ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 137 การปกป้องของครอบครัว
บทที่ 137 การปกป้องของครอบครัว
……….
บทที่ 137 การปกป้องของครอบครัว
เซี่ยวเสวี่ยยังจะพูดจาแรงๆ อีก แต่ถูกหลินเซี่ยงชุนห้ามไว้
“เซี่ยวเสวี่ย อย่าพูดอะไรอีกเลย รอให้พ่อของเธอกลับมาก่อน…ถ้าเกิดเขาโมโหจนหน้ามืดแล้วมาทำร้ายเธออีกจะทำยังไง?”
“แม่ของเธอก็แก่แล้ว ฉันคงห้ามเขาไม่ไหวหรอก…”
หลินเซี่ยงชุนมีสีหน้ากังวล การเป็นคนไม่ควรทำอะไรล้ำเส้นเกินไป
ตอนนี้ตระกูลเย่มีเงิน มีจักรยาน มีบ้านอิฐ
ถึงจะทำร้ายคน แต่พวกเขาก็แค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลนิดหน่อยเท่านั้น
จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับพวกเขาหรอก รอให้เหอชุนเซิงได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โตขึ้นมา ก็จะมีโอกาสจัดการพวกปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้ทีหลัง
“เจ้ารอง ลูก… ลูกทำร้ายคนได้ยังไง?” เย่จื้อผิงในตอนนี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน
เย่ฉางอันคิดว่าตนเองแค่ตบไปทีเดียว ถ้าคนตระกูลเซี่ยวยังรังแกคนอื่นแบบนี้อีก
เขารับรองว่าจะตบพวกนั้นทุกครั้งที่เจอ!
“ฉันขอเตือนพวกแกนะ จิ่นเป่าบ้านฉันฉลาดที่สุด ไม่จำเป็นต้องไปขโมยของเหอชุนเซิงของพวกแกหรอก!”
“พวกแกทำเรื่องสกปรกลับหลังคนอื่นแบบนี้ ระวังตัวให้ดีๆ เถอะ”
เซี่ยวเสวี่ยมองเย่ฉางอันด้วยความแค้นเคือง มือกุมแก้มตัวเอง
ได้แต่กลืนความโกรธลงคอไป
หล่อนหยิ่งผยองเกินไปจริงๆ ถึงไม่คิดเลยว่าคนตระกูลเย่จะกล้าตบตน!
“พ่อ เรากลับกันเถอะ” เย่ฉางอันพูดกับเย่จื้อผิง “อย่าไปสนใจคนน่ารังเกียจพวกนี้มากเลย เดี๋ยวผมจะอาเจียนออกมาหมด”
เซี่ยวเสวี่ยเห็นพวกนั้นเดินจากไป จึงลุกขึ้นยืน
ซีกแก้มยังคงแสบร้อน สัมผัสแล้วร้อนผ่าว อีกทั้งใบหน้าครึ่งซีกก็บวมขึ้นมาแล้ว
“แม่ ทำไมแม่ถึงมาขวางฉันล่ะ ถ้าเรื่องมันใหญ่โตขึ้นมา…พวกเขาต่างหากที่ควรจะกลัว”
“เวลาออกไปในหมู่บ้าน จะได้ไม่ถูกคนชี้นิ้วนินทา”
เซี่ยวเยว่รับปาก รีบไปต้มน้ำทันที
ในใจยังรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง ดีที่ตัวเองไม่ได้พูดอะไรมาก
ไม่อย่างนั้นคนที่โดนทำร้ายอาจจะเป็นหล่อน…
โดนตบหน้าแบบนี้ ช่างน่าอับอายจริงๆ
ขณะที่เซี่ยวเยว่กำลังคิดอยู่นั้น เซี่ยวเสวี่ยก็เดินเข้ามาในห้อง
“เสี่ยวเยว่ อย่าแอบดีใจอยู่ตรงนั้นเชียวล่ะ ที่พี่เขยไม่ไว้หน้าเย่เสี่ยวจิ่น ก็เพื่อแก้แค้นให้เธอต่างหาก”
“เธอกับแม่หมายความว่ายังไง? ปกติเธอก็บอกว่าฉันดี แต่พอมีเรื่องขึ้นมากลับหนีเร็วกว่าใครเพื่อน?”
