ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 169 น้ำเชื่อมสาลี่
บทที่ 169 น้ำเชื่อมสาลี่
……….
บทที่ 169 น้ำเชื่อมสาลี่
หลิวเยว่ล้างมือให้สะอาดแล้วเริ่มแบ่งวุ้นเย็นใส่ถ้วย
พวกเขากลับมาโดยไม่ได้กินข้าวกลางวัน ตอนนี้ยังรู้สึกหิวอยู่บ้าง กินวุ้นเย็นก็พอช่วยให้อิ่มได้
หลิวเยว่มองเย่จวิน “คุณขี่จักรยานจนเหงื่อท่วมขนาดนี้ กินก่อนเถอะ”
เย่จวินรับวุ้นเย็นจากมือของหลิวเยว่ “คุณก็เหนื่อยมากเหมือนกัน คุณก็กินสิ”
หลิวเยว่ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เกรงใจเขา
เย่เสี่ยวจิ่นวิ่งเข้ามา หยิบวุ้นเย็นบนโต๊ะขึ้นมากินสองคำ
ชาติที่แล้วตอนเด็กๆ เธอเคยกินวุ้นเย็นมามาก แต่พอโตขึ้นก็แทบไม่ได้กินของแบบนี้อีกเลย
ตอนนี้กินแล้วรู้สึกสดชื่น ทั้งหวานนิดๆ อร่อยดีทีเดียว
หลิวเยว่มองเธอ ยิ้มอย่างตื่นเต้น “จิ่นเป่า ขอบคุณไอเดียดีๆ ของเธอ วันนี้พวกเราขายหยางเหมยท้อดองกับขิงและใบงาขี้ม้อนหมดเกลี้ยงเลย”
“ฉันรู้สึกว่าขายได้ดีทีเดียว กำลังคิดว่าจะถือโอกาสที่บ้านยังมีของพวกนี้อยู่ ทำอีกครั้งแล้วเอาไปขายในเมืองดีไหม”
“ก็ได้นะ ถ้าพี่คิดว่ามีเวลาพอ ทำอีกครั้งก็ไม่เป็นไร” เย่เสี่ยวจิ่นกินวุ้นเย็นไปพลางก็ดีใจแทนหล่อนด้วย “ยังไงบ้านเราก็มีรถ ไปเมืองสักทีก็สะดวกดี”
หลิวเยว่มองหน้าเย่จวิน “น้องชายคุณคงมีงานในนามากสินะ?”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ต้องมีเวลาไปกับคุณแน่นอน” เย่จวินยิ้มพูด “คุณไปจัดการได้เลย ไม่ต้องกังวล”
หลิวเยว่ไม่พูดอะไร แต่ใบหูแดงขึ้นเล็กน้อย “จิ่นเป่ามีวิธีหาเงินเยอะจัง ต่อไปพวกเราต้องเรียนรู้จากเธอให้มาก”
“คราวนี้ขายหมดในช่วงเที่ยงเดียว ได้เงินตั้ง 2 หยวน 5 เหมาเชียวนะ ฉันรู้สึกเหมือนฝันไปเลย…”
“จริงเหรอ?” หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกเหลือเชื่อ “แค่ของพวกนั้น…ขายได้ตั้งสองหยวนห้าเจี่ยวเลยเหรอ?”
