ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 133 แผนการเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นของใครกันแน่
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 133 แผนการเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นของใครกันแน่
บทที่ 133 แผนการเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นของใครกันแน่
……….
บทที่ 133 แผนการเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นของใครกันแน่
ช่วงบ่าย
เย่จื้อผิงกลับมาจากสวนผลไม้ก่อน
เขาล้างถั่วฝักยาวและบวบ ใช้เศษกระเบื้องขูดเปลือกบวบ ส่วนถั่วฝักยาวก็วางไว้ในอ่างข้างๆ
ตอนที่เย่เสี่ยวจิ่นเอาลูกพลับกลับมาบ้าน เย่จื้อผิงก็กำลังก่อไฟต้มน้ำมันหมูอยู่พอดี
“จิ่นเป่า ลูกกลับมาพอดีเลย ช่วยเอาบวบมาให้พ่อหน่อย อยู่ในอ่างน้ำนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นรับคำ “ได้ค่ะ”
“เอาถั่วฝักยาวมาด้วยไหมคะ?”
“ได้! เอามาทั้งหมดเลย ระวังเศษกระเบื้องด้วย มันบาดมือแล้วจะเจ็บนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นวิ่งไปหยิบผัก แล้วมองดูเศษกระเบื้องที่ใช้ขูดบวบ
“เอ๊ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นรีบมองอย่างรวดเร็ว ในสมองมีเสียง “ติ๊ง” ดังขึ้น
เธอกะพริบตาปริบๆ ไม่น่าเชื่อ…
ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้นะ?
เย่จื้อผิงเห็นเย่เสี่ยวจิ่นยืนนิ่งไม่ยอมเอาของมาให้สักที เขาจึงเดินออกไปดู พบว่าเธอกำลังถือเศษกระเบื้องชิ้นเล็กๆ ไว้ พร้อมทำหน้าเจ็บปวด
“จิ่นเป่า พ่อบอกแล้วว่าอย่าเล่นเศษกระเบื้อง”
“คุณพ่อคะ เศษกระเบื้องนี้คุณพ่อได้มาจากไหนคะ? ไม่ได้ทุบขวดให้แตกเพื่อเอามาใช้หรอกใช่ไหมคะ?” เย่เสี่ยวจิ่นมองเย่จื้อผิงอย่างไม่อยากเชื่อ “พ่อไม่ได้…เอามาใช้ขูดบวบ…”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่อยากคิดต่อไปอีก
“ไม่ใช่หรอก นี่เป็นแค่ของที่เก็บได้จากลำธารหรืออาจจะเป็นสระน้ำก็ได้…”
เย่จื้อผิงส่ายหัว “จำไม่ได้แล้ว มันก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไรนี่”
“เลิกเล่นได้แล้ว พ่อไม่คุยแล้ว กระทะไหม้หมดแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งยอง ๆ ลงบนพื้น พินิจดูเศษเครื่องปั้นดินเผาอย่างละเอียดใต้แสงแดด
พื้นสีขาว มีลวดลายสีฟ้าอยู่ด้านบน
เมื่อมองอย่างละเอียดก็เห็นว่ามีความประณีตมาก
พอสัมผัสเศษเครื่องกระเบื้องลายครามชิ้นนี้ ความรู้มากมายก็ผุดขึ้นมาในสมอง
“แต่เดิมคิดว่าทักษะการประเมินโบราณวัตถุขั้นต้นคงต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีถึงจะได้ใช้”
“ไม่คิดว่าจะได้ใช้เร็วขนาดนี้”
เธอวางชิ้นส่วนเครื่องลายครามเคลือบลงในน้ำ แล้วลูบคางพึมพำว่า “ดูเหมือนว่าหมู่บ้านชงเทียนแห่งนี้จะไม่ได้ปราศจากโบราณวัตถุเสียทีเดียว”
“ถ้ามีเครื่องลายครามโบราณแบบนี้ได้ ก็น่าจะมีของสะสมมีค่าอื่นๆ หลงเหลืออยู่ด้วย”
ตอนอาหารเย็น
บนโต๊ะมีผัดผักกูดดองเค็ม ผัดบวบกับกากหมู และถั่วแขกผัดเนื้อ
ช่วงนี้อากาศร้อน อาหารแบบนี้ดูสดชื่น ทำให้กินข้าวได้อร่อยทีเดียว
เย่เสี่ยวจิ่นอุ้มชามข้าว กินอย่างเอร็ดอร่อย
บวบมีรสหวานสดชื่น ผสมกลิ่นหอมของกากหมูที่เจียวจนกรอบ น้ำซุปก็ข้นเหนียว
เมื่อราดลงบนข้าวก็ทำให้ข้าวดูน่ากินและชุ่มฉ่ำขึ้น
ผักกูดดองเค็มมีรสเข้ากันดีกับข้าว กลิ่นหอมเฉพาะตัวของผักกูดดองเค็มทำให้น้ำลายสอ
เย่เสี่ยวจิ่นกินข้าวไปหนึ่งชาม แล้วก็ตักเพิ่มอีกหนึ่งชาม
เมื่อเธอกินเสร็จ กัวชิงซงก็มาพอดี
“จิ่นเป่า กินข้าวเสร็จหรือยัง?”