เซี่ยวเยว่กลอกตาไปมา แสดงสีหน้าน้อยใจออกมาเล็กน้อย “พี่สาว พี่ไม่รู้หรอก…”
“ตอนนี้ตระกูลเย่รวยมากแล้ว ในหมู่บ้านนับว่าเป็นคนมีฐานะเลยนะ”
“บ้านของพวกเขาสร้างด้วยอิฐใหญ่โตมาก แถมยังขี่จักรยานราคา 200 หยวนไปทั่วหมู่บ้านทุกวันด้วย”
“บ้านของเราจน เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว..ใครจะกล้าไปขัดแย้งกับพวกเขาล่ะ พี่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน แต่ฉันกับแม่ยังอยู่ที่นี่นะ”
เซี่ยวเสวี่ยเห็นหล่อนพูดอย่างจริงใจไม่เหมือนกำลังโกหก
“ตระกูลเย่รวยแล้วยังไง? บ้านอิฐก็ไม่ได้มีค่าอะไรนักหนา สังคมนี้ไม่ได้อาศัยแค่เงินหรอก แต่อาศัยเส้นสายต่างหาก!”
“พี่เขยของเธอในอนาคตจะเป็นคนของสำนักงานเกษตร เขาจะได้ติดต่อกับพวกคนใหญ่คนโต ซึ่งดีกว่าพวกเขามากนัก”
เซี่ยวเยว่เห็นด้วย “ใช่ๆๆ ครอบครัวของเย่เสี่ยวจิ่นไม่มีทางมีใครเก่งขนาดนั้นได้หรอก พวกเรายังมีโอกาสเอาคืนพวกเขาอีกเยอะ”
เซี่ยวเสวี่ยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ ให้เซี่ยวเยว่เอาผ้าขนหนูร้อนประคบหน้าให้
“โอ๊ย! เบาๆ หน่อย! เจ็บนะ!”
เซี่ยวเยว่ทำปากเบ้ “ได้ๆ ฉันจะเบามือลง…”
ส่วนทางด้านเย่จื้อผิงกับเย่ฉางอันสองพ่อลูกกลับมาถึงบ้านแล้ว
ทั้งสองคนต่างรู้กันว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่หลี่ชุ่ยชุ่ยสังเกตเห็นว่าบรรยากาศระหว่างพ่อลูกดูแปลกๆ ไป
“พวกคุณสองคนเป็นอะไรไป? เหมือนนกหัวโตสองตัวโดนน้ำค้างแข็งซัดเข้าให้อย่างนั้นแหละ?”
เย่จื้อผิงโบกมือไปมา “กระหายน้ำ ไปดื่มน้ำหน่อย”
“ผมก็เหนื่อยแล้ว ขอไปพักสักครู่”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกสงสัย กระซิบกับเย่เสี่ยวจิ่น “ลูกดูพวกเขาสิ ไม่รู้สึกว่าแปลกเหรอ?”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหัว “ไม่นี่คะ ก็ปกติดีนะ”
เธอเล่นกับสิ่งของในมือ
ช่วงนี้ที่บ้านยุ่งมาก
เย่ฉางอันต้องขี่จักรยานบรรทุกสตรอว์เบอร์รีไปขายในเมืองทุกสองวัน
ฤดูกาลนี้สตรอว์เบอร์รีขายได้ไม่ค่อยดีแล้ว เพราะผลไม้อื่นๆ ก็เริ่มมีมากขึ้น
ราคาจึงลดลงเหลือห้าเหมาต่อหนึ่งชั่ง
ช่วงนี้ก็หาเงินได้กว่า 20 หยวน
ตอนนี้ทรัพย์สินรวมของครอบครัวมีถึง 140 หยวนแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นเดินไปที่เล้าไก่และเล้าเป็ด มองดูไก่และเป็ดข้างใน อดกลืนน้ำลายไม่ได้
เย่จื้อผิงเดินมาลูบหัวเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า ขิงในบ้านเราครบกำหนดถอนได้แล้ว คืนนี้พ่อจะทำเป็ดผัดขิงให้กินดีไหม?”
