ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 163 พี่ชายใหญ่พบญาติฝ่ายเจ้าสาว ถูกเยาะเย้ยอย่างรุนแรง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 163 พี่ชายใหญ่พบญาติฝ่ายเจ้าสาว ถูกเยาะเย้ยอย่างรุนแรง
บทที่ 163 พี่ชายใหญ่พบญาติฝ่ายเจ้าสาว ถูกเยาะเย้ยอย่างรุนแรง
……….
บทที่ 163 พี่ชายใหญ่พบญาติฝ่ายเจ้าสาว ถูกเยาะเย้ยอย่างรุนแรง
“พวกเธอสองแม่ลูกเป็นอะไรกันน่ะ?”
หลิวคังคิดว่าตระกูลเย่ให้เกียรติเขามากขนาดนี้ คนอื่นๆ ก็มีท่าทีกระตือรือร้น ยังเลี้ยงดูปูเสื่อเขาอย่างดี แต่เย่จวินเพิ่งดื่มน้ำไปแค่ชามเดียว พอมาถึงตรงนี้ก็จะไล่คนเขากลับไปแล้ว
นี่มันไม่ใช่คนอกตัญญูหรอกหรือ?
“เย่จวิน อย่าโมโหเลย ป้าเธอคนนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก”
เย่จวินไม่ได้โกรธ เขาเห็นหลี่จื่อหลานทำท่าระวังตัวเอาใจหลี่ถงแบบนั้น ก็แค่รู้สึกว่าตอนอยู่บ้าน หลิวเยว่คงต้องลำบากใจแน่ๆ
“ไม่เป็นไรครับลุงหลิว ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ป้าพูดถูกนะครับ ทางอีกตั้งสิบกว่าลี้ ต้องรีบกลับไปทำงานแต่เช้า”
“รีบไปซะ!” หลี่ถงยังแกล้งทำเสียงฮึดฮัดอีก “บ้านจนแล้วยังจะมาขอของฟรีที่บ้านเราอีก ไม่รู้หรือไงว่าใครเป็นเจ้าของบ้านนี้?”
หลี่ถงเป็นคนที่ถือตัวจนจองหอง
ปกติก็เป็นคนเห็นแก่ประโยชน์
หล่อนมีหน้าที่การงานดี เพราะญาติในครอบครัวทำงานในเมือง จึงจัดการหางานดีๆ ให้หล่อนทำในโรงงานทอผ้า
ทุกเดือนได้รับเงินเดือนประจำที่มั่นคง
แม้จะเกิดในชนบท แต่ตอนนี้หล่อนเป็นคนมีฐานะและหน้าตาในสังคมแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะคบหาดูใจกับลูกชายคนโตตระกูลหลิว หล่อนคงไม่ยอมแต่งงานกับคนบ้านนอกหรอก
ปกติหล่อนก็ไม่ชอบอยู่ในชนบทมากนัก
ยอมเช่าบ้านอยู่ในเมืองทั้งครอบครัวเสียดีกว่า
เย่จวินได้ยินคำพูดของหล่อนก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย “คุณวางใจได้ ครอบครัวของเราไม่ใช่คนแบบนั้น!”
“อย่าเอาตัวเองไปตัดสินคนอื่นสิ!”
เย่จวินพูดพลางขี่จักรยานออกไปทันที
จักรยานคันนี้ดูแล้วราคาไม่ถูกเลย
หล่อนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นประจำ จึงรู้ราคาสินค้าทุกอย่างเป็นอย่างดี
จักรยานคันนี้ราคาไม่ต่ำกว่าหลายร้อยหยวนแน่ๆ
ไม่ใช่ของที่คนในตระกูลเย่จะใช้ได้เลย
หลี่ถงรู้สึกดูถูกอยู่ในใจ น้องสาวสามีบอกว่าตัวเองเป็นคนมีการศึกษา มีความสามารถมากมาย แต่กลับแอบไปคบกับผู้ชายแบบนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นคนขี้ขลาดที่รักหน้าตาเท่านั้น
หลี่ถงรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “โอ้โห ยืมรถคนอื่นมาขับเหรอ? ช่างรักหน้าตาจริงๆ”
“จนก็ยอมรับว่าจนสิ ยังมาสนใจเรื่องพวกนี้อีก แกจะแสดงให้ใครดูกันล่ะ?”
“สมกับคำพูดที่ว่าผู้ชายในชนบทห่างไกลล้วนเป็นคนไร้ค่า ไม่มีความสามารถจริง คิดแต่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ มาหลอกพ่อตา”
เย่จวินรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ “ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอ ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ตลอด?”
