ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 144 เก็บเชอร์รี่ป่า
บทที่ 144 เก็บเชอร์รี่ป่า
……….
บทที่ 144 เก็บเชอร์รี่ป่า
เย่จื้อผิงนั่งอยู่บนคันนาข้างนอก
สายลมยามค่ำคืนพัดเย็นสบาย แสงจันทร์สาดส่องอ่อนโยน
เสียงจักจั่นร้องและเสียงกบร้องในยามราตรี ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโมโหใส่หลิวต้าเม่ย
นึกย้อนกลับไป ตั้งแต่เด็กจนโต เขาก็เคยชินกับการถูกปฏิบัติแบบนี้มาตลอด
ครั้งนี้พอได้ขยับขา เขาก็นึกถึงตอนที่ขาของตัวเองถูกระเบิดบาดเจ็บ
กลับมาตั้งหลายวัน หลิวต้าเม่ยไม่เคยสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
มีแต่เอาของมาให้ แต่ก็แค่ผักป่ากำมือเดียว
ส่วนของที่ให้พี่ชายคนโตล้วนแต่เป็นของดีๆ ทั้งนั้น
“เฮ้อ…”
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
หลี่ชุ่ยชุ่ยล้างจานเสร็จแล้ว นั่งลงข้างๆ เขา “ยังนั่งกังวลอยู่อีกเหรอ? วันนี้คุณแข็งแกร่งมากนะ”
“ดึกป่านนี้แล้ว มีทั้งแมลงทั้งงู คุณมานั่งให้ยุงกัดทำไม?”
“ถ้าว่างจริงๆ ก็เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
เย่จื้อผิงถอนหายใจ “อย่าเพิ่งกวนผมเลย”
“ผมก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอก ก็แค่แม่ผมเป็นแบบนี้ตลอด” เย่จื้อผิงส่ายหัว “พวกเรามีลูกชายสามคน ลูกสาวหนึ่งคน ถึงผมจะรักลูกสาวมากกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ได้ลำเอียงขนาดนั้น”
“แกกลับบอกว่าผมปฏิบัติไม่ดีกับพวกเขาเลย สู้พี่ชายคนโตกับคนรองไม่ได้”
นี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดที่สุด
หลี่ชุ่ยชุ่ยตบไหล่เขาเบาๆ เข้าใจความรู้สึกของเย่จื้อผิงดี
“แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมาก คุณไม่จำเป็นต้องโกรธหรอก นอนหลับสักตื่นก็จะดีขึ้นแล้ว”
“เรื่องนี้ท่านแค่ปากพล่อยไปชั่วขณะ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคำพูดจากใจจริงของท่านสักหน่อย”
แม้หลี่ชุ่ยชุ่ยจะไม่พอใจหลิวต้าเม่ยมาก แต่ก็ไม่อยากยุยงความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกจนทำให้เกิดความวุ่นวาย
อะไรที่พูดเตือนได้ก็เตือนไป ไม่สนใจว่าเย่จื้อผิงจะฟังเข้าหูหรือไม่
อย่างไรเสียความแค้นระหว่างแม่ลูกก็ไม่มีทางค้างคืน พรุ่งนี้ก็จะดีขึ้นเอง
เย่จื้อผิงมองหลี่ชุ่ยชุ่ยแวบหนึ่ง
เขารู้สึกไม่สบายใจ
“ชุ่ยชุ่ย ผมรู้ว่าหลายปีมานี้คุณต้องทนลำบากมากเพราะผม”
“ต่อไปพวกเราจะไม่ยอมอ่อนให้แม่ผมอีกแล้ว หน้าที่ไหนที่ลูกชายสามคนควรทำ ผมก็ไม่หลีกเลี่ยง แต่สิ่งไหนที่ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา ผมก็จะไม่ทำเด็ดขาด”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้เก็บคำพูดแข็งกร้าวของเขามาใส่ใจ
พวกเขาชินกับการยอมจำนนแล้ว จะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร
วันรุ่งขึ้น
เย่เสี่ยวจิ่นไปทำงานที่สวนผลไม้ ทุกคนต่างทำงานของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ
เธอไปดูการเจริญเติบโตของแตงโม
แปลงแตงโมแต่ละไร่ถูกดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แตงโมทุกลูกมีเถาเลื้อยทอดยาวออกมาแล้ว
