไก่นั้นสบายจะตาย
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้ม “ที่ฟาร์มไก่ก็ดีนะ ไม่เหนื่อยอะไร พวกเขาก็ใจดีกันทุกคน”
“ส่วนไข่น่ะ หัวหน้าทีมเขาให้ลูกสาวฉันมา”
หยางเจวียนเห็นว่าหลี่ชุ่ยชุ่ยสบายดีก็พลอยยินดีไปด้วย “อย่างนั้นก็ดีแล้ว เธอไม่รู้หรอกว่าเซี่ยวเยว่คนนั้นน่ะ นิสัยเสียยิ่งกว่าอะไรดี วัน ๆ เอาแต่หาเรื่องชาวบ้าน”
“วันนี้ก็ปากเสียอีกละ เกือบโดนคนเขาตีซะแล้ว สมน้ำหน้า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไร
ฝ่ายเซี่ยวเยว่ที่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นทั้งสองคนคุยกันอยู่ก็ตั้งใจเดินเข้าไปหา
ใบหน้าของเซี่ยวเยว่ยังมีรอยฟกช้ำอยู่บ้าง คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันไม่ดี เจอเรื่องขัดใจมาเลยอยากจะหาที่ระบาย
พอเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ย หล่อนจึงคิดหาเรื่องเยาะเย้ยสักสองสามคำ ระบายความขุ่นมัวในใจ
เพราะรู้ดีว่าคนอื่นคงไม่มีทางใจดีเหมือนหลี่ชุ่ยชุ่ยหรอก
“หยางเจวียน นี่ยังคบกับหลี่ชุ่ยชุ่ยอยู่เหรอ?”
“ไม่รู้หรือไงว่าพ่อแม่สามีของผู้หญิงคนนี้พูดจาดูถูกไว้ยังไงบ้าง?”
“คนใจดำเห็นแก่ตัวแบบนั้น ระวังเถอะ สักวันก็คงหักหลัง แล้วก็หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีเธอลับหลังแน่!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “พ่อแม่สามีฉัน พวกเขาพูดอะไรถึงฉันเหรอ”