เย่เสี่ยวจิ่นล้างหน้าเสร็จแล้วตอบว่า “ลุงกัว พอดีกินเสร็จแล้วค่ะ เชิญนั่งค่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรินน้ำชาให้กัวชิงซง “นั่งสิคะ มีถั่วลิสงกับเมล็ดแตงโมด้วยนะคะ”
กัวชิงซงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องเอามาให้ผมหรอก”
“ผมมีเรื่องจะมาคุยกับจิ่นเป่าน่ะ ดื่มแค่น้ำชาก็พอแล้ว คุยเสร็จก็จะกลับ ไม่งั้นฟ้ามืดจะมีงูออกมา เดินทางลำบาก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้ารับ แล้วให้พวกเขานั่งในห้องรับแขก
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้ “มีอะไรหรือคะลุงกัว? ที่ลุงอุตส่าห์มาถึงที่นี่ คงเป็นเรื่องโครงการเลี้ยงปลาในนาข้าวไม่ราบรื่นใช่ไหมคะ?”
“หนูรู้ได้ยังไง?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อยๆ “ช่วงสองวันนี้ก็มีแค่เรื่องนี้ ถ้าทุกอย่างราบรื่น ลุงก็คงจะดีใจกว่านี้ แต่ดูคุณลุงหน้าบึ้งตึงแบบนี้ คงมีปัญหาอะไรแน่ๆ”
“เล่าให้หนูฟังหน่อยสิคะ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก เรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวนี่หนูก็แค่เห็นมาจากความฝันเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดค้นขึ้นมาเองหรอก บางทีหนูอาจจะแค่เห็นเหตุการณ์ในอนาคตก็ได้นะคะ”
กัวชิงซงถูกเธอหยอกเล่นแบบนั้น ก็ยิ้มออกมา “เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก”
เขาเล่าเรื่องที่เหอชุนเซิงทำให้ฟัง
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มจางลงเล็กน้อย ครุ่นคิดสักพัก “เขาทำเป็นไม่สนใจต่อหน้า แต่ลับหลังกลับตั้งใจเรียนรู้สินะ”
คนในตระกูลเย่ได้ยินสิ่งที่กัวชิงซงพูดแล้วต่างก็รู้สึกโกรธ โดยเฉพาะเย่จื้อผิง
“ไอ้เหอชุนเซิงนี่มันสารเลวจริงๆ ก่อนหน้านี้มาที่สวนผลไม้ ดูถูกจิ่นเป่า แต่ลับหลังกลับมีหน้ามาทำแบบนี้”
“ฉันนึกว่าเขาเป็นคนมีการศึกษา ที่ไหนได้ดูถูกพวกเราแบบนี้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นด้วย สีหน้าแสดงความกังวลเล็กน้อย “เรื่องนี้…มันวุ่นวายจริงๆ”
“ทั้งๆ ที่จิ่นเป่าเป็นคนเสนอเอง แต่พอถึงเวลานั้น คนระดับบน…จะไม่คิดว่าพวกเราตั้งใจขโมยวิธีของเหอชุนเซิงหรอกเหรอ?”
“นั่นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจิ่นเป่าของพวกเราไหม?”
กัวชิงซงยิ้มขื่น
ถ้าไม่ใช่เพราะกระทบชื่อเสียง หลินเจียคงไม่มาเตือนโจวเซียวด้วยตัวเองหรอก
เห็นได้ชัดว่าคิดว่าโจวเซียวถูกคนอื่นใช้ประโยชน์
“เรื่องนี้พวกเราจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอนว่าต้องหาวิธีเปิดโปงเหอชุนเซิง”
“เขาไม่ยอมลงทุนเองแม้แต่เฟินเดียว แต่กลับได้รับเงินอุดหนุนจำนวนมาก”
กัวชิงซงพูดขึ้นด้วยความโมโหอัดอั้นตันใจ
เขาและผู้ใหญ่บ้านต่างหวังว่าจะได้รับการประเมินในระดับดีเยี่ยมจากโครงการปลาในนาข้าวนี้
แต่ไม่คิดว่า…จะถูกแย่งชิงไป!
