ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 161 ความสุขจากการเก็บเกี่ยว รายได้เพิ่มขึ้น
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 161 ความสุขจากการเก็บเกี่ยว รายได้เพิ่มขึ้น
บทที่ 161 ความสุขจากการเก็บเกี่ยว รายได้เพิ่มขึ้น
……….
บทที่ 161 ความสุขจากการเก็บเกี่ยว รายได้เพิ่มขึ้น
เขายังจำได้ว่า เด็กคนนั้นมีนิสัยดื้อรั้นมาก
ต่อหน้าเขา เธอด่าว่าเหอชุนเซิงอย่างรุนแรง
ไม่มีมารยาทเลยสักนิด
เป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะมีความสามารถขนาดนั้น?
หลี่จื้อเฉียงเห็นสีหน้าของเขาแล้วก็รู้ว่า เรื่องนี้สำหรับจ้าวกั๋วถ่งแล้วค่อนข้างยากที่จะยอมรับ
เขายิ้มเล็กน้อย ราวกับพูดอย่างไม่ใส่ใจ “บางทีตอนนั้นหล่อนอาจจะโกรธเพราะถูกใส่ร้ายก็ได้”
“ถ้าให้ผมพูด หล่อนมีความสามารถขนาดนี้ ความคิดเรื่องปลาในนาข้าวอาจจะเป็นของหล่อนก็ได้”
“ตอนนี้ปลาในนาข้าวของหมู่บ้านชงเถียนถูกร้านสหกรณ์จองไว้หมดแล้ว คงจะเลี้ยงได้ดีมาก”
“นี่…” จ้าวกั๋วถ่งเบิกตากว้าง ค่อยๆ ก้มหน้าลง แสดงสีหน้าครุ่นคิดและไม่อยากจะเชื่อ
วันนี้เหอชุนเซิงกลับมาจากมื้อเที่ยงแล้วพบว่ามีเด็กซนหลายคนกำลังจับปลาในทุ่งนา
เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็ออกไป
พอได้เห็นแตงโมนี่ เขายิ่งรู้สึกว่าหมู่บ้านชงเถียนไม่ธรรมดาเลย
“ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งไปเลย รออีกสองวันค่อยไปพูด” หลี่จื้อเฉียงพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้หัวหน้าตำบลกำลังมีเรื่องสำคัญ ถ้าคุณไปรบกวนเขาในช่วงสองวันนี้ อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย”
คนที่มีความสามารถระดับนี้ จะไปลอกแผนการเลี้ยงปลาในนาข้าวทำไมกัน?
คิดดูก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
หลี่จื้อเฉียงเดินลงบันได พอดีเจอเหอชุนเซิงที่กำลังรีบร้อนมา
เหอชุนเซิงก็รู้สึกได้ถึงท่าทีของหัวหน้าตำบลที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเร็วๆ นี้
เขาขวางเหอชุนเซิงไว้ แล้วโอบไหล่อีกฝ่าย “น้องชายเหอ รีบร้อนขนาดนี้ มีอะไรหรือ?”
เหอชุนเซิงอยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ ออกจากองค์การบริหารตำบลไปยังแปลงทดลองเลี้ยงปลาในนาข้าวของตัวเอง
มีคนพูดว่า “อาจารย์ครับ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะครับ? ปลาที่เหลืออยู่ก็มีไม่มากอยู่แล้ว”
“แถมยังมีเด็กซนมาจับปลาไปอีกตั้งเยอะ พวกที่ถูกจับไปก็คงจะตายแหล่ไม่ตายแหล่”
เหอชุนเซิงทรุดตัวลงนั่งบนคันนาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ปลาในนาข้าวของหมู่บ้านชงเถียนไม่มีใครดูแล ปล่อยให้มันเติบโตตามธรรมชาติ แต่กลับเจริญเติบโตได้ดีขนาดนั้น
แต่ปลาในนาข้าวของเขาที่เลี้ยงดูอย่างดีทุกวัน กลับกลายเป็นแบบนี้
เหอชุนเซิงถอดหมวกฟางบนศีรษะออก ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
คนรอบข้างเห็นสีหน้าไม่ดีของเหอชุนเซิง ก็พากันเงียบกันไป
แต่ในใจทุกคนเริ่มสั่นคลอน ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ ดูจะไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย…
ส่วนเรื่องการขายแตงโมกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก
เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงกว่า ตำบลต้าหลีก็เกิดฝนตกขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ฝนตกหนักเทกระหน่ำ ทุกคนต่างรีบวิ่งหาที่หลบฝนกันอย่างรวดเร็ว
ซุนจ่างซุ่นจ้องมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วง อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “หน้าร้อนแบบนี้ ฝนตกหนักเกินไปแล้ว”
“ปลาในนาข้าวคงไม่หนีไปหมดหรอกนะ?”
เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวล
เย่เสี่ยวจิ่นที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ไม่หรอก พวกเราทำท่อระบายน้ำด้วยไม้ไผ่เอาไว้แล้ว”
“น้ำในทุกแปลงนาจะไหลออกไปตามร่องน้ำ ก่อนถึงฤดูฝนหนูให้พี่ชายหนูไปจัดการเรื่องนี้แล้ว”
“ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอก อีกอย่างหลังฤดูฝน แพลงก์ตอนก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปลาก็จะเติบโตเร็วขึ้นด้วย”
ซุนจ่างซุ่นพยักหน้า “โอ้โห เธอนี่คิดรอบคอบจริงๆ”
“เมื่อกี้ฉันยังคิดอยู่เลยว่าตอนนี้ไปจัดการจะทันไหม”
เขาอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาไม่ต้องเสียเวลามากังวลกับเรื่องพวกนี้อีก
ทุกคนนั่งอยู่ใต้ร้านขายแตงโม มองดูฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
แต่กลับคุยกันอย่างสบายๆ
เพราะตอนนี้พื้นดินกำลังร้อนจนระอุ ฝนที่ตกลงมาสักพักทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาก
แต่เดิมทุกคนถูกแดดเผาจนเหงื่อไหลโซก ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาดูดีขึ้นแล้ว
“ฝนตกตอนเที่ยงแบบนี้ก็ดีนะ อย่างน้อยก็ไม่ร้อนแล้ว”
“ใช่ ปีนี้ร้อนจริงๆ ฤดูหนาวมีลูกเห็บใหญ่ตกจนโหยวไช่ฮวาเสียหายหมด นึกว่าปีนี้จะหนาวกว่าปกติ… ใครจะรู้ว่ามันก็ยังร้อนอยู่ดี”
“ถ้าไม่ร้อนหน่อย แตงโมคงไม่หวานหรอก”
“ฉันเพิ่งเก็บลูกไหนมาจากสวนผลไม้ พวกนายจะกินไหม?”
มีคนแบ่งลูกไหนให้กิน
เย่เสี่ยวจิ่นปฏิเสธทันที
สวนผลไม้ปลูกต้นไหนท้องถิ่น รสชาติของมันนั้น… เปรี้ยวฝาดมาก
แม้แต่ผลที่สุกแดงเต็มที่แล้ว เปลือกก็ยังกลืนยาก ส่วนเนื้อในก็นิ่มเละหารสหวานไม่เจอ
เธอไม่ชอบรสชาติแบบนี้
“จิ่นเป่า กินไหม?” เย่จื้อผิงยื่นลูกไหนให้เย่เสี่ยวจิ่น
“หนูไม่กิน มันไม่อร่อย”
เย่จื้อผิงหัวเราะ คนอื่นๆ ก็หัวเราะตาม
“ดูเหมือนจิ่นเป่าจะไม่ชอบกินของเปรี้ยว มันเปรี้ยวจนเข็ดฟันเลย”
“ใช่เลย เทียบกับแตงโมแล้ว ลูกไหนพวกนี้ไม่อร่อยจริงๆ”
“ปีก่อนๆ เราก็กินแบบนี้มาตลอด ไม่รู้ว่าต่อไปหัวหน้าเย่จะเปลี่ยนพันธุ์ต้นไหนไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า “พวกลูกไหนเหล่านี้ปรับปรุงพันธุ์ไม่ได้แล้ว ต้นไม้พวกนี้แก่เกินไป ฉันดูแล้ว ลำต้นมีหนอนไชเต็มไปหมด”
“แถมต้นใหญ่ขนาดนี้ ถ้าตัดทิ้งคงตายเลย”
“รอถึงฤดูหนาวปีนี้ค่อยโค่นต้นไม้พวกนี้ทิ้ง แล้วใส่ปุ๋ยให้ดินดีๆ ปีหน้าค่อยปลูกลูกไหนพันธุ์อร่อย”
“แต่นั่นมันน่าเสียดายนะ ลูกไหนต้นใหม่ก็ต้องใช้เวลาสองสามปีกว่าจะออกผลไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่แล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ถ้ารู้สึกเสียดาย ก็เก็บลูกไหนพวกนี้กินต่อไปก็ได้”
มีคนสงสัย “ลูกไหนพันธุ์อร่อย มันอร่อยเหมือนแตงโมนี่หรือเปล่า?”
