ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 154 คนจากร้านสหกรณ์มาซื้อผลผลิตทางการเกษตร
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 154 คนจากร้านสหกรณ์มาซื้อผลผลิตทางการเกษตร
บทที่ 154 คนจากร้านสหกรณ์มาซื้อผลผลิตทางการเกษตร
……….
บทที่ 154 คนจากร้านสหกรณ์มาซื้อผลผลิตทางการเกษตร
แต่พวกเขายังไม่ทันได้ดีใจ ก็ถูกคนเตะล้มลงในทุ่งนา
เซี่ยวเสวี่ยหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นซุนจ่างซุ่นและกัวชิงซง รวมถึงเย่ฉางอันและเย่จวินจากตระกูลเย่
ซุนจ่างซุ่นชี้ไปที่พวกเขา “แกสองคนนี่มันชั่วช้าจริง ฉันได้ยินว่าพวกแกมาที่หมู่บ้านเลยคอยจับตาดูอยู่”
“ช่างไม่รู้จักอายเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ที่ตำบลก็พลิกดำเป็นขาว ตอนนี้ยังจะมาทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้อีก”
“ถ้าเกิดพวกเราไม่ทันระวังตัว คงพลาดท่าเสียทีพวกแกไปแล้ว”
เซี่ยวเสวี่ยมีเหงื่อผุดที่หน้าผาก “พวกคุณมีหลักฐานอะไร?”
เหอชุนเซิงมีโคลนเปื้อนที่แก้ม ดูสภาพย่ำแย่อย่างที่สุด
เขาก็พูดเสริมว่า “ใช่ พวกคุณแค่กลั่นแกล้งพวกเราเท่านั้นแหละ!”
“หึๆ พวกเราได้ยินทุกอย่างชัดเจน” กัวชิงซงอารมณ์ไม่ดีเท่าใด เขาเตะก้นของเหอชุนเซิงไปทีหนึ่ง “แกยังกล้ามาแก้ตัวอีกนะ!”
เหอชุนเซิงร้องโหยหวนขึ้นมาทันที
เสียงวุ่นวายตรงนี้ทำให้คนอื่นๆ ในหน่วยตื่นตระหนกด้วย
เมื่อเซี่ยวเยว่และหลินเซี่ยงชุนมาถึงพร้อมกัน พวกเขาเห็นเพียงแสงคบไฟสว่างจ้า ส่องให้หมู่บ้านสว่างไสว
ขาของหล่อนอ่อนยวบ “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดนะคะ!”
เซี่ยวเยว่ไม่พูดอะไร เพียงแต่มองสองคนที่ถูกมัดเหมือนอาชญากรด้วยสายตาเย็นชา
แม้จะเป็นพี่สาวและพี่เขยของตัวเอง แต่หล่อนก็นึกเบื่อหน่ายและรังเกียจขึ้นมาทันที
หวังเพียงว่าทั้งสองคนจะอับอายขายหน้าโดยไม่ลากหล่อนลงน้ำด้วย
“แม่ อย่าพูดอะไรอีกเลย เรื่องนี้ต้องจัดการอย่างเหมาะสมแน่”
“เสี่ยวเยว่ ลูกบอกพวกเขาสิ”
“พวกเขาจะใส่ร้ายคนแบบนี้ไม่ได้นะ ชุนเซิงเป็นผู้เชี่ยวชาญนะ”
“แล้วผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับความสำคัญจากตำบลขนาดนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหลังจากมาขายหน้าที่นี่?”
หลินเซี่ยงชุนไม่ยอมแพ้ ชี้นิ้วบอกว่าจะไปฟ้องร้องที่ตำบล เรียกร้องความยุติธรรม
เหอชุนเซิงถูกมัดอยู่ตรงนั้น ก้มหน้าไม่กล้าสบตากับหลินเซี่ยงชุนแม้แต่น้อย
เซี่ยวเสวี่ยก็อดร้องไห้ไม่ได้
หลังจากนั้นครอบครัวของเย่เสี่ยวจิ่นก็มาถึง
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูสภาพอันน่าอเนจอนาถของเหอชุนเซิง แล้วขำพรืดออกมา
“ตลกจังเลย ทำไมคนคนนี้ถึงถูกมัดไว้ล่ะ”
“น่าแปลกใจจริงๆ ที่เข้าหมู่บ้านมาตอนค่ำ ที่แท้ก็มาขโมยของนี่เอง”
เย่จื้อผิงรู้สึกว่าลูกสาวของตัวเองพูดจาแรงไปหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าพูดได้ดีทีเดียว
เหอชุนเซิงรู้สึกหน้าร้อนผ่าว อยากจะขุดหลุมฝังตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด
พอถูกเยาะเย้ยแบบนี้ เขายิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
ซุนจ่างซุ่นเห็นเย่เสี่ยวจิ่นแล้วพูดว่า “จิ่นเป่า มาดูเร็ว หมอนี่ใจดำปี๋เลย”
“กล้าบอกว่าจะเอายาฆ่าแมลงไปใส่ในนาข้าวทดลองของพวกเรา”
“ฉันไม่เคยเห็นใครหน้าด้านได้ขนาดนี้มาก่อนเลย”
คนรอบข้างต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
“นี่มันเลวร้ายเกินไปแล้ว พวกเขาได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้?”