ทุกเถาล้วนติดลูกแล้วทั้งหมด ซึ่งบนเถาแตงโมแต่ละเถาไม่ควรปล่อยให้มีลูกมากเกินไป มิฉะนั้นผลแตงโมจะไม่โตเต็มที่
แตงโมที่เพิ่งออกลูกใหม่ๆ มีขนอ่อนๆ ปกคลุมผิว ทำให้แปลงแตงโมดูฟูฟ่อง บนพื้นยังมีกลีบดอกที่แห้งเหี่ยวอยู่
ในหนังสือบอกว่าไม่ควรไปจับต้องแตงโมในช่วงนี้อย่างส่งเดช
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูสภาพแบบนี้แล้วรู้สึกคันมืออยู่บ้าง เธอจึงยื่นนิ้วไปแตะแตงโมเบาๆ แล้วก็มีขนติดนิ้วมาเล็กน้อย
เธอนั่งยองๆ ลงกับพื้น พยักหน้าอย่างพอใจ “แตงโมน้อยๆ ทั้งหลาย พวกเธอต้องโตให้ได้ลูกละ 20 ชั่งนะ”
ทุกอย่างกำลังพัฒนาไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“แตงโมจะโตได้ถึง 20 ชั่งเลยเหรอ?” หลิวเยว่เดินตามเธอมาพลางถามด้วยรอยยิ้ม “แตงโมที่ปลูกในหมู่บ้านของพวกเราทุกปีมีลูกไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ แถมเปลือกยังหนาด้วย”
“ไม่เหมือนแตงโมพวกนี้หรอก” เย่เสี่ยวจิ่นมองหลิวเยว่แล้วพูดว่า “แตงโมพวกนี้เป็นพันธุ์ดีคุณภาพสูง”
“ไม่เพียงแต่จะมีลูกใหญ่ แต่ยังมีเปลือกบางเนื้อเยอะด้วย”
“ที่สำคัญที่สุดคือหวานมาก และไม่มีเมล็ดด้วย”
หลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลง “เรื่องแตงโมหวานนี่ฉันพอเข้าใจได้ แต่แตงโมจะไม่มีเมล็ดได้ยังไงกัน?”
“ถ้าแตงโมไม่มีเมล็ด แล้วตอนปลูกชุดต่อไปจะเอาเมล็ดมาจากไหนล่ะ?”
หลิวเยว่รู้สึกว่าเรื่องนี้เกินขอบเขตความรู้ของหล่อนไปแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นไปได้ย่างไร
“ฮ่าๆ พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวพี่ก็จะรู้เองแหละ”
หลิวเยว่มองเธอที่ยืนตากแดดอยู่ สายตาอ่อนโยนลงเล็กน้อย “จิ่นเป่า พวกเรารดน้ำมาหลายวันแล้ว เธอดูสิว่าพอไหม?”
“ถ้าคิดว่าดินยังแห้งเกินไป พวกเรารดน้ำอีกครั้งตอนกลางคืนได้นะ”
“ไม่ต้องหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นปัดดินออกจากมือ “ฉันเห็นว่าแตงโมโตดีนะ แต่ในช่วงนี้ก็ยังต้องรดน้ำทุกเช้าอยู่”
หลิวเยว่พยักหน้า “อืม ได้”
เย่เสี่ยวจิ่นเดินดูสภาพสวนผลไม้ไปทั่วเหมือนผึ้งงานแสนขยัน
หลังจากหลิวเยว่พาเธอดูแตงโมเสร็จแล้ว หล่อนก็กลับไปทำงานของตัวเอง
เย่เสี่ยวจิ่นเดินเรื่อยเปื่อยไปถึงแปลงทดลองเลี้ยงปลาในนาข้าว แล้วดูลูกปลา
ต้นข้าวเติบโตเขียวชอุ่ม ใบข้าวสีเขียวบังแสงแดด
ในน้ำใสด้านล่าง ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นปลาตัวเล็กๆ ว่ายไปมา
พอเห็นว่ามีคนมา มันก็มุดเข้าไปซ่อนตัวเองในร่องน้ำ
“ฮิๆ ปลาน้อยๆ พวกนี้โตได้ดีจริงๆ ว่องไวมีชีวิตชีวาเหลือเกิน”
เย่เสี่ยวจิ่นรออยู่สักพัก คิดว่าต่อไปจะต้องอาศัยสิ่งนี้ให้เหอชุนเซิงรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจ
จึงให้ความสำคัญกับมันมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
โจวเหวินรุ่ยวิ่งกระโดดโลดเต้นมา “จิ่นเป่า ในที่สุดก็หาเธอเจอ ไปกับฉันเถอะ พวกเราไปเล่นบนภูเขากัน”
“ไปทำไมล่ะ? วันนี้ฉันมีธุระยุ่งมาก” เย่เสี่ยวจิ่นไม่สะทกสะท้าน
“อย่าดูปลาเลย บนภูเขาสนุกจริงๆ นะ ฉันไม่ได้หลอกเธอหรอก”
เย่เสี่ยวจิ่นยักไหล่ “ไปเก็บเห็ดบนภูเขาเหรอ? หรือว่าจับปู?”