เย่จวินรู้ว่าหลิวคังรักและเอ็นดูหลิวเยว่มาก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ให้ความเคารพผู้อาวุโสคนนี้จากใจจริง
แต่คนอื่นๆ เขาไม่สนใจหรอก
“หลี่ถง เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือ? มาทำให้เขาลำบากใจแบบนี้ทำไม?” หลิวคังรู้สึกร้อนใจมาก รู้สึกผิดต่อครอบครัวเย่จริงๆ
“เสี่ยวจวิน เธอไม่ต้องสนใจหรอก รีบกลับบ้านเถอะ”
เย่จวินพูดอย่างดื้อรั้น “ลุงหลิว คุณเคยไปบ้านผมแล้ว รู้สถานการณ์ครอบครัวผมดี!”
“รถคันนี้เป็นของครอบครัวผมจริงๆ ผมไม่จำเป็นต้องไปยืมรถคนอื่นมาเพื่อรักษาหน้า”
“แกรู้หรือเปล่าว่ารถคันนี้ราคาเท่าไหร่? ถึงพูดออกมาง่ายๆ แบบนี้!” หลี่ถงหัวเราะเยาะ “ใครไม่รู้บ้างว่าครอบครัวแกจนที่สุดในหมู่บ้านชงเถียน? แกคิดว่าฉันไม่เคยไปหมู่บ้านชงเถียนหรือไง?”
“ดีเลย พรุ่งนี้ครอบครัวของพวกเราจะไปพบญาติฝ่ายเจ้าบ่าวที่บ้านพวกแกอย่างเป็นทางการ!”
“หวังว่าบ้านพวกแกจะมีฐานะดีจริงๆ นะ จะได้เปิดหูเปิดตาพวกเราที่แม้แต่จักรยานมือสองก็ยังซื้อไม่ไหวมาหลายปีแล้วหน่อย”
หลี่ถงพูดด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
เย่จวินแค่นเสียงฮึ “ผมจะทำอาหารกลางวันรอพวกคุณเอง”
เขาพูดจบแล้วก็ขี่จักรยานจากไป
เพิ่งขี่ออกไปได้ไม่ไกล ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
เมื่อกี้นี้เขาโมโหจริงๆ แต่พอโทสะผ่านไปแล้ว ก็รู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย
การแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับคนอื่นไม่ใช่วิธีของเขา ถ้าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ ก็จะทำให้ท่านเป็นกังวลเปล่าๆ
แต่เดิมพ่อแม่ก็เป็นห่วงเรื่องของเขามากอยู่แล้ว
ที่บ้านตระกูลหลิว
หลิวคังมองดูหลี่ถงที่ท่าทางยโสโอหัง หัวใจของเขาอัดอั้นด้วยความโกรธ อยากจะไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้พ้นๆ
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? เสี่ยวเยว่หาผู้ชายดีๆ ได้ก็เป็นโชคดีของหล่อนแล้ว”
“ครอบครัวเย่ปฏิบัติกับหล่อนดีมาก แกทำให้พวกเขาไม่พอใจแบบนี้ แล้วจะให้น้องสาวแกอยู่ในบ้านเย่ได้ยังไง?”
“มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?” หลี่ถงมองหลิวคังอย่างเย็นชา แล้วหัวเราะเยาะก่อนจะเดินออกไปเที่ยวข้างนอก
ในบ้านเหลือจึงแค่หลิวคังกับหลี่จื่อหลาน
หลี่จื่อหลานอดไม่ได้ที่จะปกป้องหลี่ถง “คุณช่วยคนนอกพูดอะไรแบบนั้น? ใครๆ ก็รู้ว่าบ้านเย่ยากจน คุณนี่ถูกคนอื่นหลอกง่ายเกินไปแล้ว”
“สิ่งสำคัญที่สุดของเราคือความสามัคคีในครอบครัว คนนอกจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่ควรช่วยพวกเขามาตำหนิหลี่ถงนะ”
หลิวคังหยิบของที่ครอบครัวเย่ให้มาขึ้นมาจากพื้น
ก่อนหน้านี้มีตะกร้าใบหนึ่งบังอยู่ ทำให้มองไม่เห็น
“นี่คือของที่ครอบครัวเย่ให้พวกเรามา ดูสิว่าพวกเขาดีกับครอบครัวเราขนาดไหน”
หลี่จื่อหลานมองดูแล้วก็ตะลึงอยู่กับที่ “เส้นบะหมี่มากมายขนาดนี้เป็นของที่ครอบครัวเย่เอามาให้เหรอ?”