“คนตระกูลเซี่ยวนี่น่ารังเกียจจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ทำอะไรให้คนรู้สึกไม่ชอบอยู่แล้ว”
“หลินเซี่ยงชุน เธอยังมีหน้ามาปกป้องลูกเขยคนดีของเธออีกเหรอ! ถ้าปลาตายหมด ครอบครัวของพวกเธอจะชดใช้ไหวหรือ?”
หลายคนเริ่มขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีก
“ก่อนหน้านี้ก็ขายน้ำมันปลอม ทำให้ทุกคนต้องเสียหาย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ใช่แล้ว ทั้งครอบครัวนั้นไม่มีใครมีจิตใจดีเลยสักคน!”
“ควรไล่พวกเขาออกจากหมู่บ้านชงเถียนให้ไปอยู่ในตำบลเสียเลย!”
ทุกคนต่างต้องการให้ผู้ใหญ่บ้านสั่งสอนเหอชุนเซิงกับเซี่ยวเสวี่ยให้สาสม ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่อาจดับความแค้นในใจลงได้
เหอชุนเซิงถูกทุกคนจ้องมองด้วยสายตาดุดัน ในตอนนี้นอกจากความรู้สึกโกรธแค้นอับอายแล้ว เขายังรู้สึกกลัวด้วย
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แค่… แค่รู้สึกไม่ชอบหน้าเย่เสี่ยวจิ่นเท่านั้น ก็เลยพูดจาไม่ดีไปบ้าง!”
“ท่านผู้ใหญ่บ้าน คุณจะทำอะไรพวกเราเพียงเพราะคำพูดเล่นๆ ไม่กี่คำไม่ได้”
“อีกอย่าง พวกท่านก็ลอกแผนของผมไปแต่แรกนี่ จะไม่ให้ผมมีความแค้นในใจบ้างเลยเหรอ?”
กัวชิงซงตบโต๊ะดังปัง อยากจะตบหน้าเขาสักสองที “นายยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ?”
เหอชุนเซิงตอนนี้เป็นเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือดแล้ว
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมรับความจริงของเรื่องนี้
เขาแค่ต้องยืนยันว่ามันเป็นเพียงคำพูดเล่นๆ พวกเขาจะได้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ในที่สุด พวกเขาก็ถูกมัดไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้าน ถูกประจานไปทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นก็ถูกปล่อยตัวไป
ทั้งสองคนหนีออกจากหมู่บ้านไปอย่างอับอาย
ตอนกินอาหารเช้า เย่ฉางอันโมโหขึ้นมาทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ “ทำไมถึงปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แบบนั้นล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือ “รีบร้อนไปทำไม? พวกเขาต่างหากที่กำลังร้อนใจ”
“ดูเหมือนว่าปลาในนาข้าวของพวกเขาก็คงไปได้ไม่สวยเท่าไหร่”
“พวกเราใจเย็นๆ ไว้ รอดูความอัปยศของพวกเขาก็พอแล้ว”
เย่จวินกลับคิดว่าน้องสาวพูดถูก “เหอชุนเซิงคงรู้สึกว่าตัวเองต้องแพ้แน่ๆ ถึงได้มาทำเรื่องแบบนี้”
“ต่อจากนี้พวกเราต้องคอยดูแลปลาในนาข้าวให้ดี ระวังพวกเขาจะหาช่องโหว่”
ทั้งครอบครัวกำลังคุยกันอยู่ คนคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
เป็นซูต้าเฉียงที่ไปสวนผลไม้แต่เช้า
“รีบไปที่ทีมเร็ว คนมารับซื้อผลไม้มาแล้ว”
“บอกว่าเป็นคนจากสหกรณ์ในเมือง ที่เคยคุยเรื่องความร่วมมือกับเย่ฉางอันไว้”
“พวกคุณไปกันเถอะ ผู้ใหญ่บ้านกับคนอื่นๆ กำลังจะมาแล้ว”
ซูต้าเฉียงพูดอย่างตื่นเต้น “พวกเขานั่งรถมากัน แถมไม่ใช่รถสามล้อถีบแบบบ้านคุณด้วย แต่เป็นรถสามล้อไฟฟ้า!”
