ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 141 กลายเป็นเศรษฐีหมื่นหยวนแล้ว
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 141 กลายเป็นเศรษฐีหมื่นหยวนแล้ว
บทที่ 141 กลายเป็นเศรษฐีหมื่นหยวนแล้ว
……….
บทที่ 141 กลายเป็นเศรษฐีหมื่นหยวนแล้ว
การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยไม่ใช่อาการป่วยร้ายแรงอะไร
เมื่อมาถึงตัวอำเภอ เย่เสี่ยวจิ่นก็ถือโอกาสนำเหรียญโบราณไปส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หน่วยงานมอบรางวัลให้เธอ 2 หยวนและใบประกาศเกียรติคุณพลเมืองดีเด่น 1 ใบ
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกดีใจมาก
แต่เย่จื้อผิงไม่เข้าใจว่าเธอมีอะไรให้ดีใจ
สองวันนี้ใช้เงินไปตั้ง 11 หยวนแล้วนะ
เขากังวลมากว่าเมื่อกลับบ้านแล้วจะถูกภรรยาตีเอา…
กังวลเหลือเกิน
เย่จื้อผิงยิ้มขื่น “จิ่นเป่า มันน่าดีใจขนาดนี้เลยเหรอ? ดูเหมือนการทำความดีจะทำให้คนมีความสุขจริงๆ นะ”
เขาลูบหัวเธอเบาๆ “งั้นสองหยวนนี้ให้เป็นรางวัลจิ่นเป่าไปซื้อขนมกินนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า “ไม่ล่ะค่ะ เอาไว้ซื้อเนื้อกินดีกว่า พ่อ ทำไมพ่อถึงกังวลขนาดนั้นล่ะ?”
“พ่อกลัวแม่ของลูกจะโกรธน่ะสิ”
“ไม่หรอก” เย่เสี่ยวจิ่นยื่นเงินสองหยวนให้เย่จื้อผิง “เทพเซียนให้รางวัลหนูตั้งหนึ่งหมื่นหยวนเชียวนะ”
เย่จื้อผิงยิ้มออกมา แต่แล้วก็ชะงักไป พูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ “ลูกว่าอะไรนะ?”
“หนูบอกว่าเทพเซียนให้รางวัลหนูมาตั้งหนึ่งหมื่นหยวนเพราะส่งมอบโบราณวัตถุน่ะค่ะ”
“ลูกกำลังล้อเล่นกับพ่อใช่ไหม?”
เย่จื้อผิงไม่เชื่อ หนึ่งหมื่นหยวนเชียวนะ ในหมู่บ้านยังไม่มีใครมีเงินถึงหมื่นหยวนเลย…
ครอบครัวของพวกเขาที่เป็นแบบนี้กลับได้รับเงินหนึ่งหมื่นหยวนหรือ?
แค่เพราะส่งมอบเหรียญโบราณเหรียญเดียว?
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แผ่นหลังของเขาก็เริ่มมีเหงื่อผุดซึมจนชุ่มโชก
เขารู้สึกว่าจิ่นเป่ากำลังล้อเล่นกับตัวเอง “เป็นไปได้ยังไง? หนึ่งหมื่นหยวนเชียวนะจิ่นเป่า”
เขามองไปรอบๆ แล้วลดเสียงลง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยิน
“ลูกรู้ไหมว่าหนึ่งหมื่นหยวนมันมากแค่ไหน? มันคือ…เงินมากมายมหาศาลเลยนะ”
“ใครก็ตามที่มีเงินมากขนาดนี้จะถือว่าเป็นเศรษฐีไปแล้ว”
“ชั่วชีวิตของพ่อหาเงินได้ไม่มากขนาดนั้นหรอก”
“ตอนนี้คนที่มีเงินหนึ่งหมื่นหยวนถือว่ารวยที่สุดแล้วค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ท่านเทพเซียนใจดีมากนะคะ แค่ส่งมอบของโบราณก็ได้รับรางวัลแล้ว”
“แถมเหรียญโบราณนี้ยังมีค่ามาก เป็นสมบัติตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้อยู่ไม่กี่เหรียญหรอกค่ะ”
เย่จื้อผิงเห็นเธอพูดจริงจังดังนั้น ก็รู้สึกชาไปทั้งตัว
เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “จริงเหรอ?”