“เราจะฆ่าตัวที่ใหญ่ที่สุดนี่ หนักอย่างน้อย 4 ชั่งกว่าๆ ลูกดูสิ อ้วนมากเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นอยากกินมานานแล้ว แต่พ่อแม่ไม่ค่อยกล้ากิน เธอก็เลยไม่กล้าพูด
อย่างไรก็ตาม ที่บ้านยังมีเนื้อตากแห้งและไข่ไก่ที่กินได้อยู่
“พ่อ ทำไมล่ะคะ? วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษอะไรนี่”
เขารู้ว่าวันนี้เย่เสี่ยวจิ่นถูกรังแกในหมู่บ้าน
เธอเป็นเพียงเด็กน้อย จะไม่รู้สึกเสียใจได้อย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับคำตำหนิของผู้ใหญ่
เขารู้ว่าเย่เสี่ยวจิ่นเป็นเด็กดีที่รู้ความและว่านอนสอนง่าย
ดังนั้น เขาจึงอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้วันนี้ของเธอเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“จิ่นเป่าไม่อยากกินเป็ดหรอกหรือ? วันนี้พ่อกลับมาเร็ว ยังทันฆ่าเป็ดได้”
เขาตบบ่าเล็กๆ ของเย่เสี่ยวจิ่นเบาๆ พลางปลอบโยนเธอว่า “ถ้าฆ่าตอนนี้ เดี๋ยวก็เอาไปผัดได้แล้ว หอมมากเลยนะ”
“แม่ไปถอนขิงมาแล้ว พี่สาวเสี่ยวเยว่กำลังปอกเกาลัดอยู่”
“คืนนี้เรากินเป็ดผัดขิงกับเกาลัดกันดีไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นรีบพยักหน้าทันที “ดีค่ะ ดีค่ะ ในที่สุดหนูก็ได้กินเป็ดแล้ว!”
“พวกเรากินรอบนี้แล้วก็เลี้ยงอีกรอบ แบบนี้เราก็จะได้กินเป็ดตลอดเลยนะ”
“พ่อคะ พ่อว่าความคิดของหนูถูกไหม?”
“โอ๊ย จิ่นเป่า มากพอแล้วล่ะ” เย่จื้อผิงเกาหัวอย่างอดไม่ได้ “จูเฉ่านี่มันไม่ได้มีเยอะพอเลี้ยงได้ขนาดนั้นนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะ จริงๆ แล้วแค่ให้อาหารล้วนๆ ก็พอเลี้ยงเป็ดได้ถึงห้าสิบปีแล้ว
เธอสงสัยว่าระบบมักจะเติมอาหารสัตว์เองอยู่เสมอ
แบบนี้เธอก็อัปเกรดเป็นเจ้าของฟาร์มขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว
เย่จื้อผิงลงมือทันที เขายกเป็ดตัวที่ใหญ่และขาวที่สุดในเล้าขึ้นมา
“เป็ดตัวนี้หนักจังเลย มันกินอาหารไปเท่าไหร่กันนะ? จิ่นเป่า ลองจับดูสิ เนื้อล้วนๆ เลย”
ดวงตาของเย่เสี่ยวจิ่นเป็นประกายวาววับ “ดีเลย หนูจะกินขาเป็ดอวบๆ!”