สำหรับหลี่ชุ่ยชุ่ยแล้ว พวกนี้ล้วนเป็นของไม่มีค่า
“แน่นอนว่าจริงค่ะ แถมขายได้เร็วมาก ฉันยังตั้งตัวไม่ทัน” หลิวเยว่พูดพลางยิ้ม “ถ้าไม่มีเย่จวินอยู่ด้วย คงยุ่งจนทำไม่ทัน”
“อ้อใช่ เงินนี้ป้าเก็บไว้นะ…”
“พวกพี่เก็บไว้เองเถอะ” เย่เสี่ยวจิ่นเอ่ยขึ้นก่อน
เธอรู้ว่าการที่จะมีแรงจูงใจในการผลิตต่อไปได้ ก็ต้องสามารถหาเงินได้
ตอนนี้พี่ชายคนรองเป็นหัวหน้าทีมแล้ว เหลือแต่พี่ชายคนโตที่ยังไม่มีวิธีหาเงินที่ยั่งยืน
เธออยากให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้
อาศัยโอกาสในการหาเงินครั้งนี้ ฝึกฝนความสามารถของพี่ชายคนโตและคนอื่นๆ ให้พวกเขาสามารถคิดด้วยตัวเอง
เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตในอนาคตลำบาก
เย่เสี่ยวจิ่นคิดแล้วยิ้ม “คุณกับพี่ชายฉันก็จะแต่งงานกันในอนาคต แน่นอนว่าต้องเก็บเงินไว้บ้าง”
“น้ำตาลกรวดที่บ้านเรามีเยอะจนใช้ไม่หมด คุณเอาไปใช้เลยก็ได้ แล้วทำเพิ่มเอาไปขาย เงินที่เหลือพวกคุณก็เก็บไว้เอง”
หลิวเยว่รู้สึกงุนงงและไม่รู้จะทำอย่างไร “นี่…”
“จิ่นเป่าพูดถูกแล้ว พวกเธอก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเอง เงินนี้ก็จัดการเองสิ” หลี่ชุ่ยชุ่ย ก็พูดตามไปด้วย
พวกเขาทำงานมาทั้งวัน ก็ควรจะมีแรงจูงใจบ้าง
อีกอย่าง เธอกับจิ่นเป่าก็รู้ว่าที่บ้านยังมีเงินเก็บอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน 2 หยวน 5 เหมานี้
หลิวเยว่เมื่อได้รับเงิน 2 หยวน 5 เหมา ก็รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นทันที
ต่อไปถ้าแต่งงาน แน่นอนว่าจะมีค่าใช้จ่ายมากมาย ก็ไม่อาจพึ่งพาลุงเย่กับป้าตลอดไปได้
ถ้าพวกเขาสามารถหาเงินได้มากขึ้น ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้
เย่จวินตบมือของหลิวเยว่เบาๆ “เสี่ยวเยว่ ในเมื่อแม่กับจิ่นเป่าพูดแบบนี้แล้ว คุณก็รับไว้เถอะ”
“คุณเป็นคนมีการศึกษา แน่นอนว่าจัดการเรื่องเงินได้ดีกว่าผมที่เป็นคนหยาบกร้านมาก”
เมื่อเย่ฉางอันกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นรถสามล้อจอดอยู่ที่บ้านแล้ว
แต่กลับไม่เห็นพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่ในบ้าน
“แปลกจัง พี่ชายของผมไปไหนล่ะครับ” เย่ฉางอันถามแม่
“พวกเขาไปเก็บลูกหยางเหมยกันแล้ว ในสวนผลไม้ยังมีลูกท้อเหลืออีกเยอะ ไม่มีใครเอา พวกเขาเลยเตรียมจะไปเก็บกลับมาด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดกับเย่ฉางอันว่า “วันนี้พวกเขาขายของได้ดี ตอนนี้เลยมีกำลังใจขึ้นมาก”
“ลูกก็ต้องตั้งใจทำงานให้ดีๆ นะ ต่อไปจะได้แต่งงานมีเมีย แล้วช่วยกันดูแลครอบครัว”
เย่ฉางอันไม่อยากแต่งงานมีภรรยา “ทำไมแม่ถึงพูดเรื่องผมอีกล่ะ? ผมอยู่อย่างอิสระ มีความสุขดีอยู่แล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่อยากพูดกับเขาแล้ว “ฮึ ลูกนี่มันท่อนไม้จริงๆ อ้อ ไปดูที่คอกหมูหน่อยสิ พี่ชายซื้อลูกหมูกลับมาแล้ว”
