ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 167 ประโยชน์มากมายของใบงาขี้ม้อน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 167 ประโยชน์มากมายของใบงาขี้ม้อน
บทที่ 167 ประโยชน์มากมายของใบงาขี้ม้อน
……….
บทที่ 167 ประโยชน์มากมายของใบงาขี้ม้อน
เย่ฉางอันรู้สึกว่าน้องสาวเขามีความคิดในหัวมากมายจริงๆ
ใบงาขี้ม้อนเหล่านี้ในปีก่อนๆ เติบโตเหมือนวัชพืช แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย
เขายิ้มพูดว่า “ในเมื่อเธอบอกว่ามีประโยชน์มาก ฉันก็จะมาช่วยด้วย”
คราวนี้หลิวเยว่เก็บหยางเหมยมาได้ไม่น้อย รสชาติของหยางเหมยดีกว่าครั้งก่อนๆ มาก ดูแล้วทั้งใหญ่และเป็นสีม่วงดำ คุณภาพดีมาก
เอามาใช้เป็นวัตถุดิบทำหยางเหมยคลุกใบงาขี้ม้อนนับว่าดีที่สุด
ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มพูดว่า “พี่มาเป็นแรงงาน ไม่มีเงินแบ่งให้นะ” แล้วเรียกทุกคนมาเก็บใบงาขี้ม้อน
เธอคิดว่าถ้าทำเยอะๆ แล้วจะเอาไปลองขายในเมืองดู ถ้าขายได้ก็ดี
ตอนนี้การเก็บเกี่ยวแตงโมเสร็จสิ้นแล้ว ในสวนผลไม้ไม่มีงานอื่นมากนัก จึงเข้าสู่ช่วงเวลาที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
ก่อนที่จะปลูกแตงโมและเมลอนรอบที่สอง เธอลองหาวิธีหาเงินเพิ่มเติมได้…
ไม่นานก็ก็เก็บเกี่ยวใบงาขี้ม้อนเสร็จแล้ว ใช้ตะแกรงไม้ไผ่เก็บได้หนึ่งตะกร้าเล็ก
หลิวเยว่ไปล้างใบงาขี้ม้อนให้สะอาด
เย่ฉางอันไปล้างหยางเหมยกับลูกท้อด้วยน้ำเกลือ
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นพวกเขายุ่งอยู่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
ลูกสาวของหล่อนมีความคิดมากมาย มักจะคิดอะไรใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ
จึงพูดเล่นๆ ว่า “พวกเธอเล่นไปเถอะ แต่ทำออกมาแล้วต้องกินให้หมดนะ อย่าทิ้งขว้าง”
เย่ฉางอันพูดอย่างมีเลศนัย “แม่ครับ ไม่ต้องห่วง นี่เป็นสิ่งที่จิ่นเป่าอยากทำ ถ้ามันไม่อร่อย ให้เธอกินคนเดียวให้หมดเลย!”
“หนูกินได้ กระเพาะหนูใหญ่มาก กินแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก” เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะเอามือเท้าสะเอว
“ดีๆๆ เล่นอยู่ตรงนี้นะ แม่จะไปทำอาหารให้ไก่และเป็ดกิน”
“อีกไม่กี่วันให้พี่ชายคนโตไปในเมืองสักหน่อย ซื้อหมูมาสักตัว เลี้ยงไว้จนถึงปีใหม่ก็จะได้กินพอดี”
เย่ฉางอันสงสัย “แค่ไม่กี่เดือนนี้ หมูจะโตได้มากแค่ไหนล่ะ?”