“เส้นบะหมี่พวกนี้ขาวกว่าที่ฉันเคยเห็นในตำบลเสียอีก คงไม่ได้ใส่ปูนขาวเยอะๆ ลงไปหรอกนะ?”
หล่อนเริ่มระแวงสงสัย “ของแบบนี้กินมากไม่ได้นะ กินแล้วจะทำให้ลำไส้เน่าเปื่อยได้”
หลิวคังแทบจะโมโหตาย “คุณพูดอะไรน่ะ? ในเมื่อเส้นบะหมี่พวกนี้ดูไม่ดี แล้วแตงโมลูกนี้ล่ะดีไหม?”
“ก็แค่แตงโมนี่นา ไม่ได้มีค่าอะไรหรอก มีแต่คุณนั่นแหละที่เอามาอวดเป็นของวิเศษ”
“แล้วไข่ตะกร้าใหญ่ขนาดนี้ กับไก่ตัวนี้ล่ะ รวมๆ แล้วก็เป็นของดีของแท้ใช่ไหมล่ะ!”
หลี่จื่อหลานไม่มีความรู้ และยังลำเอียงมาก หล่อนมองดูไก่กับไข่แล้วก็รู้ตัวว่าตัวเองผิดไปบ้าง
แต่น้ำเสียงยังคงอ้อมแอ้มอยู่ “พวกเราส่งสาวงามคนหนึ่งไปบ้านพวกเขา แค่ไข่ไม่กี่สิบฟองจะมีค่าอะไรกัน?”
“แต่ไก่กับไข่พวกนี้ส่งมาก็ดีเหมือนกัน หลี่ถงทำงานอยู่ที่โรงงานทอผ้า ล้วนเป็นป้าของหล่อนที่คอยดูแลอยู่”
หลี่จื่อหลานถือไข่ไก่ไว้ในมือ สีหน้าดูสดใสขึ้นเล็กน้อย “ไข่ไก่เยอะขนาดนี้ แถมยังตัวใหญ่ด้วย พอดีเลยจะเอาไปให้น้าสาวของหล่อน”
“ถ้าเขาหางานในหน่วยงานรัฐให้ลูกชายของเราได้ละก็ พวกเราคงไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีกต่อไป”
หลิวคังทำหน้าบึ้งตึง เห็นภรรยาของตนเองคิดแต่เรื่องพวกนี้จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เขาก็รู้สึกผิดต่อลูกสาวมากขึ้นไปอีก
ลูกสาวของเขาเคยเป็นเด็กที่รู้ความและขยันหมั่นเพียร
ทำงานบ้านอย่างหนักหน่วง แต่กลับไม่เคยได้ยินคำชมสักคำจากแม่ของหล่อนเลย
“คุณทำหน้าแบบนั้นให้ฉันดูทำไม? ฉันก็ทำเพื่อรากฐานของตระกูลหลิวของพวกคุณนั่นแหละ”
“ลูกสาวจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าไม่มีลูกชาย พวกคุณก็สิ้นสูญสายตระกูลหมด!”
“แค่ไข่ไก่ไม่กี่ฟองเอง ก็ซื้อใจคุณได้แล้วเหรอ? แค่ลูกเขยไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!”
หลี่จื่อหลานลำเอียงอย่างชัดเจนในเรื่องนี้
หลิวคังไม่พูดอะไร เดินออกไปด้วยความเงียบงัน
เย่จวินกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
หลิวเยว่สังเกตเห็นสีหน้าของเขา จึงรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ตอนที่คุณไปส่งพ่อของฉัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอก” เย่จวินไม่อยากให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบถึงหลิวเยว่ “คุณไม่ได้กำลังทำอาหารเย็นอยู่หรอกหรือ? ผมมีเรื่องต้องคุยกับพ่อแม่ของผมหน่อย”
หลิวเยว่รู้สึกใจหายวาบ ดูท่าทางแล้วต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
หล่อนจึงกลับไปทำอาหารเย็นต่อด้วยความกังวลใจ
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงกำลังอารมณ์ดี
ทั้งสองคนกำลังขุดแครอทอยู่หลังบ้าน
“พ่อแม่ครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” เย่จวินพูดอย่างกระอักกระอ่วน
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยปกติ จึงหยุดมือจากงานที่กำลังทำอยู่ “เกิดอะไรขึ้นหรือลูก? ขับรถตกร่องหรือยังไง?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดไปว่า เย่จวินคงจะไปทำอะไรให้พ่อตาไม่พอใจเข้า
เย่จื้อผิงวางจอบในมือลงแล้วพูดว่า “ลูกไม่ต้องรีบร้อน เล่าให้พวกเราฟังอย่างละเอียดเถอะ”