“เป็นลูกหมูตัวอ้วนเชียว หนักตั้ง 20 ชั่งเลยนะ”
“จริงเหรอ? งั้นผมต้องไปดูหน่อยแล้ว” เย่ฉางอันรีบเดินไปที่คอกหมู
เมื่อเห็นลูกหมูที่กำลังกินอาหารอยู่ในคอกส่งเสียงอี๊ดๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข
“นี่มันลูกหมูตัวใหญ่จริงๆ”
“พี่ชายผมเก่งจริงๆ ซื้อได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ ถึงปีใหม่คงโตเป็นหมูตัวใหญ่แน่ๆ”
“แม่ก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ต่อไปเราจะต้องทำจูเฉ่าให้มากขึ้นอีก” หลี่ชุ่ยชุ่ย พูดพลางยิ้ม เมื่อเห็นหมูตัวขาวอ้วนพีนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก
“แล้วมันจะเป็นไรไป? เหนื่อยหน่อยก็ยังดีกว่าหิวท้องนะ” เย่ฉางอันก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ก็แค่จูเฉ่าเท่านั้นเอง มีผมกับพี่ใหญ่อยู่ จะกลัวอะไรกับจูเฉ่าแค่นี้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า “ลูกก็อย่าพูดอะไรอีกเลย ฉันทำวุ้นเย็นไว้แล้ว ไปกินหน่อยสิ”
ตั้งแต่หลิวเยว่เรียนรู้วิธีทำท้อกับลูกหยางเหมยดองใบงาขี้ม้อน พวกเขาก็ทำไปอีกสองครั้ง
เย่จวินกับหลิวเยว่ยังได้กำไรมาสิบหยวน
หลิวเยว่ถือเงินนี้แล้วรู้สึกหนักอึ้งและดีใจมาก
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะหาเงินได้แบบนี้ หลังจากได้ลิ้มรสความหวานแล้ว ก็เริ่มใช้สมองคิดหาโอกาสในการหาเงินแล้ว
แต่ท้อกับลูกหยางเหมยในบ้านก็หมดแล้ว คงทำธุรกิจนี้ต่อไม่ได้แล้ว
ช่วงนี้หาเงินได้ทั้งหมดสิบสามหยวน หลิวเยว่รู้สึกพอใจมาก
เย่จวินก็เริ่มอยากได้เงินขึ้นมาบ้างแล้ว
อีกระยะหนึ่งผ่านไป
เย่เสี่ยวจิ่นใช้เทคนิคการจับปลาของเธอ พาเย่ฉางอันไปจับปลาไหลกลับมาได้เต็มถังใหญ่
หลี่ชุ่ยชุ่ยเปิดฝาถังตั้งแต่เช้าตรู่ เห็นปลาไหลมากมายขนาดนั้นแล้วแทบจะตกใจ
“โอ้โฮ ใครจับปลาไหลมาเยอะขนาดนี้?”
“แม่ดูสิว่าใครยังไม่ตื่น ก็คนนั้นแหละที่จับมา” เย่ฉางอันพูดพลางยิ้มกริ่ม “ดูปลาไหลพวกนี้สิ ตัวใหญ่ไหมล่ะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่รู้ว่าเย่เสี่ยวจิ่นกล้าออกไปจับปลาไหลตอนดึกดื่น!
ต้องรู้ไว้ว่างูในเดือนสิงหาคมกันยายนนี่มีพิษร้ายแรงที่สุด!
หล่อนจ้องเย่ฉางอันด้วยสายตาดุ “เด็กผู้หญิงคนเดียวจะยกไหวได้ยังไง ลูกต้องพาหล่อนไปแน่ๆ”
เย่ฉางอันแก้ตัว “ผมแค่ไปเป็นเพื่อน หล่อนเป็นคนพาผมไปต่างหาก เป็นความคิดของหล่อน จะมาโทษผมได้ยังไง?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่สนใจ ลูกสาวจะผิดได้อย่างไร ทั้งหมดเป็นเพราะลูกชายคนนี้ซุกซนเกินไป พาลูกสาวไปในทางที่ผิด
“ขืนลูกยังจะดื้อดึงอีก ระวังแม่จะตีนะ”
“ข้างนอกนั่นมีงูเยอะมาก ถ้าหล่อนจับงูโดยเข้าใจผิดว่าเป็นปลาไหล ลูกจะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจเลย”
“ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับน้องสาวมา ดูสิว่าแม่จะหักขาลูกหรือเปล่า!”