เขาไม่เคยเห็นรถแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่ามันแปลกตามาก
เย่ฉางอันไม่คิดว่าคนจากสหกรณ์จะมาเร็วขนาดนี้
เขากินข้าวในชามอย่างรวดเร็วแล้วรีบลุกขึ้นยืน
“พวกเขาบอกราคารับซื้อหรือยัง?”
ซูต้าเฉียงส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของฉัน ฉันจะรู้ได้อย่างไร?”
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งรถจักรยานไปกับเย่ฉางอัน
ซุนจ่างซุ่นกำลังต้อนรับคนจากร้านค้าสหกรณ์อยู่ที่สวนผลไม้
เจียงถงมองดูชาวนากำลังเก็บผลไม้ในสวนผลไม้ เห็นลูกท้อสีแดงสดแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“แต่เดิมผมไม่คิดจะรับซื้อลูกท้อ แต่ไม่คิดว่าปีนี้ผลผลิตท้อจะไม่ค่อยดีเลย”
“ท้อจากหลายที่ก็ไม่ค่อยสวยงาม หาท้อดีๆ ไม่ได้เลย”
“ผมเพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากที่เย่ฉางอันมาคุยกับผม”
ซุนจ่างซุ่นยิ้มอย่างเป็นมิตร “ท้อของพวกเราปีนี้ดูแลอย่างพิถีพิถัน เลยทำให้มีรูปลักษณ์ดีครับ”
“และรับรองว่าเป็นท้อที่สุกตามธรรมชาติทั้งหมด คุณดูสิ แต่ละลูกที่เก็บมาสามารถกินได้เลย”
เจียงถงเห็นได้ชัดเจน จึงพยักหน้า “พาผมไปดูเมลอนในไร่ของพวกคุณหน่อย”
“ผมได้ปรึกษากับทุกคนแล้ว จะให้ราคาพวกคุณหนึ่งหยวนแปดเจียว ดูว่าพวกคุณจะรับได้ไหม”
ซุนจ่างซุ่นรู้ดีว่าช่วงนี้ราคาผลผลิตทางการเกษตรถูกมาก แต่ไม่คิดว่าเมลอนที่ปลูกแซมในที่ว่างจะมีราคาสูงขนาดนี้
เขาอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ ถ้ารู้แต่แรกน่าจะปลูกให้มากกว่านี้
นี่มันคุ้มกว่าปลูกต้นท้อตั้งเยอะ!
ซุนจ่างซุ่นพาเจียงถงไปที่สวนผลไม้ เห็นต้นเมลอนปลูกกระจายอยู่ทั้งทางตะวันออกและตะวันตก
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยปลูกผลไม้ชนิดนี้มาก่อน ปีนี้เพิ่งลองปลูกเป็นครั้งแรก เลยยังไม่ได้ปลูกเป็นล่ำเป็นสันน่ะครับ”
เจียงถงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ “ปีหน้าปลูกเพิ่มอีกหน่อยสิ ลูกท้อถึงจะดีแค่ไหนก็มีขายทั่วไป ขายไม่ได้ราคาหรอก”
“แต่เมลอนนี่หายาก พวกเราจะรับซื้อทั้งหมด”
ซุนจ่างซุ่นพยักหน้า “เรื่องนี้มีแต่จิ่นเป่าที่คิดได้ ปีหน้าก็ต้องดูว่าจิ่นเป่าจะว่ายังไง”
“พืชพวกนี้ล้วนเป็นจิ่นเป่าที่เสนอให้ปลูก ผมลืมบอกคุณไปว่าจิ่นเป่าเป็นหัวหน้าทีมของสวนผลไม้”
“คนที่ไปเจรจาธุรกิจกับคุณครั้งที่แล้วก็คือพี่ชายของหล่อนนั่นแหละ”
“คุณคงไม่ได้หมายถึงเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่พ่อแม่อุ้มอยู่หรอกนะ?” เจียงถงนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยที่ขายฝ้ายขึ้นมาทันที
“เฮ้อ ใช่แล้ว ก็หล่อนนั่นแหละ!” ซุนจ่างซุ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณเคยเจอจิ่นเป่ามาก่อนหรือครับ?”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไล่ตระกูลเซี่ยวนี่ออกจากหมู่บ้านสักทีเถอะ อยู่แล้วทำทั้งหมู่บ้านเดือดร้อน
คนจากสหกรณ์มาซื้อผลผลิตถึงที่เลย หมู่บ้านชงเถียนเตรียมดังแล้ว
ไหหม่า(海馬)
……….