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นว่าตอนนี้ไม่มีอะไรทำ จึงอธิบายอย่างใจเย็น “ฉันชอบลูกไหนน้ำผึ้ง มันเป็นของขึ้นชื่อจากจังหวัดข้างๆ เราสามารถนำเข้ามาปลูกได้”
“ลูกไหนชนิดนั้นมีขนาดใหญ่กว่าลูกไหนดั้งเดิมพวกนี้มาก ทั้งหวานและกรอบ ไม่ได้นิ่มๆ เหมือนพวกนี้”
“มันโตได้ขนาดนี้เลยนะ” เธอทำท่าประกอบ “รสชาติอร่อยมาก”
พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็เริ่มสนใจกันใหญ่
ลูกไหนขนาดใหญ่ทั้งหวานทั้งกรอบแบบนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ดีกว่าลูกไหนพื้นเมืองตั้งเยอะ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน อาจจะมีคนสงสัยว่าเย่เสี่ยวจิ่นโม้
แต่ตอนนี้ คำพูดของเธอมีน้ำหนักมาก
ทุกคนเชื่อในสิ่งที่เธอพูดโดยไม่สงสัยเลย
“งั้นก็ดีสิ ขนาดใหญ่ขนาดนี้ กินไม่กี่ลูกก็อิ่มแล้ว”
“ใช่ๆ งั้นปลูกลูกไหนน้ำผึ้งดีกว่า ดูจากชื่อแล้วคงหวานเหมือนน้ำผึ้งเลยสินะ?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ลูกไหนที่ไหนจะหวานกว่าน้ำผึ้งได้ล่ะ อย่างมากก็แค่ไม่เปรี้ยวเท่านั้นแหละ”
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งยองๆ ยิ้มพลางเท้าคาง ไม่พูดอะไรอีก
โดยไม่รู้ตัว เธอได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของหมู่บ้านชงเถียนที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาให้แล้ว
ฝนในช่วงนี้ตกไม่นานนัก
พอฝนหยุดตก ท้องฟ้าก็แจ่มใส มีรุ้งกินน้ำพาดผ่านขอบฟ้า
เย่จื้อผิงชี้ไปที่ขอบฟ้า “จิ่นเป่า ดูนั่นสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นรุ้งกินน้ำขนาดใหญ่ อดใจไม่ไหวรู้สึกตื่นเต้น “รุ้งนั่นสวยจังเลย หนูจะนับดูว่ามีกี่สี…”
คนอื่นๆ เริ่มกลับไปยุ่งกับงานของตัวเองแล้ว มีเพียงเธอที่ยังนั่งยองๆ อยู่ริมถนนนับสีรุ้ง
ไม่มีใครว่าอะไร เพราะเธอยังเด็กมาก ทำงานหนักไม่ได้อยู่แล้ว
พวกเขาทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ห้าวัน จึงเก็บเกี่ยวแตงโมได้หมด
ร้านสหกรณ์คิดเงินได้ 6,516 หยวน
รวมกับ 418 หยวนครั้งก่อน สวนผลไม้นี้ก็ทำเงินได้เกือบ 7,000 หยวนแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
“ถ้าขยายการเพาะปลูกในอนาคต แน่นอนว่าเราจะสามารถทำเงินได้มากขึ้น”
เย่จื้อผิงและเย่จวินแบกแตงโมเดินอยู่บนคันนา
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูร้อนอันร้อนระอุ
ครอบครัวของพวกเขามีคนทำงาน 7 คน ได้รับส่วนแบ่งแตงโม 350 ชั่ง