“ตอนนี้ก็ปลายเดือนหกตามปฏิทินจันทรคติแล้ว เลี้ยงหมูแค่ห้าเดือนคงไม่โตมากหรอกมั้งครับ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ก็ยุ่งกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? แถมไม่มีเงินไปซื้อลูกหมูด้วย”
“ตอนนี้แหละถึงมีเวลา ถ้าถึงปีใหม่ยังไม่โตก็ค่อยกินปีหน้าก็ได้”
น้ำเสียงของหลี่ชุ่ยชุ่ยมีความจำยอมอยู่บ้าง “ก็พี่ชายคนโตบอกว่าบ้านเรามีเงินเหลือนิดหน่อย เลยจะไปซื้อลูกหมูมาเลี้ยง”
“ไม่งั้นแม่ก็คงไม่พูดถึงเรื่องเลี้ยงหมูหรอก ซื้อลูกหมูสักตัวก็คงต้องใช้เงินไม่น้อยเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะ “พอดีเลย หนูมีอาหารหมู เลี้ยงห้าเดือนจนถึงปีใหม่ก็พอแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดกับพวกเขาเสร็จแล้วก็ไปยุ่งกับงานของหล่อนต่อ
เช้านี้ ลูกชายคนโตกับคนรองไปหาจูเฉ่ามาจากในป่าได้เยอะมาก
ตอนนี้ที่บ้านเลี้ยงไก่เป็ดไว้เยอะ จูเฉ่าจึงถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
“พอถึงฤดูหนาวเดือนสุดท้าย จะไปหาจูเฉ่ามาได้มากขนาดนี้ที่ไหนกัน”
“ตอนนั้นคงต้องขุดรากกล้วยมาต้มให้กินแทนแล้วละ”
ข้าง ๆ มีกระสอบใหญ่สองใบวางอยู่ ใส่อาหารไก่กับอาหารเป็ดแยกกัน
หลังจากหลี่ชุ่ยชุ่ยบ่นเล็กน้อยแล้วก็เริ่มยุ่งวุ่นวายขึ้นมา
หลิวเยว่กับเย่เสี่ยวจิ่นช่วยกันทำหยางเหมยกับท้อดองใบงาขี้ม้อน
แต่เดิมตั้งใจจะทำแยกกัน แต่เย่เสี่ยวจิ่นคิดแล้วว่าทำรวมกันไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ยุ่งยาก
หลังขัดขนออกจากลูกท้อแล้ว ก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ
หลิวเยว่หั่นเสร็จแล้วใส่ทั้งหมดลงในชาม เติมเกลือเล็กน้อย แล้วปล่อยให้หมักไว้
“ต้องใส่เกลือในลูกท้อด้วยหรือ?” เย่ฉางอันถามอย่างสงสัย
เย่เสี่ยวจิ่นอธิบายว่า “การหมักลูกท้อกับเกลือครึ่งชั่วโมงจะทำให้เนื้อสัมผัสกรอบขึ้น”
“ต่อไปเราจะทำน้ำส้มสายชูหวานได้แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นถูมือ “พี่ ไปเตรียมน้ำส้มสายชู น้ำเปล่า และน้ำตาลกรวดมาเร็ว”
หลิวเยว่จุดไฟ ภายใต้การจัดการของเย่เสี่ยวจิ่น เธอเทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ
หลังจากน้ำเดือด น้ำตาลกรวดก็ค่อยๆ ละลาย
เมื่อน้ำตาลกรวดละลายหมด ก็ใส่ใบงาขี้ม้อนลงไป ค่อยๆ เคี่ยวจนน้ำเชื่อมเปลี่ยนเป็นสีแดง
ตักน้ำออกมาพักให้เย็น
เย่ฉางอันมองดูชามที่ใส่ชิ้นลูกท้อ เห็นว่ามีน้ำออกมาพอสมควรแล้ว จึงถามว่า “ต้องเทน้ำนี้ทิ้งไหม?”
“ใช่แล้ว หลังจากที่เทน้ำทิ้งแล้ว ให้นำลูกท้อไปล้างในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เพื่อล้างเกลือที่อยู่บนผิวออก”
เย่ฉางอันพยักหน้า แล้วไปทำตามที่บอก
“พี่สาวเสี่ยวเยว่ ช่วยหั่นขิงเป็นเส้นๆ หน่อยนะ”
พอดีวันนี้ที่บ้านมีขิงเยอะ หลิวเยว่จึงไปหยิบมาจากข้างบ่อน้ำ
เย่เสี่ยวจิ่นค้นหาไปทั่วบ้าน จนเจอโอ่งดินเผาสูงครึ่งเมตร หลังจากล้างโอ่งให้สะอาดแล้ว ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว
ในโอ่งใส่ลูกท้อหนึ่งชั้น ตามด้วยลูกหยางเหมยหนึ่งชั้น แล้วใส่ขิงหั่นเส้นหนึ่งชั้น และใบงาขี้ม้อนอีกหนึ่งชั้น…
วางสลับกันไปเรื่อยๆ จนใส่ทุกอย่างลงไปหมด
สุดท้ายเทน้ำส้มสายชูหวานที่เย็นแล้วลงไป
ปิดผนึกให้สนิทแล้วนำไปวางไว้ที่ริมบ่อน้ำซึ่งเป็นที่ร่มเย็นและอุณหภูมิต่ำ
“เสร็จแล้วเหรอ?” เย่ฉางอันถาม “ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะกินได้ล่ะ?”