“จิ่นเป่า อย่าล้อเล่นเลย พ่อทนรับความตื่นเต้นแบบนี้ไม่ไหวหรอก รีบบอกมาเถอะว่าไม่จริง”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกขำ “แน่นอนว่าจริงค่ะ อย่าถามอีกเลย”
เธอหยิบซองแดงออกมาจากกระเป๋า “นี่เป็นเงินให้ย่าสาม พ่อดูเอานะคะว่าพอไหม?”
ในซองแดงมีเงิน 300 หยวน
พอให้ย่าสามใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างสบายแล้ว
เธอเองก็ให้มากกว่านี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพอลูกชายของย่าสามกลับมา ก็คงจะแย่งไปหมดแน่ๆ
“300 เหรอ?”
เย่จื้อผิงรู้ว่าตอนนี้ครอบครัวของพวกเขามีเงินแค่ 100 กว่าหยวนเท่านั้น
เย่เสี่ยวจิ่นกลับนำเงิน 300 หยวนออกมาอย่างสบายๆ ดังนั้นเรื่องที่เธอมีเงิน 10,000 หยวนคงเป็นเรื่องจริง
สมองของเขาอื้ออึงไปหมด นั่งยองๆ อยู่นานก็ยังไม่หายตกใจ
แบบนี้…เรียกว่าโชคหล่นทับเลยไม่ใช่หรือ?
“จิ่นเป่า ทำไมลูกถึงใจเย็นได้ขนาดนี้ล่ะ?”
“หนูไม่ได้ใจเย็นนะคะ” เย่เสี่ยวจิ่นชี้ไปที่เงิน 2 หยวนในมือของเย่จื้อผิง “พ่อคะ วันนี้พวกเราซื้อเนื้อกลับไปต้มกับหัวไชเท้ากินกันนะคะ”
เย่จื้อผิงหัวเราะ “แค่นั้นไม่พอหรอก ต้องซื้อขาหมู อันเดียวก็หนักตั้ง 10 ชั่งแล้ว”
“อ้าว… งั้น…” เย่เสี่ยวจิ่นหยิบเงินออกมาอีก 2 หยวน “ให้พ่อค่ะ”
“หนูไม่มีเงินแล้วนะคะ ต้องกลับไปขอเงินแม่แล้ว”
เงิน 10 กว่าหยวนที่ติดตัวเธอมา ตอนนี้ได้ถูกใช้หมดเกลี้ยงแล้ว
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ซุนพั่นตี้ก็เตรียมตัวจะกลับบ้าน
เย่เสี่ยวจิ่นแอบยัดซองอั่งเปาให้นาง “คุณย่าสาม เงินนี่หนูให้คุณย่าไว้นะคะ เป็นค่าเหรียญโบราณที่ซื้อจากคุณย่า”
“ต่อไปถ้าคุณย่ามีธุระอะไรก็มาหาพวกเราได้นะคะ”
เธอยิ้มและพูดว่า “ถ้ามีของโบราณอีก ก็มาหาหนูได้เหมือนกันนะ”
ซุนพั่นตี้เห็นจำนวนเงินในซองอั่งเปาแล้วก็ตกใจจนสะดุ้ง “ไม่ได้ ไม่ได้ เงินมากขนาดนี้…”
ตั้งแต่ออกจากบ้านเกิด นางก็ไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อนเลย
300…
มันเพียงพอให้นางใช้ไปจนถึงบั้นปลายชีวิตเลยทีเดียว
นางเป็นคนแก่คนหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้หรอก
“คุณย่าสาม ได้โปรดเอาเงินไปซื้ออาหารกินได้นะคะ อย่ากินแต่โจ๊กเลย ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนะคะ”
“อีกสองสามวันฉันจะให้พ่อส่งผ้านวมบุฝ้ายไปให้คุณ ต่อไปคุณย่าต้องฟังคำสั่งหมอนะ ห้ามดื่มน้ำบ่อ ต้องดื่มน้ำต้มสุกเท่านั้น”
ดวงตาของซุนพั่นตี้แดงก่ำ
นางรู้ว่าเหรียญโบราณพวกนี้ในมือตนเมื่อก่อนก็เป็นเพียงเศษเหล็กไร้ค่า
ขายก็ไม่ได้ราคา
พอตอนนี้ได้เงินมามากมาย นางก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ
ซุนพั่นตี้พยักหน้า น้ำตาคลอ “ฉันเข้าใจแล้ว จิ่นเป่า เธอเป็นเด็กดีจริงๆ”
ชีวิตที่เคยตกต่ำถึงขีดสุด ตอนนี้กลับพลิกผันอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากส่งนางกลับบ้าน เย่เสี่ยวจิ่นและพ่อก็กลับบ้านเช่นกัน
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นพวกเขากลับมา อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ทำไมพวกคุณไปตั้งหลายวันล่ะ? เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณปู่ของคุณก็เพิ่งกลับไปเอง พวกคุณเจออะไรมาหรือ?”