พวกเขาสองคนแบกตะกร้าเดินกลับบ้านทีละก้าว
หลี่ชุ่ยชุ่ยปูฟางข้าวในห้องโถงเพื่อป้องกันความชื้น แล้ววางแตงโมทั้งหมดไว้บนฟางข้าว
แตงโมรอบสุดท้ายนี้ไม่ได้ใหญ่เท่ากับสองรอบแรก แต่ก็มีน้ำหนักประมาณ 20 กว่าชั่งต่อลูก อย่างน้อยที่สุดก็เป็นแตงโมที่สุกและมีขนาดสม่ำเสมอ
“แตงโมพวกนี้หนักมากใช่ไหม? ดูสิ ขาคุณคงแข็งแรงขึ้นมากแล้ว ไปแบกของหนักขนาดนี้ได้?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางทำงานไม่หยุดมือ
หล่อนยกแตงโมที่หนักอึ้งออกจากตะกร้า แล้วค่อยๆ วางลงบนฟางข้าว
แตงโมหลายลูก ดูสวยงามและน่าอร่อย
หลี่ชุ่ยชุ่ยแสดงรอยยิ้มแห่งความสุขในช่วงเก็บเกี่ยว
หล่อนตบแตงโมเบาๆ ได้ยินเสียงกังวานจากภายใน “แตงโมลูกนี้ดีจริงๆ”
“เดี๋ยวแม่จะเอายาดองที่ได้มาจากหมอเท้าเปล่ามาทาให้นะ”
“ยาดองนี่ใช้ดีนะ ทาแล้วก็หายเลย”
“ตอนก่อนที่ฉันแบกหัวไชเท้าก็ปวดไหล่เหมือนกัน ตอนนั้นบ้านหยางเจวียนแบ่งมาให้นิดหน่อย ยังเหลืออยู่เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางจะเดินไปเอายาในห้อง
เย่จวินรีบบอก “ไม่ต้องๆ คืนนี้อาบน้ำเสร็จค่อยใช้ก็ได้ครับ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยจึงไม่ได้ไปวุ่นวาย แต่นับจำนวนแตงโม มีตั้ง 20 กว่าลูกเลยทีเดียว
เย่จวินยังมีลูกไหนอีกกว่ายี่สิบชั่งอยู่ก้นตะกร้า
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นลูกไหนแล้วก็หยิบมากินสองสามลูก รสชาติก็หวานดี แต่เนื้อสัมผัสค่อนข้างหยาบ
แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการกินแบบนี้อย่างหล่อน นี่ก็ถือว่าเป็นของดีที่หาได้ยากแล้ว
“ปีนี้ทุกอย่างดีจริงๆ ลูกไหนก็หวานมาก”
“นั่นก็ต้องดูว่าจิ่นเป่าใส่ปุ๋ยรดน้ำไปมากแค่ไหนด้วยนะ” เย่จื้อผิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางพูดว่า “ช่วงนี้หล่อนยังวุ่นวายอยู่เลย อยากจะขุดบ่อหมักปุ๋ยใต้สวนผลไม้อีก”
“ต้นไม้ผลใส่ปุ๋ยเยอะ รสชาติก็ย่อมดีกว่าเป็นธรรมดา”
“แถมปีนี้แดดก็แรงตลอด เห็นรวงข้าวอวบอ้วนดี คาดว่าคงเป็นปีที่ได้ผลผลิตดีแน่ๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มด้วยความคาดหวัง “ถ้าเป็นปีที่ได้ผลผลิตดีก็ดีสิ อย่างน้อยทุกบ้านก็จะได้ข้าวแบ่งมากขึ้น จะได้กินอิ่มท้อง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางเห็นว่าพวกเขาดูเหนื่อย จึงรีบพูดว่า “พวกคุณพักผ่อนกันก่อนเถอะ วันนี้ตอนเที่ยงฉันจะต้มบะหมี่ให้กิน”
