ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 157 เก็บลูกหยางเหมย
บทที่ 157 เก็บลูกหยางเหมย
……….
บทที่ 157 เก็บลูกหยางเหมย
เจียงถงดูสัญญาแล้วพบว่านอกจากจะต้องรับซื้อเมลอนที่ได้มาตรฐานทั้งหมดแล้ว ยังมีข้อกำหนดต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขากดราคาหรือเปลี่ยนใจในภายหลัง
เจียงถงยิ้มขื่น “หนูนี่คิดรอบคอบมากเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “หนูตั้งใจจะขอเงินมัดจำด้วยซ้ำ แต่คิดว่าร้านสหกรณ์ของพวกคุณคงทำแบบนั้นไม่ได้ เลยไม่ได้เพิ่มเข้าไป”
นั่นหมายความว่า ข้อกำหนดเหล่านี้ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว
“ตกลง ผมจะกลับละ” เจียงถงไม่ได้อยู่นาน เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็กลับได้
พอเจียงถงจากไป ซุนจ่างซุ่นก็อดรนทนไม่ไหว “จิ่นเป่า เธอพูดอะไรน่ะ? โรงเรือนอะไรกัน…”
“พวกเราไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก สิ่งที่หนูพูดมานี่ฉันไม่เข้าใจเลย”
“หนูแน่ใจหรือว่าจะทำได้จริงๆ? ถ้าถึงตอนนั้นแล้วทำไม่ได้ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่นะ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” เย่เสี่ยวจิ่นปลอบใจ “ถ้าหนูไม่มั่นใจ หนูคงไม่พูดออกมาหรอก”
ซุนจ่างซุ่นพยักหน้า และถอนหายใจอย่างโล่งอก
จิ่นเป่าคนนี้ยังคงเชื่อถือได้เสมอ
เขาถามว่า “แล้วหลังจากนี้หนูวางแผนจะปลูกแตงโมเท่าไหร่?”
“หนูอยากใช้เทคโนโลยีใหม่ในการปลูก ก็ต้องดูว่าหมู่บ้านจะให้ที่ดินดีๆ มาได้เท่าไหร่น่ะค่ะ”
“หนึ่งหมู่ให้ผลผลิต 4,000 ชั่ง นั่นก็คือหนึ่งหมู่ได้เงินกว่า 1,200 หยวน”
ซุนจ่างซุ่นแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็ปลูกได้แค่หัวไชเท้ากับโหยวไช่ฮวา
หัวไชเท้าก็แค่ทำให้ทุกคนมีอะไรกินเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น
ถ้าทำกำไรได้ 1,200 หยวนต่อหนึ่งหมู่ก็ไม่ต้องพูดถึงหัวไชเท้าเลย แม้แต่โหยวไช่ฮวาก็ไม่จำเป็นต้องปลูกแล้ว
ใช้ปลูกเมลอนทั้งหมดเลย
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ถึงเวลานั้นพลาสติกคลุมแปลงจะได้รับการชดเชยเองแหละค่ะ”
“จิ่นเป่า หนูจะปลูกได้มากแค่ไหน? ฉันเห็นว่าที่ดินในหมู่บ้านทั้งหมดสามารถใช้ปลูกได้นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นรีบตอบว่า “เราคงปลูกได้ไม่มากขนาดนั้นหรอกค่ะ ปลูกสัก 100 หมู่ก็พอแล้ว มากกว่านั้นพวกเราจะดูแลกันไม่ไหว”
“อีกอย่าง เมลอนของเราก็ใช้เวลาแค่สองเดือนกว่าๆ หลังจากขายหมดแล้วก็ต้องปลูกสตรอว์เบอร์รี่ต่อ”
“ถ้าปลูกสตรอว์เบอร์รี่ 100 หมู่ เราไม่ตายกันพอดีเหรอ”
เย่เสี่ยวจิ่นอดบ่นในใจไม่ได้ เธอรู้สึกจริงๆ ว่ามันเหนื่อยมาก