“เจอสิคะ ป้าสามเป็นนิ่วในไต พวกเราเลยพาท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลในตำบล”
“สุขภาพของท่านไม่ดีเลย ฉันเลยบอกให้พ่อเอาข้าวและผ้านวมบุฝ้ายไปให้ท่านในช่วงสองสามวันนี้”
“ท่านต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว น่าสงสารจังเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางมองสีหน้าของแม่
“ฮึ ดีจัง พวกคุณนี่…” หลี่ชุ่ยชุ่ยอดไม่ได้ที่จะชี้ไปที่พ่อลูก “ใจบุญสุนทานจริงๆ คงจะเป็นเงินของพวกคุณทั้งหมดสินะ?”
พ่อลูกยืนตรงรับคำดุอย่างว่าง่าย
แต่หลี่ชุ่ยชุ่ยกลับไม่ได้ดุพวกเขา หล่อนมีชื่อเสียงในเรื่องอารมณ์ดี
แน่นอนว่าหล่อนจะไม่โกรธเรื่องแบบนี้
“ย่าสามมีชีวิตลำบากจริงๆ อีกทั้งยังมีลูกชายอกตัญญู”
“จิ่นเป่าของเราเป็นเด็กกตัญญู ต่อไปภายหน้าจะต้องกตัญญูต่อพ่อแม่แน่นอน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบหัวลูกสาว แล้วเหลือบมองเย่จื้อผิงด้วยสายตาดุๆ “บอกมาสิ ใช้เงินไปเท่าไหร่?”
เย่จื้อผิงกลืนน้ำลาย “สิบเอ็ดหยวนกว่าๆ”
สีหน้าของหลี่ชุ่ยชุ่ยเปลี่ยนเป็นดำมืดทันที “ดีเหลือเกิน งั้นค่าแรงปีนี้ของคุณถูกริบทั้งหมดแล้ว”
เย่จื้อผิงกลับถอนหายใจโล่งอก
ค่าแรงของเขาถูกริบมาตลอดอยู่แล้ว
เขาหยิบของออกมาจากถุงตาข่ายอย่างประจบ
“ภรรยาที่รัก ดูสิ ผมซื้อขาหมูกลับมาด้วย”
“ขาหมูนี่ดีมากเลยนะ ซื้อมาสี่หยวนเชียว”
“พอให้ครอบครัวของเราได้กินอาหารดีๆ สองมื้อแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตบหน้าผากเขาเต็มแรง “สมองคุณเป็นน้ำไปแล้วหรือไง? ใช้เงินมือเติบแบบนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าลูกชายสองคนต้องแต่งงาน ลูกชายอีกคนต้องเรียนหนังสือ แล้วยังมีลูกสาวที่ต้องรักษาอีก!”
ตอนนี้หลี่ชุ่ยชุ่ยโกรธจริงๆ แล้ว
เรื่องช่วยคน หล่อนไม่พูดอะไร
แต่เงิน 4 หยวนนั่น เอาไปซื้อขาหมูตั้งเยอะแยะ!