“ฉันต้มน้ำเตรียมไว้แล้ว ใส่น้ำมันพริก กินกับบะหมี่”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางเดินไปที่โกดังเก็บของ
บ้านที่สร้างขึ้นใหม่นี้ได้ทำโกดังขนาดใหญ่ไว้โดยเฉพาะ
ในโกดังมีเสบียงอาหารครบครัน มีอาหารเพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวไปอีกกว่าหนึ่งปี
ข้าวสารขาวกองสูงเหมือนภูเขาหิมะ
แป้งสาลีบรรจุอยู่ในถุงอย่างเต็มอิ่ม
ยังมีบะหมี่อีกมากมายหลายชนิด ทั้งหมดบรรจุอยู่ในห่อสุญญากาศ แม้จะไม่มีตัวอักษรใดๆ บนบรรจุภัณฑ์ แต่ดูก็รู้ว่าเป็นบะหมี่คุณภาพดี
หลี่ชุ่ยชุ่ยหยิบบะหมี่มาหนึ่งกำแล้วเดินตรงไปที่ครัว
ไม่ลืมที่จะล็อคโกดังให้เรียบร้อย
นี่คือเสบียงอาหารของทั้งครอบครัว ปกติแล้วหล่อนให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ
หลิวเยว่จุดไฟ เปิดฝาหม้อ เห็นว่าน้ำเดือดแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบมาพูดว่า “หน้าร้อนแบบนี้ น้ำเดือดเร็วจริงๆ นะ”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านนอก
เย่จื้อผิงทักทายอย่างกระตือรือร้น “ญาติเจ้าสาว ตอนนี้ที่นี่กำลังยุ่งๆ เลย ทำไมคุณถึงมาล่ะ?”
หลิวคังถือถุงผ้าใบใหญ่มา ใบหน้ามีเหงื่อไหลอาบ “ผมถือโอกาสที่วันนี้ว่างๆ เลยแวะมาดูพวกคุณหน่อยน่ะ”
“เสี่ยวเยว่ลูกสาวผมล่ะ? อยู่บ้านไหม?”
เย่จวินรีบเชิญหลิวคังให้นั่ง แล้วหั่นแตงโมให้กิน
หลิวคังปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว”
“พวกคุณดูสิ หมาที่บ้านผมออกลูกมาหนึ่งครอก ลูกหมาพวกนี้อายุสามเดือนแล้ว ใช้เฝ้าบ้านได้แล้ว”
“แต่ก่อนเสี่ยวเยว่สงสารหมาตัวนั้น ผมเลยคิดว่าจะเอาลูกหมาตัวหนึ่งมาให้พวกคุณ”
หลิวคังพูดพลางรู้สึกเกรงใจ ไม่กล้านั่งลงด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ เมื่อมาดูบ้านของพวกเขา ยังคงเป็นบ้านที่ทรุดโทรม ลูกสาวอาศัยอยู่ในห้องเก็บฟืน
คราวนี้เมื่อมาถึง มองจากไกลๆ ก็เห็นว่าเป็นบ้านหลังใหญ่โตหรูหราขนาดไหน
เขาแทบไม่กล้ามาเลย
เขาก็ไม่อยากอยู่นาน ส่งของเสร็จก็เตรียมจะกลับแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นรีบเข้ามา เปิดถุงผ้าใบออกดู
ข้างในเป็นลูกสุนัขสีเทาตัวเล็กน่ารัก หัวสีดำ ดูเหมือนโดนสวมถุง
นอกจากสุนัขแล้ว ยังมีกระต่ายตัวอ้วนใหญ่อีกตัวหนึ่ง
มันก็ไม่กลัวคน ตัวสีขาว อวบอ้วนมาก
“สุนัขกับกระต่ายน่ารักจังเลย!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีสัตว์เลี้ยงมาเพิ่มแล้ว ผู้ช่วยสองตัวนี้จะช่วยงานเสี่ยวจิ่นยังไงน้า
ไหหม่า(海馬)
……….