ซุนจ่างซุ่นคิดกว้างไกลออกไปอีกหน่อย ในหมู่บ้านมีประชากรมากมายกว่า 100 ครัวเรือน นับเป็นหลายร้อยคน
ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง
และการทำเงินแบบนี้ ย่อมต้องคว้าโอกาสที่ดีเอาไว้
“จิ่นเป่า ลองคิดดูสิ ปีนี้พวกเราทำเงินได้ ปีหน้าหมู่บ้านอื่นๆ ก็คงจะปลูกกันเยอะแน่”
“ถึงตอนนั้นราคาก็คงจะไม่สูงเหมือนตอนนี้แล้ว”
“ของหายากย่อมมีค่า ถ้ามีเยอะเมื่อไหร่ก็จะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป”
เย่เสี่ยวจิ่นขมวดคิ้ว “เรื่องนี้… ท่านผู้ใหญ่บ้าน ขอให้หนูคิดดูก่อนนะคะ”
“ประเด็นหลักคือเทคโนโลยีใหม่ให้ผลผลิตสูงอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปลูกมากเกินไป แต่ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล คืนนี้หนูจะกลับไปพิจารณาให้ดี”
ซุนจ่างซุ่นพยักหน้า “ตกลง ยังไงก็จะให้หนูปลูกเมลอนก่อน”
“ได้ค่ะ วันหลังหนูจะพาคุณไปดู พื้นที่กว้างๆ ราบๆ นั่นแหละเหมาะสำหรับการเพาะปลูก”
ซุนจ่างซุ่นตกลงรับปาก
หมู่บ้านชงเถียนของพวกเขามีแม่น้ำไหลคดเคี้ยวผ่าน ภูมิประเทศจึงราบเรียบมาก
เหมาะสำหรับทำสิ่งเหล่านี้
ซุนจ่างซุ่นกลายเป็นผู้ช่วยของเย่เสี่ยวจิ่นไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขานึกขึ้นมาแล้ว ก็อดหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้
ผ่านไปไม่กี่วัน
คนจากร้านสหกรณ์ส่งคนมามอบสัญญาที่เซ็นเรียบร้อยแล้วมาคืน ซึ่งซุนจ่างซุ่นเก็บมันไว้อย่างดี
เย่เสี่ยวจิ่นก็เริ่มออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้ว
ตอนพลบค่ำ ท้องฟ้ายังสว่างไสวอยู่
เธอและเย่หวายแบกตะกร้าเล็กๆ ไปที่เชิงเขาเพื่อเก็บลูกหยางเหมยสองต้นที่พ่อปลูกไว้
ข้างคันนาที่คดเคี้ยว ต้นข้าวเติบโตสูงขึ้นมากแล้ว
ใบข้าวเสียดสีข้อเท้าคนจนทำให้รู้สึกคันยิบๆ
เย่หวายย่อตัวลง แล้วแบกน้องสาวขึ้นหลัง
“จิ่นเป่า เธอเห็นต้นหยางเหมยแดงแล้วหรือยัง?”
เย่เสี่ยวจิ่นโอบรอบคอพี่ชาย มองออกไปไกลๆ “อ๋า เห็นแล้ว แดงแจ๋เลย!”
เย่เสี่ยวจิ่นตกใจรีบกอดพี่ชายแน่น ส่งเสียงหัวเราะใสแจ๋วราวกับกระดิ่งเงิน “พี่ชายช้าๆ หน่อย!”
“อย่าทำหนูตกลงไปในน้ำนะ!”
“ระวังหน่อยสิ!”
เย่หวายหัวเราะพลางพูดว่า “ไม่ต้องกลัว ฉันแบกเธอมั่นคงดี”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็รู้สึกว่าดินใต้เท้าอ่อนยวบลง เกือบจะตกลงไปที่ก้นคันนาจริงๆ
เย่หวายรีบชะลอฝีเท้าลงทันที “เดินยากจริงๆ นะเนี่ย”
“พี่ชาย ดูตัวเองสิ! ไม่ยอมฟังหนูเลย!” เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะโกรธจนแก้มป่อง “ถ้าตกลงไปจริงๆ พ่อกับแม่ต้องสั่งสอนพี่แน่ๆ”
“ทำไมมีแต่ฉันที่โดนสั่งสอนล่ะ?”