หล่อนคิดแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก
หลี่ชุ่ยชุ่ยเป็นคนดูแลการเงินในบ้าน หล่อนมักจะใช้เงินเต็มที่แค่หนึ่งหรือสองเหมาเสมอ
ถ้าไม่ใช่เพราะจิ่นเป่าชอบกินเนื้อ หล่อนก็แทบไม่อยากซื้อเนื้อเลย
เนื้อราคา 4 เหมาต่อชั่ง ใครจะซื้อไหวล่ะ?
เห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เย่เสี่ยวจิ่นก็รีบดึงมือแม่ “แม่คะ เรามาคุยกันในห้องของแม่ดีกว่า”
“เรื่องซื้อขาหมูไม่ใช่ความคิดของพ่อ แต่เป็นความคิดของหนูเองค่ะ…”
“หนูขอให้พ่อซื้อ เพราะบ้านเรามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นน่ะค่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอยากจะดูว่าพ่อลูกคู่นี้จะแก้ตัวออกมาได้อย่างไร
เย่เสี่ยวจิ่นแอบออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง เมื่อกลับมาอีกครั้ง ในมือก็มีถุงผ้าใบใหญ่
ถุงผ้าใบใหญ่แลดูหนักอึ้ง
เนื่องจากธนบัตรที่มีมูลค่าสูงสุดในยุคนี้คือ 10 หยวน ดังนั้นเงิน 10,000 หยวนนี้จึงดูมีน้ำหนักมาก
“นี่คืออะไรอีกล่ะ?”
“ลูกไม่ต้องซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นมาทำให้แม่ดีใจหรอกนะ แม่เห็นพวกลูกใช้ชีวิตสบายเกินไปแล้วจนลืมไปเลยว่าชีวิตที่ลำบากเป็นยังไง ต่อไปห้ามพ่อลูกสองคนเอาเงินมากขนาดนี้มาอีกนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดจาแข็งกร้าว การใช้เงินไปกว่าสิบกว่าหยวนในครั้งนี้ของพวกเขา ทำให้หล่อนเจ็บปวดใจราวกับโดนมีดกรีด
แม้จะรักลูกสาว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อน้ำเสียงแข็งกร้าวของหล่อน
“งั้นแม่ลองดูหน่อยสิคะว่าในนี้มีอะไร จะพอทำให้แม่ใจอ่อนได้ไหม?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเปิดห่อผ้าแล้วก็ชะงักไปทันที
ข้างในกลับเป็นธนบัตรมูลค่าสิบหยวนทั้งหมด!
หล่อนอดไม่ได้ที่จะล้มตัวลงบนเตียง ตกใจจนแทบตาย
รีบไปล็อคประตูหน้าต่างทั้งหมด แม้แต่ผ้าม่านก็ยังรูดปิด ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะเห็น
หล่อนมองเงินมากมายขนาดนี้ด้วยอาการแข็งค้างจนแทบกลายเป็นหิน
“จิ่นเป่า ลูกไปปล้นเงินชาวบ้านมาหรือ? หรือว่าเก็บได้?”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า แล้วเล่าเรื่องของโบราณวัตถุอย่างคร่าวๆ ในแบบที่แม่สามารถยอมรับได้
“ดังนั้นทั้งหมดนี่คือ 9,700 หยวนใช่ไหม?”