“หลายวันมานี้ฝนไม่ตกเลย คงไม่มีพวกนั้นหรอก”
“เธอดูปลาน้อยๆ พวกนี้สิ โตดีไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นชี้ไปที่ทุ่งนา แต่โจวเหวินรุ่ยคว้ามือน้อยๆ ของเธอไว้
“ไปกันเถอะ”
เย่เสี่ยวจิ่นถูกเขาลากไปที่ภูเขาใกล้ๆ อย่างจำใจ ได้ยินเสียงตัดฟืนดังมาจากในป่าจากระยะไกล
“พี่ครับ พวกเรามาแล้ว” โจวเหวินรุ่ยตะโกนเข้าไปในป่า “พี่อยู่ไหนครับ?”
โจวเซียวตะโกนตอบกลับมาสองสามครั้ง
โจวเหวินรุ่ยและเย่เสี่ยวจิ่นเดินตามเสียงขึ้นไปตามทางเล็กๆ
ข้างทางมีกองฟืนวางอยู่ ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของโจวเซียว
ไม่รู้ว่าเขาตัดมานานแค่ไหนแล้ว จนมีฟืนกองใหญ่อยู่ที่นั่น
“พวกเธอมองไปทางไหนกัน? ฉันอยู่ข้างบนนี้”
โจวเซียวตัดกิ่งไม้ลงมา ลากออกมาจากพุ่มหญ้า แล้ววางไว้ตรงหน้าพวกเขา
เย่เสี่ยวจิ่นจำได้ทันทีว่านี่คือต้นเชอร์รี่ป่า เธอเคยเห็นมันตอนที่ไปขุดรากไม้กับแม่มาก่อน
แต่ตอนนี้บนกิ่งก้านใหญ่โตนั้นไม่มีดอกแล้ว กลับมีใบเขียวชอุ่มและผลเล็กๆ สีแดงแทรกอยู่ระหว่างกิ่งก้านใบไม้
ผลเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ใหญ่มาก มีขนาดเท่าปลายนิ้วเท่านั้น
“พี่ชายบอกว่านี่คือเชอร์รี่ป่า”
“ผลเล็กแค่นี้จะบอกว่าใหญ่เท่าลูกท้อได้ยังไง?”
“ดูเหมือนพี่ชายจะโกหกพวกเราแล้ว อย่างมากก็แค่ถั่วแดงเม็ดเล็กๆ เท่านั้นแหละ”
โจวเหวินรุ่ยพูดพลางเด็ดผลไม้จากกิ่งไม้หยิบใส่ปากสองสามลูก
ผลเล็กๆ สีแดงนี้ดูสวยงามมาก ทั้งวาววับ เปล่งประกายสีแดงสุก
รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ไม่เลวเลยทีเดียว
“จิ่นเป่า เธอลองชิมดูสิ อร่อยดีนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นก็เด็ดผลไม้มาสองสามลูกแล้วใส่เข้าปาก
เธอพยักหน้าอย่างดีใจ “ว้าว อร่อยจริงๆ ด้วย”
เธอมองซ้ายมองขวา เห็นต้นอู๋ถง*ต้นเล็กๆ อยู่ไม่ไกล
(*梧桐树 หรือต้นเพาโลเนีย เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องดนตรีได้ และเป็นต้นไม้ที่เชื่อว่าเป็นที่เกาะพำนักของหงส์จีนที่เป็นนกในตำนาน)
เธอวิ่งเหยาะๆ ไปที่นั่น เด็ดใบอู๋ถงขนาดใหญ่มาสองสามใบ ใบใหญ่กว่าหัวของเธอเสียอีก
“ให้นายใบหนึ่ง พวกเราเอาไว้ห่อผลไม้กลับไปกินที่บ้านได้”
เด็กน้อยสองคนนั่งยองๆ อยู่หน้ากิ่งไม้ใหญ่ แล้วเก็บผลไม้ด้วยกันเงียบๆ
โจวเซียวไม่ได้ยินเสียงพูดคุย จึงชะโงกหน้าออกมาดู เห็นพวกเขาเชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเป็นรอยยิ้ม
เขาไม่สนใจตัดฟืนอีกต่อไป แต่โน้มกิ่งต้นเชอร์รี่ป่าลงมาสองสามกิ่ง ให้พวกเขาค่อยๆ เก็บได้มากขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
โจวเซียวขนฟืนกองแรกกลับบ้านไปแล้ว
กลับมาแบกฟืนรอบที่สองแล้ว
“เอาล่ะ พวกเธอสองคนอย่าเล่นอยู่บนเขาอีกเลย ตามฉันลงไปด้วยกันเถอะ ไม่งั้นถ้ามีแค่พวกเธอสองคนอยู่บนเขา อาจจะเจอสัตว์ร้ายได้นะ”