เย่จื้อผิงเข้ามาขวางหลี่ชุ่ยชุ่ย “พอเถอะๆ ไม่มีอะไรหรอก จิ่นเป่าฉลาดออก หล่อนจะแยกไม่ออกระหว่างงูกับปลาไหลได้ยังไง?”
“แต่จิ่นเป่าเก่งมากนะที่จับปลาไหลได้เยอะขนาดนี้ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ดูสิ นี่พอกินได้หลายวันเลยนะ”
“จิ่นเป่าเก่งจริงๆ หัวไวปราดเปรียว ทั้งยังคล่องแคล่วว่องไวอีกด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยขมวดคิ้ว “ปลาไหลพวกนี้ลื่นมากนะ ไม่ง่ายเลยที่จะจับ ต้องเป็นเจ้ารองจับแน่ๆ แล้วมาหลอกพวกเรา”
“ผมไม่ได้โกหกพวกคุณจริงๆ นะ นี่จิ่นเป่าจับเองแท้ๆ”
“หล่อนบอกว่านี่เรียกว่าเทคนิคการจับปลาขั้นสูงอะไรสักอย่าง จะให้ผมเปิดหูเปิดตา…” เย่ฉางอันพูดติดอ่าง พลางยักไหล่อย่างจนปัญญา “ผมก็งงๆ เหมือนกัน แต่ผมเห็นสายตาหล่อนดีขึ้นมาก จับทีไรได้ทุกที”
“ผมยังไม่เก่งเท่าหล่อนเลย ได้แต่เดินตามหลังถือถังให้หล่อนเท่านั้น”
“มือทั้งสองข้างของหล่อนมั่นคงมาก เหมือนคีมเลย ไม่มีทางพลาดแน่นอน”
“เมื่อคืนปลาไหลทั้งหมดในบริเวณนี้ถูกหล่อนจับไปหมดแล้ว ถ้าผมไม่เห็นว่าได้ครึ่งถังแล้วและห้ามไว้ หล่อนคงจะจับต่อไปอีก”
พละกำลังของเย่เสี่ยวจิ่นเข้าที่เข้าทางแล้ว ปลาไหลพวกนั้นไม่ขยับเลย ปล่อยให้เธอจับมันเหมือนกับเก็บปลาใส่กระสอบ
พอดีตอนเช้าต้องทำอาหาร เย่จื้อผิงเดิมทีไม่รู้จะผัดอะไร
ตอนนี้วัตถุดิบมีพร้อมแล้ว ก็ไม่ต้องลังเลอีก
“พ่อ ผัดปลาไหลให้พวกเรากินไหมครับ?” เย่ฉางอันเห็นเย่จื้อผิงพับแขนเสื้อแล้ว ตาเป็นประกายทันที
เพราะเขาเชื่อมั่นในฝีมือการทำอาหารของพ่อมาก
เย่จื้อผิงพยักหน้า “ทำผัดปลาไหลพริกสับสักอย่าง”
“คราวที่แล้วจิ่นเป่าบอกว่า ถ้าผัดปลาที่มีกลิ่นคาวแบบนี้ ใส่ใบงาขี้ม้อนได้ทั้งนั้น ให้ผมไปหามาสักหน่อยไหมครับ?” เย่ฉางอันเสนอ
“ได้ ไม่ต้องเยอะ สัก 5-6 ใบก็พอแล้ว”
หลังเย่จื้อผิงฆ่าปลาไหลเสร็จแล้ว ก็เตรียมพริกแห้งจำนวนมาก และนำพริกดองเปรี้ยวออกมาจากโถด้วย
เขาใช้น้ำมันร้อนผัดปลาไหลที่หั่นเป็นท่อน ใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ แล้วเพิ่มใบงาขี้ม้อนลงไป
กลิ่นหอมเปรี้ยวเผ็ดก็โชยออกมาทั่วทั้งห้อง
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นปลาไหลที่ตัวเองจับเมื่อคืนถูกผัดแล้วตอนเช้า จึงพูดว่า “พวกคุณเจอมันแล้วเหรอ หอมจังเลย”
เธอไม่เกรงใจเลย เริ่มคีบอาหารทันที
“ไม่ใช่แค่เจอนะ ตอนเช้าแม่เปิดฝาออกมายังตกใจเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกผิดเล็กน้อย “โอ๊ย นี่ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ ถ้าไม่ปิดไว้ เจ้าเสี่ยวฮุยฮุยก็ต้องมาก่อกวนแน่ ๆ!”