“ได้เลย ขาเป็ดทั้งสองข้างใหญ่พอให้จิ่นเป่ากินหมดเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นดีใจมาก “ช่างเถอะ หนูกินแค่ขาเดียวก็พอ แค่ขาเดียวก็พอแล้ว”
“ไม่ได้หรอก ต้องให้จิ่นเป่ากินทั้งสองขาสิ” เย่จื้อผิงชี้ไปที่ขาเป็ด “ส่วนที่อร่อยที่สุดของเป็ดตัวนี้ ต้องให้จิ่นเป่าของเรากินทั้งหมด”
เย่เสี่ยวจิ่นเม้มปาก รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หลิวเยว่ที่อยู่อีกด้านได้ยินเย่จื้อผิงกำลังแหย่เย่เสี่ยวจิ่นให้อารมณ์ดี อดไม่ได้ที่จะมองด้วยสายตาอิจฉา
เย่จวินย่อตัวลงข้างๆ หล่อน ช่วยกันปอกเกาลัด “เสี่ยวเยว่ วันนี้จิ่นเป่าถูกรังแก พวกเราพูดอะไรก็ต้องเอาใจหล่อนหน่อยนะ”
“อย่าได้พูดถึงเรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวเด็ดขาด และก็อย่าพูดถึงเรื่องในอำเภอด้วย”
หลิวเยว่พยักหน้า “วางใจเถอะ ฉันรู้”
เย่จวินมองเย่เสี่ยวจิ่นกำลังเล่นกับเป็ดพร้อมกับเย่จื้อผิง
เขาละสายตากลับมามองหลิวเยว่ “ครอบครัวเรามีลูกสาวคนเดียว พ่อกับแม่จึงตามใจจิ่นเป่ามาก”
“หล่อนร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนนั้นครอบครัวเรายากจน จิ่นเป่าเลยผอมแห้งและป่วยบ่อย ฉันได้ยินมาว่าโรคปอดของหล่อนก็เกิดจากการเป็นหวัดแล้วไม่ได้รักษาทันท่วงที จนลุกลามกลายเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรัง”
เย่จวินพูดพลางมีแววรู้สึกผิดในดวงตา “พวกเราทุกคนรู้สึกผิดต่อจิ่นเป่า”
หลิวเยว่เข้าใจแล้ว “ต่อไปก็ชดเชยให้หล่อนให้ดีก็แล้วกัน วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล อีกอย่าง จิ่นเป่าเป็นเด็กฉลาดมากจริงๆ น่ารักมาก”
หลิวเยว่อดคิดถึงเรื่องในอนาคตไม่ได้ ยิ้มน้อยๆ “ต่อไปจิ่นเป่าต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่มีโชคดีแน่นอน”
เย่จวินปอกเกาลัดหลายลูก วางลงในชาม “น้องสามบอกว่าถ้าสอบได้ทะเบียนบ้านในเมืองแล้ว จะพาน้องสาวไปอยู่ในเมือง ให้เป็นสาวเมืองเลย”
หลิวเยว่หัวเราะตาม “ดีสิ ปล่อยให้นายอยู่ในหมู่บ้านเป็นชาวนาคนเดียวเลย”
เย่จวินก้มหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันกลับรู้สึกว่าทำนาก็ดีนะ ฉันชอบทำนามาก ให้ทำอย่างอื่นฉันก็ทำไม่เป็นหรอก”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้สังเกตเลยว่าทุกคนในครอบครัวต่างพยายามปกป้องความรู้สึกของเธอ
ความจริงแล้ว… เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเธอจึงไม่ทันสังเกตว่าครอบครัวของเธอตั้งใจหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ครอบครัวนี้ดีจังเลย มีปกป้องความรู้สึกของลูกด้วย ถ้าเป็นครอบครัวอื่นก็คงได้แต่ชวนกินข้าวอย่างเดียว แต่ไม่ระวังคำพูดว่าจะกระทบใจลูกไหม
ไหหม่า(海馬)