“ก็เพราะพี่ทำน้องสาวสุดที่รักตกน้ำไง แน่นอนว่าต้องโดนดุสิ”
เย่หวายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกันเพราะคำพูดของเธอ
ทั้งสองคนมาถึงใต้ต้นหยางเหมย
ลูกหยางเหมยบนต้นปีนี้ออกผลดีมาก แต่ละลูกทั้งใหญ่และแดง
อีกทั้งยังมีสีแดงเข้มจนออกม่วง
ดูแล้วชวนให้น้ำลายสอ
เย่เสี่ยวจิ่นอยู่ด้านหลังพี่ชาย เธอยื่นมือไปเด็ดกิ่งเล็กๆ ลงมา บนกิ่งนั้นมีลูกหยางเหมยห้อยอยู่ 3 ลูก
เธอยัดเข้าปาก รสชาติออกเปรี้ยวแต่มีความหวานแฝงอยู่
เธอหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ แล้วหยิบลูกหนึ่งยื่นไปที่ปากพี่ชาย
“พี่ชาย ลองชิมเร็ว”
เย่หวายอ้าปากกิน เขาก็รู้สึกว่ามันออกเปรี้ยวฝาดเหมือนกัน
เขาวางเย่เสี่ยวจิ่นลง “เธอรออยู่ตรงนี้นะ พี่จะปีนขึ้นไปเก็บบนต้น”
“ไม่เอาดีกว่า มันเปรี้ยวนิดหน่อย เก็บแค่นิดเดียวก็พอ”
เย่หวายก้มลงมองน้องสาว ลูบหัวเธอ “ไม่เป็นไร ใส่เกลือดองไว้นิดหน่อย รสชาติก็จะหวานขึ้นแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นกะพริบตาปริบๆ “ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
เธอรู้สึกมีความหวังกับลูกหยางเหมยนี้อีกครั้ง
เย่หวายปีนต้นไม้ได้คล่องแคล่ว ไม่นานก็ปีนขึ้นไปถึงยอดต้นไม้
เย่เสี่ยวจิ่นมองด้วยความเป็นห่วง “พี่ชาย อย่าปีนสูงขนาดนั้นสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก ลูกหยางเหมยบนยอดไม้หวานกว่าและแดงกว่า”
เขาพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งเกาะกิ่งไม้ไว้ อีกมือหนึ่งเริ่มโยนลูกหยางเหมยลงในกระบุงสะพายหลัง
ไม่นาน ในกระบุงก็มีลูกหยางเหมยเต็มชั้นหนึ่งแล้ว
เย่หวายใช้ทั้งมือและเท้าปีนป่ายไปมาบนต้นไม้
เย่เสี่ยวจิ่นเก็บลูกหยางเหมยที่โคนต้นมากินอีกสองสามลูก
แม้จะเปรี้ยวนิดหน่อย แต่รสชาติก็อร่อยมาก เป็นแบบที่กินแล้วเปรี้ยว แต่ถ้าไม่กินก็อดใจไม่ไหว
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง หลี่ชุ่ยชุ่ยก็มาตะโกนเรียกพวกเขาไปกินข้าวจากที่ไม่ไกลนัก
พวกเขาเพิ่งแบกกระบุงเต็มไปด้วยผลหยางเหมยกลับไป
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองดูตะกร้าแล้วพูดว่า “โอ้โห แค่เดี๋ยวเดียวเก็บได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?”
หล่อนหยิบขึ้นมาสองลูกแล้วกิน ไม่รู้สึกเปรี้ยวฝาดเลย “รสชาติหวานดีนะ ปีนี้แดดดี ผลหยางเหมยเลยหวาน”
“เดี๋ยวใส่เกลือนิดหน่อย จะยิ่งหวานขึ้นอีก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางอุ้มเย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมาจากทุ่งนา
“ไปกันเถอะ กลับบ้านไปกินอาหารเย็นกัน”
“คืนนี้ผัดมะระ ไปชิมรสชาติกัน”
เย่เสี่ยวจิ่นทำหน้ารังเกียจ “คืนนี้หนูจะกินข้าวคลุกผักดอง!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบหัวเธอ “มะระอร่อยมากนะ เด็กๆ กินแล้วจะไม่เป็นลมแดดง่ายๆ หมอประจำหมู่บ้านบอกมาแบบนี้ ลูกอย่าดื้อสิ”
“สิ่งนี้กินแล้วดีต่อสุขภาพนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นเอามือปิดปาก “หนูไม่สน หนูไม่กิน!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลุ้นมากว่าพี่ชายสามจะพาจิ่นเป่าตกคันนาหรือเปล่า
เด็กๆ ก็งี้แหละค่ะ อะไรขมๆ หน่อยคือไม่กินเลย แต่พอโตมากลับกินของขมๆ ที่เคยเกลียด
ไหหม่า(海馬)