เย่จวินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พ่อแม่ฟังอย่างละเอียด
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าพรุ่งนี้พวกเขามาจริงๆ… คงจะสร้างความยุ่งยากให้พวกคุณอีกแน่ๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ได้โกรธเลย ด้วยความใจดีของหล่อน หล่อนกลับเริ่มรู้สึกสงสารเด็กสาวคนนี้ “ไม่แปลกเลยที่เสี่ยวเยว่ไม่ยอมกลับบ้าน มีแม่และพี่สะใภ้แบบนี้ คงไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เพราะอยู่ด้วยกันมาหลายเดือน หล่อนจึงรู้ว่าหลิวเยว่เป็นเด็กสาวที่ขยันและรู้ความ
การให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวเป็นเรื่องปกติทั่วไป ไม่ใช่แค่ในหมู่บ้านอื่นเท่านั้น แม้แต่ในครอบครัวของพวกเขาก็เป็นแบบนี้
ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็ไม่ใช่ความผิดของหล่อนแน่นอน
เย่จื้อผิงอดถอนหายใจไม่ได้ “พ่อตาของคุณนิสัยดีนะ แต่ที่บ้านคงจะให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวมากเกินไป”
“พรุ่งนี้พวกเขาจะมากินข้าวเที่ยง ลูกบอกเสี่ยวเยว่หรือยัง?”
เย่จวินส่ายหัว “เรื่องนี้ก็เป็นความผิดของผมที่ใจร้อนเกินไป ตอนนี้ก็ไม่กล้าบอกหล่อน กลัวว่าหล่อนจะกังวล”
พอถึงวันรุ่งขึ้น
เย่เสี่ยวจิ่นตื่นขึ้นมาก็พบว่าพ่อแม่ไม่ได้ออกไปทำงาน
เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานของไก่และเป็ด เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ
เย่จื้อผิงเห็นลูกสาวยิ้มแย้ม จึงถามว่า “จิ่นเป่า ทำไมถึงยิ้มอย่างมีความสุขจังเลย?”
“ก็ต้องดีใจสิคะ ฆ่าไก่ฆ่าเป็ดก็หมายความว่าจะได้กินเนื้อแล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นยกมือประคองแก้มตัวเอง “ฉันก็จะได้กินอาหารมื้อใหญ่แล้ว”
ในชนบทสมัยนั้นยังไม่มีตู้เย็น
โดยทั่วไปถ้าจะกินไก่ก็จะฆ่าเอาตอนนั้นเลย คาดว่านี่คงเป็นอาหารสำหรับวันนี้ทั้งหมด
มีทั้งไก่และเป็ด ช่างดีจริงๆ
“ดูเหมือนว่าอาหารกลางวันวันนี้จะอุดมสมบูรณ์มาก มีแขกจะมาเหรอคะ?”
เย่จื้อผิงก็ไม่ได้ปิดบัง “คนในครอบครัวของพี่สาวหลิวของเธอจะมากันทั้งหมดวันนี้ ยังไม่ได้บอกเธอเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นมีความประทับใจที่ดีต่อหลิวคัง เธอพูดว่า “ดีมากเลย ฉันเลี้ยงทั้งกระต่ายน้อยและลูกสุนัขได้ดีทีเดียว”
“เสี่ยวฮุยฮุย(เจ้าเทาน้อย) มานี่เร็ว”
ลูกสุนัขสีเทาตัวอ้วนกลมกำลังส่ายหางเดินโซเซมาหาเย่เสี่ยวจิ่นพลางร้อง “โฮ่งๆ” หางของมันส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งตัวของมันดูเหมือนลูกชิ้นก้อนหนึ่ง ส่ายไปส่ายมา
“เสี่ยวฮุยฮุย มากินอาหารเช้ากัน”
เย่จื้อผิงมองดูแล้วรู้สึกขบขัน “ลูกสุนัขตัวนี้มีหมัดนะ เมื่อเช้าพ่อเห็นมันมุดเข้าไปในเล้าไก่ ดูเล็บของมันสิ สกปรกมากเลย”
“ตายจริง!” เย่เสี่ยวจิ่นมองดูสุนัขตัวนี้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นจนกลายเป็นสีเทา
“แย่แล้ว กลายเป็นเจ้าเทาน้อยจริงๆ เสียแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวก็รู้ว่าใครรวยจริงใครรวยปลอม เตรียมหนังหน้ากับหาคลินิกรับเย็บไว้ให้ดีๆ ล่ะยัยหลี่ถง
ไหหม่า(海馬)
……….