“พวกเธอทั้งสองตัวเล็กแขนขาเล็ก วิ่งก็วิ่งไม่ทัน”
โจวเหวินรุ่ยได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น ก็มองไปรอบๆ เห็นแต่ป่าเขาเงียบสงัดและรกชัฏ
เขารู้สึกขนลุกเล็กน้อย “จิ่นเป่า งั้นพวกเราลงเขากันเถอะ ยังไงก็เก็บมาเยอะแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นเก็บเชอร์รี่ป่ามาเต็มสามถุงแล้ว จึงพยักหน้าและเดินตามพวกเขาลงเขาไป
“เฮ้อ วันนี้ฉันแอบหนีงานมาเที่ยวเล่นอีกวันแล้ว”
“คราวหน้าฉันสัญญาว่าจะไม่แอบหนีมาอีก ต้องเป็นหัวหน้าทีมที่ทุ่มเทและรับผิดชอบให้ได้”
โจวเหวินรุ่ยช่วยแก้ตัวให้เธอ “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเธอก็ใช้สมองทำงานอยู่นั่นแหละ”
“อยู่ที่นี่ก็คิดเรื่องสวนผลไม้ได้นะ”
โจวเซียวเดินนำหน้าพวกเขา ฟังเสียงพูดคุยของเด็กน้อยทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “จิ่นเป่าฉลาดจริงๆ ไม่เหมือนนายเลยนะ พอถึงครึ่งปีหลังก็ต้องไปเรียนหนังสือแล้ว”
“ผมไม่อยากเรียนหนังสือ อยู่บ้านให้พี่สอนก็เหมือนกัน ผมไม่ชอบไปโรงเรียน” โจวเหวินรุ่ยเริ่มบ่นงึมงำ
ในโรงเรียนช่างน่าเบื่อเหลือเกิน แถมยังไม่ได้เล่นไปทั่ว
อีกอย่าง จิ่นเป่าก็ไม่ได้ไปโรงเรียนนี่
“ต่อไปนายก็จะเป็นคนโง่ ดูสิว่าจิ่นเป่าจะยังคบกับนายอยู่ไหม”
เย่เสี่ยวจิ่นได้ยินโจวเซียวพูดดูถูกน้องชายของตัวเองแบบนั้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ทุกคนเดินผ่านต้นหยางเหมยขนาดใหญ่สองต้น
ผลหยางเหมยบนต้นโตเต็มที่แล้ว แต่ยังเป็นสีเขียวอยู่
คาดว่าอีกไม่เกินหนึ่งเดือน ลูกหยางเหมยก็จะสุกหมดแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นเงยหน้าขึ้นมอง แหงนคอดูผลไม้ที่เต็มไปหมดบนต้นไม้
“เธออยากกินลูกหยางเหมยไหม? ฉันจะเก็บให้นะ”
“รุ่ยเป่า ลูกหยางเหมยพวกนี้ยังไม่สุกหรอก ถ้ากินตอนนี้มันจะเปรี้ยวมากและไม่อร่อยเลย ต้องรอให้ลูกหยางเหมยเปลี่ยนเป็นสีม่วงก่อน ถึงจะอร่อย”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ แค่เห็นลูกหยางเหมยก็นึกถึงรสเปรี้ยวนั้นแล้ว
โจวเซียวพูดขึ้นว่า “พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อกี้ตอนฉันไปตัดฟืน ฉันเห็นลูกปาเยว่จ้า*ลูกใหญ่มากอยู่ตรงนั้น คาดว่าอีกประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะเก็บกินได้แล้ว”
(*八月炸 หรือในญี่ปุ่นเรียกว่าผลอะเคบิ เป็นผลไม้ของต้นไม้ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stauntonia latifolia)
“ถึงตอนนั้นพวกเธอสองคนไปเก็บมากินได้นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า จดจำสถานที่ไว้
เธอกระตือรือร้นกับการเก็บผลไม้ป่าแบบนี้มาตลอด
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณพ่อเปลี่ยนเป็นคนแกร่งแล้ว ยินดีด้วยค่ะ
อยากมีโมเมนต์เก็บผลไม้ป่ามั่ง น่าจะสนุกนะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)