“จิ่นเป่า ลูกทำให้ย่าสามกลายเป็นเศรษฐีหมื่นหยวนเลยเหรอ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตกใจมากจนไม่กล้าแตะต้องเงินพวกนี้
“ไม่ใช่ค่ะ เหรียญโบราณของย่าสามแลกได้แค่ 2 หยวนกับใบประกาศเกียรติคุณเท่านั้น”
“หมื่นหยวนนี้เป็นรางวัลที่เทพเซียนมอบให้หนู เพื่อสนับสนุนให้หนูเป็นเด็กดี”
“พูดให้ถูกก็คือหมื่นหยวนนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับย่าสามเท่าไหร่ เพราะหนูไม่ได้ขายเหรียญโบราณ แค่มอบให้เป็นสมบัติชาติเท่านั้น”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดอย่างใจเย็นมาก
“ถึงเอาไปขายก็คงขายได้ไม่ถึง 300 หยวนหรอก”
“ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์น่ะค่ะ”
เย่จื้อผิงรู้สึกว่าเย่เสี่ยวจิ่นพูดถูก “ใช่แล้ว จิ่นเป่าไม่ได้โลภเอาเหรียญโบราณของคุณย่าเลย เหรียญโบราณถูกมอบให้ประเทศแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองดูพ่อลูกทั้งสอง และไม่รู้สึกกดดันอีก
หล่อนถอนหายใจ นับเงินไปพลาง รู้สึกราวกับกำลังฝันไป
“เงินมากมายขนาดนี้ ตอนนี้บ้านเรามี…”
“เกือบ 9,800 หยวนแล้ว แทบจะเป็นครอบครัวหมื่นหยวนแล้วนะ”
หล่อนคิดสักครู่ “เรื่องนี้พวกคุณอย่าบอกคนในบ้านนะ เขาว่ากันว่าผู้ชายมีเงินแล้วก็เสียคน”
“เงินนี้เก็บไว้ให้จิ่นเป่าใช้ในอนาคต ไม่ควรให้พวกเขารู้”
“ปล่อยให้พวกเขาพยายามดิ้นรนด้วยตัวเองจะดีกว่า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ได้ระแวงลูกชายหรอก
เพียงแต่ไม่อยากให้พวกเขาไม่พยายาม แล้วหวังพึ่งน้องสาวให้ร่ำรวย
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก
“ดีแล้ว งั้นคุณก็เก็บเงินให้ดีๆ นะ ผมกับจิ่นเป่าสัญญาว่าจะไม่บอกใครทั้งนั้น”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ใช่แล้ว วันหลังพ่อทำตู้เซฟใบใหญ่ๆ ให้หน่อยนะคะ เอาแบบที่ล็อคได้ด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
จนตอนนี้ก็ยังยากที่จะยอมรับความจริงนี้ได้
หล่อนลูบเงินพลางถอนหายใจ แค่ครึ่งปีเท่านั้น ที่บ้านก็มีเงินมากมายขนาดนี้แล้ว
ต้องไม่ประมาทเด็ดขาด ต่อไปที่บ้านก็ยังคงใช้เงินแค่ร้อยกว่าหยวนเหมือนเดิม
หลี่ชุ่ยชุ่ยตัดสินใจแบบนั้น แล้วก็พูดกับเย่จื้อผิงว่า “คุณห้ามคิดถึงเงินนะ”
เย่จื้อผิงถึงกับหมดปัญญา “ผมไม่คิดหรอกน่า”
“คุณไม่คิด แต่คนในบ้านอาจจะคิด” หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้ดี จึงพูดเตือนไว้ก่อน “คราวนี้พวกคุณจ่ายเงินค่ารักษาป้าสามไปมากมาย ถ้าแม่คุณรู้เข้า ในใจท่านคงอดคิดไม่ได้แน่”
“เงินนี้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ห้ามใช้เด็ดขาดนะ!”
“แล้วก็คุณนี่นะ… อุตส่าห์พาจิ่นเป่าไปถึงอำเภอ แต่ก็ไม่รู้จักพาลูกไปตรวจร่างกายบ้างเลย”
“คุณไม่เคยใส่ใจเรื่องอาการป่วยของจิ่นเป่าเลยใช่ไหม?”
เย่จื้อผิงปล่อยให้หลี่ชุ่ยชุ่ยด่าไปเรื่อยเปื่อยอยู่นาน
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นแอบหลบออกไปแล้ว
ผ่านไปสักพัก เย่จื้อผิงถึงค่อยเดินออกจากบ้านอย่างเชื่องช้า
เขาถือขาหมูไปต้มหนังหมูที่เตาไฟ
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ว้าว ได้รางวัลจากระบบทีเดียวหมื่นหยวนเลย ต่อไปต้องรักษาความดีนี้ไว้นะจิ่นเป่า
ไหหม่า(海馬)