“ต้องหมักไว้สองวันถึงจะได้รสชาติที่เข้มข้น”
“พอดีวันนี้ทำเสร็จ พอถึงวันมะรืนพี่ใหญ่จะไปซื้อลูกหมูในเมือง”
“ให้พี่สาวเยว่ไปด้วยเพื่อเอาของนี้ไปขาย ดูซิว่าจะแลกเงินได้บ้างไหม”
“จะขายยังไงล่ะ? ใครจะซื้อของแบบนี้กิน?” เย่ฉางอันรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
“ก็ไม่ควรคิดแบบนั้นนะ” หลิวเยว่พูด “ในเมืองยังมีคนขายวุ้นเย็น ก็ทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะ”
“วุ้นเย็นมันสดชื่น จะเหมือนกันได้ยังไง?” เย่ฉางอันเกาหัวแกรก
เย่เสี่ยวจิ่นรีบพูดว่า “คนขายวุ้นเย็นมีตั้งเยอะ แต่คนขายของแบบนี้ไม่มีเลย บางทีคนอื่นอาจอยากลองชิมของแปลกใหม่ก็ได้”
หลิวเยว่พูดว่า “พวกเธอสองคนเลิกเถียงกันได้แล้ว อีกสองวันไปลองดูก็รู้เองไม่ใช่เหรอ?”
พี่น้องทั้งสองจึงไม่พูดอะไรต่อ
ตอนเย็น เย่จื้อผิงทำปลาทอดใบงาขี้ม้อน
กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ดึงดูดเย่เสี่ยวจิ่นให้เข้ามาในครัว
เธอสูดกลิ่นหอมเข้าปอดอย่างแรง แม้ว่าตอนกลางวันจะกินเนื้อไปมากแล้วจนอิ่ม
แต่พอถึงตอนนี้ได้กลิ่นหอมของใบงาขี้ม้อนและปลา ก็รู้สึกว่าต่อมรับรสเปิดทำงานอีกครั้ง
เย่จื้อผิงคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งให้ลูกสาว ป้อนเข้าปากเธอ “จิ่นเป่า ระวังก้างปลานะ ลองชิมดูซิว่ารสชาติเป็นยังไง?”
“วิธีที่ลูกบอกมานี่ดีจริงๆ ดูเนื้อปลาด้านนอกกรอบ ข้างในนุ่มลื่น หอมมากเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นกัดคำหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะดีใจ “อร่อยจังเลย”
เย่ฉางอันตามกลิ่นหอมมา เห็นเย่เสี่ยวจิ่นเริ่มกินแล้ว เขาก็หยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาชิม ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอุทานเบาๆ “ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้?”
แต่เดิมในบ้านมีแค่เย่เสี่ยวจิ่นคนเดียวที่เป็นคนชอบกิน ตอนนี้เย่ฉางอันได้กินของอร่อยทุกวัน ก็กลายเป็นคนชอบกินไปด้วย
ที่ไหนมีอาหารอร่อย ก็จะขาดไม่ได้ที่จะมีเงาของพวกเขาสองคน
“หนูบอกพ่อตั้งนานแล้วว่าปลากับใบงาขี้ม้อนอร่อยมาก แต่พ่อก็ยังไม่เชื่อ”
เย่ฉางอันยอมรับผิดและถามอย่างถ่อมตัว “งั้นใบงาขี้ม้อนนี่ยังเอาไปทำอาหารอร่อยๆ อะไรได้อีกบ้าง?”