หมาตัวนี้ชอบก่อกวนมาก
รสชาติของปลาไหลผัดเปรี้ยวเผ็ดหอมอร่อยมาก
เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางกินข้าวกับกับข้าว “แปลงแตงโมเรียบร้อยแล้ว ใส่ปุ๋ยใหม่ด้วย อีกสองสามวันนี้ก็ต้องเก็บสาลี่กับส้มแล้ว”
“ฉันแทบไม่ได้ดูแลอะไรเลย สาลี่พวกนั้นแข็งมาก แค่ลูกเดียวก็สามารถทำให้ฉันตายได้แล้ว”
“ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้นหรอก ปีก่อนๆ พวกเราก็กินสาลี่กันมาตลอด กินสองลูกก็เท่ากับมื้อหนึ่งแล้ว” เย่จวินพูดพลางยิ้ม
“แต่ก่อนน้องสามชอบกินสาลี่ ตอนกลางคืนหิวก็แทะสองคำก็อิ่มได้แล้ว”
เย่หวายยิ้มอย่างเขินๆ นั่นก็เพราะว่า…บ้านยากจน ไม่ได้กินอิ่ม ช่วงกำลังเติบโตพอดี ตอนกลางคืนก็เลยหิวมาก
ถ้าไม่แทะสองคำ ก็หิวจนนอนไม่หลับ
เย่เสี่ยวจิ่นนวดหน้าตัวเอง “เมื่อวานฉันแทะไปหนึ่งลูก เกือบทำให้ฟันฉันหลุดหมดแล้ว”
“สาลี่หินนี่สมชื่อจริงๆ แข็งเหมือนหินเลย”
“ใครว่า? ฉันชอบกินมากนะ” เย่ฉางอันเริ่มพูดจาโอ้อวดอีกแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นหยิบสาลี่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ยื่นให้เย่ฉางอัน “ดีเลย พี่กินลูกนี้ให้หมดสิ”
“กินก็กิน นี่มันของดีนะ”
เย่ฉางอันล้างสาลี่แล้วกัดคำใหญ่เข้าปากทันที
เขาอดไม่ได้ที่จะกลอกตา แล้วตบหน้าอกตัวเอง จากนั้นก็กัดแก้มแน่น ค่อยๆ กลืนลงไปทีละนิด
ขณะที่กลืน เขายังอดไม่ได้ที่จะไอเล็กน้อย
มีน้ำแค่นิดเดียว เกือบจะหายใจไม่ออกแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะออกมา “อร่อยไหม?”
“อร่อย!” เย่ฉางอันปากแข็ง “ถึงจะไม่มีน้ำเลย แต่ก็ยังมีรสหวานนิดหน่อยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหัว ไม่อยากเถียงกับเขาแล้ว “ฉันกินไปหนึ่งลูก กินเสร็จยังปวดกรามเลย ฉันไม่อยากฝึกกล้ามเนื้อขากรรไกรหรอก”
“สาลี่วันนี้ออกผลเยอะมาก แต่ละบ้านได้แบ่งกันหลายร้อยชั่งเลยนะ”
เย่ฉางอันพูดว่า “เธอไม่กิน พวกเราก็ต้องกินให้หมด ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า”
ปกติแล้วเย่ฉางอันดูเหมือนจะไม่ค่อยเอาไหน ดูไม่ค่อยเป็นผู้ใหญ่สักเท่าใด
แต่ในใจลึก ๆ แล้วกลัวความหิวโหยมาก จึงไม่มีทางที่จะทิ้งอาหารใด ๆ อย่างแน่นอน
เย่เสี่ยวจิ่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้อ่านวิธีการทำอาหารหลายอย่างในหนังสือ หนึ่งในนั้นคือขั้นตอนการทำน้ำเชื่อมสาลี่
เธอหันไปพูดกับหลิวเยว่ว่า “พี่เยว่ ทำไมพี่ไม่เอาสาลี่ทั้งหมดมาทำเป็นน้ำเชื่อมสาลี่ล่ะ”