แถมยังถูกแทงข้างหลังอีกต่างหาก
“ลุงกัว อย่าโกรธไปเลยนะคะ” เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ของปลอมไม่สามารถแทนที่ของจริงได้หรอก ถึงแม้โครงการเลี้ยงปลาในนาข้าวจะดูเรียบง่าย แต่ก็มีเคล็ดลับมากมาย”
“หนูอยากให้พวกลุงช่วยหนูอย่างหนึ่ง…”
“จิ่นเป่า เธอว่ามาเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มอย่างมีเลศนัย “ช่วยหนูสมัครแข่งขันกับเหอชุนเซิงหน่อยค่ะ ในเมื่อเขาบอกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ แผนงานก็เป็นของเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเขาใช้ทรัพยากรที่ดีที่สุด ผลผลิตก็ควรจะดีกว่าพวกเราสิ ใช่ไหม?”
“ลุงกัว คุณว่างั้นไหมคะ? จริงหรือเท็จ พอผลผลิตออกมา ทุกอย่างก็จะชัดเจน”
กัวชิงซงคิดสักครู่ แล้วรู้สึกกังวลขึ้นมา “แต่ว่าลูกปลาที่นำเข้ามาในแปลงทดลองของอำเภอล้วนเป็นลูกปลาคุณภาพดีจากในเมือง อีกอย่าง ที่ดินของอำเภอก็ราบเรียบและอุดมสมบูรณ์กว่าที่ดินของพวกเรา”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เขาต้องแพ้อย่างแน่นอนค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นยักไหล่ “รอดูเขาเป็นตัวตลกก็พอแล้ว”
เธอรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างที่ตอนนั้นไม่ได้พูดถึงรายละเอียดทุกแง่มุมออกไป
ใครๆ ก็ลอกเลียนแบบได้ แต่ไม่มีใครเข้าใจหลักการที่แท้จริงเท่าต้นฉบับหรอก
แค่ทำตามอย่างเดียวเหมือนที่เหอชุนเซิงทำก็เป็นเรื่องยากแล้ว
อีกอย่างเธอก็มีสูตรโกงของตัวเองด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเทคนิคเลย…
แม้จะเป็นแค่เรื่องลูกปลา แต่ก็เป็นลูกปลาคุณภาพดีจากระบบ
พอฟ้าสางในวันรุ่งขึ้น
โจวเซียวก็เรียกรถมา พาเย่เสี่ยวจิ่น ซุนจ่างซุ่น และกัวชิงซงไปยังอำเภอด้วยกัน
หลินเจียนั่งอยู่ในสำนักงานของรัฐบาลอำเภอ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
แต่เดิมเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
แต่โจวเซียวไม่ยอมแพ้ ติดต่อหัวหน้ากรมและพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง
สุดท้ายเรื่องนี้ก็ตกมาถึงเขา เขาจึงจำเป็นต้องมาที่ต้าหลีอีกครั้ง
จ้าวกั๋วถ่งรินน้ำเปล่าให้หลินเจีย “คุณหลิน เรื่องนี้ต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ๆ”
“คุณก็รู้ว่า เหอชุนเซิงจบมาจากโรงเรียนอาชีวศึกษา หลังจากนั้นก็ทำงานในอำเภอมาตลอด”
“เขาลงไปที่หมู่บ้านบ่อยๆ ชื่อเสียงดีมาก ทุกปีที่มีโอกาส เขาก็ไปเรียนรู้เทคโนโลยีล้ำสมัยในเมือง”
“อย่าดูถูกเขาเลยนะ ถึงแม้เขาจะไม่เก่งเรื่องการพูดจา แต่เขาเป็นคนมีความสามารถและทำงานอย่างจริงจัง”
หลินเจียถอนหายใจ แล้วยิ้มอย่างจนใจ “อย่างที่เขาว่ากันไว้ ยอมขัดใจคนดีดีกว่าขัดใจคนชั่ว”
“คุณเหอชุนเซิงคงจะไปขัดใจใครในหมู่บ้านเข้า นี่ไง…เลยโดนกลั่นแกล้งซะแล้ว”
“ก็ไม่อาจโทษเขาได้หรอก บางคนก็เป็นโรคอิจฉาริษยา ทนเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้”
“คุณนี่…อย่าไปโทษเขาเลย อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง”
จ้าวกั๋วถ่งพยักหน้ารับ “ผมรู้ครับ แต่วันนี้คนจากหมู่บ้านชงเถียนก็จะมากันทั้งหมด ยังไงก็ต้องมีคำอธิบายสักหน่อย แน่นอนว่าเราก็ต้องให้เขามานั่งคุยกันด้วย”
“เขาถือเป็นคนที่ผมสอนงานมากับมือ ผมย่อมไม่มีทางฟังความข้างเดียวจากคนอื่นอยู่แล้ว”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ จะได้รู้กันว่าเป็นทองทั้งแท่งหรือทองกะไหล่ก็ตอนนี้แหละ
ไหหม่า(海馬)
……….