“ถ้าพ่อถามแบบนั้น ที่เข้ากันได้ดีที่สุดก็คือกบนะ” เย่เสี่ยวจิ่นนึกถึงกบผัดใบงาขี้ม้อน นั่นสิถึงจะเรียกว่าเลิศรสจริงๆ
“กบก็กินได้ด้วยเหรอ? แต่ก่อนคนแก่บอกว่ากินกบแล้วจะท้องเสียนะ” เย่ฉางอันนึกถึงตำนานที่เคยได้ยินตอนเด็กๆ มีเรื่องหนึ่งเล่าว่ามีคนกินกบแล้วตาย
ดังนั้นแถวบ้านพวกเขา ถึงแม้จะเห็นกบอยู่ทั่วไปหมด แต่ก็ไม่มีใครกล้ากินมัน
เย่เสี่ยวจิ่นรีบอธิบายทันที “กบป่ากับกบเลี้ยงมันต่างกันแน่นอน กบป่ามีเชื้อแบคทีเรียและปรสิต ดังนั้นไม่ควรกินจะดีกว่า!”
“แถมกบป่ายังกินแมลงที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของข้าวด้วย ดังนั้นไม่ควรไปจับมันมากิน”
เย่จื้อผิงยิ้มพลางพูดว่า “ช่วงนี้อากาศร้อน ฉันได้ยินเสียงกบร้องในคลองน้ำบนภูเขา ถ้าเธออยากกิน อีกสองสามวันฉันจะไปจับกับพี่ชายของเธอนะ”
“ไม่ได้ๆ” เย่เสี่ยวจิ่นรีบพูด “ถ้ากินกบมากๆ มันจะสูญพันธุ์นะ เราไม่ควรกินมันนะ!”
ในฐานะพลเมืองดี เธอจำได้เสมอว่าไม่ควรไปล่าสัตว์ป่า
เย่จื้อผิงเห็นลูกสาวพูดอย่างจริงจัง เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริงนะ พ่อจำได้ว่าตอนเด็กๆ มีกบเยอะมาก แต่ตอนนี้น้อยลงไปเยอะแล้ว”
“ถ้าทุกคนไปจับมากินกันหมด ต่อไปก็จะไม่มีเหลือแล้ว”
เย่จื้อผิงทำปลาเสร็จแล้ว เอาอาหารที่เหลือจากมื้อเที่ยงมาอุ่นใหม่ ก็พอให้ทุกคนในครอบครัวกินได้แล้ว
รสชาติของปลาผัดใบงาขี้ม้อนถือว่าทำลายความเข้าใจเดิมๆ ของทุกคนเกี่ยวกับเนื้อปลา โดยเฉพาะเย่ฉางอัน
แต่ก่อนคิดว่าเนื้อปลารสจืด ไม่ได้อร่อยมากนัก แต่ปลาผัดใบงาขี้ม้อนที่ทอดในน้ำมันใส่พริกเยอะๆ จนหอมฟุ้ง ทำให้เขากินข้าวเพิ่มไปตั้งสองชาม
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดพูดไม่ได้ “พวกเธอสังเกตไหมว่าช่วงนี้เจ้ารองอ้วนขึ้นนิดหน่อย”
“แน่นอนสิ กินอิ่มแบบนี้ทุกวันจะไม่อ้วนได้ยังไง” เย่ฉางอันพูด “ผมจะกินฟรีโดยไม่อ้วนขึ้นได้ยังไงล่ะ”
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เย่ฉางอัน ทุกคนในบ้านต่างก็อ้วนขึ้นกันมาก
จากที่เคยผอมแห้งแรงน้อย ตอนนี้ถือว่าแข็งแรงขึ้นเยอะ
ขณะที่บ้านหนึ่งดีใจ อีกบ้านหนึ่งก็เป็นทุกข์
เมื่อครอบครัวหลิวกลับมา หลี่ถงก็โมโหอย่างหนัก
มือของหล่อนหักจริงๆ แม้จะไปรักษาที่ศูนย์อนามัยมาแล้ว แต่ในช่วงสองสามเดือนนี้คงทำงานไม่ได้
หลี่ถงเป็นคนมีเส้นสาย การที่ได้ทำงานในโรงงานทอผ้าก็ถือว่าเข้าทางหลังบ้านอยู่แล้ว
ถ้าสองสามเดือนนี้ทำงานไม่ได้ ต่อไปจะกลับไปทำงานอีกคงเป็นไปไม่ได้แล้ว!