“สาลี่ยี่สิบชั่งสามารถทำน้ำเชื่อมได้แค่หนึ่งชั่ง ประการแรก มันสามารถจัดการกับสาลี่ทั้งหมดที่แบ่งมาได้”
“ประการที่สอง พี่ก็สามารถเอาไปขายในเมืองได้ มันช่วยล้างปอดและแก้ไอ เป็นของดีนะ”
“ที่บ้านมีสาลี่เยอะขนาดนี้ ทำน้ำเชื่อมสักสิบชั่งก็ไม่มีปัญหาหรอก”
หลิวเยว่ฟังเธอพูดแบบนั้นก็พยักหน้า “งั้นเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ พี่ชายใหญ่ของเธอบอกว่าเธอไอบ่อย เก็บไว้ให้เธอกินก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาออกไปขาย”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า “ฉันกินเยอะแค่ไหนก็กินไม่หมดหรอก มันหวานมาก ต้องผสมน้ำดื่ม”
“ตอนนั้นพี่ใส่ขวดละครึ่งชั่ง เอาไปขายขวดละ 5 เหมาก็ได้นะ”
“มันมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลิวเยว่ถามอย่างประหลาดใจ
“อืม ใครที่รู้จักของสิ่งนี้ ก็จะยอมจ่ายเงินซื้อ ไม่ว่าจะเป็นของฝากผู้ใหญ่หรือเด็ก ก็ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น”
ถึงเวลาเก็บเกี่ยวสาลี่อันแสนวุ่นวายแล้ว
ต้นสาลี่เก่าแก่ในสวนผลไม้นั้นสูงลิบลิ่ว มีเพียงคนที่แข็งแรงคล่องแคล่วเท่านั้นที่จะปีนขึ้นไปเก็บสาลี่ได้
สาลี่ถูกเก็บลงมาทีละตะกร้าๆ แล้วนำไปวางไว้ที่เชิงเขา
หลิวเยว่ยุ่งอยู่ในสวนผลไม้ตลอดทั้งวัน พอตกกลางคืนก็ไปเก็บพุทราแดงมาหนึ่งถุงจากต้นพุทราข้างสวนผลไม้
เมื่อสาลี่ถูกแบ่งไปตามบ้านเรือนต่างๆ แล้ว
หล่อนก็เริ่มเตรียมทำน้ำเชื่อมสาลี่ในตอนกลางคืน
โชคดีที่หลิวเยว่เป็นคนฉลาด เรียนรู้ได้เร็วและทำได้สำเร็จอย่างดี
หลังจากเคี่ยวเป็นเวลานาน เมื่อทำเสร็จก็ได้น้ำเชื่อมสาลี่มา 14 ชั่ง
ทุกคนในครอบครัวมองดูน้ำเชื่อมสาลี่ที่มีสีสันสวยงามอย่างน่าทึ่ง ต่างรู้สึกว่ามันช่างหายากและมีค่า
“ทุกคนลองชิมรสชาติดูสิ” เย่เสี่ยวจิ่นเชื้อเชิญ พลางตักน้ำผสมออกมาหนึ่งช้อนจากในแก้วของตัวเอง
รสชาติดีมาก ในอากาศร้อนแบบนี้ ช่วยชุ่มคอได้ดีเยี่ยมจริงๆ
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ดื่มไปหนึ่งแก้ว “ดื่มแล้วรู้สึกสบายตัวจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนบอกว่าสาลี่เป็นของดี”
หลิวเยว่เห็นทุกคนพอใจ ก็วางใจลงได้
ปกติพวกเขายุ่งอยู่ในหมู่บ้าน จึงแทบไม่มีใครทำของที่ต้องใช้เวลาและแรงงานแบบนี้
เย่เสี่ยวจิ่นเคยสุ่มได้ขวดแก้วหลากหลายขนาดมากมายจากระบบมาก่อนหน้านี้
ตอนนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์พอดี
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้ของใหม่เอาไปขายแล้ว จิ่นเป่านี่ความคิดดีจริงๆ
ไหหม่า(海馬)
……….