“หลิวเหวิน คุณดูสิ ครอบครัวน้องสาวนายรังแกฉันขนาดนี้ สองเดือนกว่านี้ฉันหาเงินไม่ได้สักแดง ใครจะเลี้ยงฉันล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้คุณไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ตอนนี้กล้าดีแล้ว ก่อนหน้านี้น่าจะให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหายสักหน่อย”
หลิวเหวินไม่กล้าพูดอะไร นั่งเงียบอยู่ข้างๆ การที่ก่อนหน้านี้ท้องของเขาโดนต่อยอย่างแรงก็เจ็บมากเหมือนกัน
หลี่จื่อหลานไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับบทสนทนาของพวกเขา เพียงแต่หลบอยู่ข้างๆ เช็ดน้ำตา ดูเหมือนจะทนทุกข์มามากพอแล้ว
“ใครใช้ให้พวกแกไปหาเรื่องเขาล่ะ? พวกแกยังมีหน้าไปเรียกร้องค่าเสียหายอีกเหรอ?”
“ที่จริงก็พวกแกเองนั่นแหละที่ไปหาเรื่องเขาก่อน!” หลิวคังทนไม่ไหวชี้หน้าด่าพวกเขา “ตอนนี้เห็นชัดแล้วใช่ไหม รู้แล้วใช่ไหมว่าครอบครัวเย่มีหน้ามีตาแค่ไหน ไปหาเรื่องยากแค่ไหน?”
หลี่ถงและหลิวเหวินต่างพูดอะไรไม่ออก
“แต่ก่อนตระกูลเย่ก็จนจริง ๆ แต่พวกเขาขยันทำมาหากินอย่างสุจริต ชีวิตความเป็นอยู่จึงดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นธรรมดา”
“แล้วพวกเธอล่ะ? ยังดูถูกคนอื่นอยู่อีก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนมีฐานะอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านไปแล้ว”
หลี่ถงอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “ถึงพวกเขาจะรวยเป็นอันดับต้น ๆ แล้วจะเป็นไง? ก็ไม่เห็นจะช่วยเหลือพวกเราสักหน่อย”
“ตอนนี้ครอบครัวเราหาเงินไม่ได้ ไปขอให้พวกเขาช่วยให้เงินพวกเราสักร้อยกว่าหยวนมาประทังชีวิตสิ”
หลิวคังหัวเราะเยาะ “ร้อยกว่าหยวน เธอช่างกล้าเรียกร้องเสียจริง ฝันกลางวันแสก ๆ เชียวนะ”
“ถ้าใครจะไปรบกวนชีวิตของเสี่ยวเยว่อีก ฉันจะตัดญาติขาดมิตรกับพวกเธอ”
หลี่จื่อหลานร้องอุทาน “คุณบ้าไปแล้วหรือ? พูดจารุนแรงกับลูกชายลูกสะใภ้ขนาดนี้ พวกเขาแค่โมโหชั่ววูบเท่านั้นเอง”
“ก็เพราะคุณตามใจพวกเขานั่นแหละ!”
พูดจบ หลิวคังก็ไปตัดหญ้าให้กระต่ายกิน ไม่อยากจะพูดอะไรกับพวกเขาอีกแม้แต่คำเดียว
เขารู้สึกอิจฉาครอบครัวตระกูลเย่เหลือเกินที่สามารถร่วมแรงร่วมใจกันใช้ชีวิตได้อย่างดี
ไม่เหมือนกับครอบครัวของพวกเขาที่ยังคงทะเลาะเบาะแว้งกันไม่หยุด ทำให้บ้านช่องวุ่นวายไม่สงบสุข
ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไรกัน?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดูแต่ละเมนู น่ากินทั้งนั้นเลย
บ้านหลิวได้รับกรรมแล้ว เลือกสะใภ้ผิดชีวิตยุ่งเหยิงจริง ๆ
ไหหม่า(海馬)
……….