ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 132 การประชุมที่สำนักงานหมู่บ้าน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 132 การประชุมที่สำนักงานหมู่บ้าน
บทที่ 132 การประชุมที่สำนักงานหมู่บ้าน
……….
บทที่ 132 การประชุมที่สำนักงานหมู่บ้าน
โจวเซียวไม่คิดว่าหลินเจียจะมาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้กับเขา
จิตใจของเขาเริ่มปั่นป่วน เมื่อมองดูหลินเจีย อีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดทุกอย่างที่ต้องการบอกแล้ว
หลินเจียแค่กลัวว่าโจวเซียวจะถูกหลอก
ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึก เขาจึงตั้งใจมาบอกเรื่องนี้กับโจวเซียว
เขากลับไม่คิดว่าโจวเซียวจะดื้อรั้นขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ไม่รีบไปตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่กลับสงสัยในตัวเขาอย่างมั่นใจเช่นนี้
“เรื่องมีเท่านี้แหละ น้องโจว ฉันยังมีธุระ ไม่รบกวนเวลาของเธอแล้ว”
โจวเซียวสงบสติอารมณ์ลง “ลุงหลิน ผมจะบอกความจริงกับคุณ คนที่ให้แผนนี้มายังวิธีใหม่ๆ อีกมากมาย แค่หยิบมาสักอย่างก็เหนือกว่าสิ่งที่เหอชุนเซิงทำได้แล้ว”
“ยุคนี้การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่การศึกษาก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถและคุณธรรมของคนนะครับ”
หลินเจียไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินจากไป
โจวเซียวรู้ดีว่าท่าทีแบบนี้ของหลินเจียนั้นหมายความว่าอย่างไร
แต่เขาก็ได้พูดความในใจออกไปแล้ว ไม่สนใจว่าหลินเจียจะมองเขาอย่างไร
โจวเหวินรุ่ยได้ยินบรรยากาศการสนทนาภายในที่ไม่ค่อยดีนัก
เขารอจนคนเดินออกไปแล้ว จึงเข้ามาจากด้านนอก
“พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” โจวเซียวตบศีรษะของโจวเหวินรุ่ยเบาๆ “นายอยู่เล่นที่บ้านนะ ฉันต้องไปที่หน่วยสักหน่อย”
โจวเซียวสวมหมวกสานใบหนึ่ง แล้วตรงไปหาซุนจ่างซุ่นยังที่ทำการหมู่บ้านทันที
ซุนจ่างซุ่นยังคงอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการหมู่บ้าน กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
ช่วงเที่ยงแบบนี้ เขาจึงมีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์และหนังสือได้
“หัวหน้าหมู่บ้าน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ซุนจ่างซุ่นรีบเชิญโจวเซียวด้วยท่าทางนอบน้อม “นั่งก่อนสิ เป็นเรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวใช่ไหม? มีคำตอบจากเบื้องบนแล้วหรือ?”
กัวชิงซงก็เดินเข้ามาจากข้างนอก “โจวเซียว เป็นเรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวใช่ไหม? เบื้องบนต้องชื่นชมมากแน่ๆ ใช่ไหม? วิธีนี้ดีจริงๆ ไม่แน่นะ ถ้าประกาศออกไปก็อาจได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วย”
ซุนจ่างซุ่นและกัวชิงซงต่างยิ้มออกมา พวกเขามองโครงการนี้ในแง่ดีมาก
โจวเซียวนั่งลงบนเก้าอี้ อดถอนหายใจไม่ได้
“เป็นอะไรไป? ทำไมถึงถอนหายใจล่ะ?” ซุนจ่างซุ่นสงสัยทันที
“วันนี้ลุงหลินมาบอกผมว่าโครงการเลี้ยงปลาในนาข้าวถูกคนอื่นยื่นจดทะเบียนไปตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว”
“หา? เรื่องนี้บังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซุนจ่างซุ่นถึงกับไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือพิมพ์แล้ว “ไม่น่าเป็นไปได้นะ ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อนเลย”
“หรือว่าใครบางคนจะบังเอิญคิดค้นมันขึ้นมาก่อนหน้านี้จริงๆ?”
โจวเซียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นเหอชุนเซิง”
กัวชิงซงเข้าใจทันที ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาจากฝ่าเท้าจนถึงหัวใจ
หัวใจของเขาแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ
“อะไรนะ? เหอชุนเซิง?”
เขาลุกพรวดขึ้นยืน ตาเบิกโพลง “ไอ้เลวนั่น ตอนนั้นมันหลอกพวกเราว่าโครงการเลี้ยงปลาในนาข้าวใช้ไม่ได้ แล้วก็หนีไปในวันเดียวกัน”
“ฉันยังสงสัยว่าทำไมมันถึงหนีไปเร็วนัก ที่แท้ก็ขโมยวิธีเลี้ยงปลาในนาข้าวไปจดทะเบียนนี่เอง”
“ไอ้เดรัจฉานนี่ช่างไม่มียางอายเอาเสียเลย!”
กัวชิงซงกัดฟันกรอด เขาเป็นคนซื่อตรงและเกลียดชังความชั่วร้าย
เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ เขาก็อยากจะไปลากตัวเหอชุนเซิงมาซ้อมสักยกในเดี๋ยวนี้
ซุนจ่างซุ่นถอนหายใจ แล้วตบมือลงบนหัวเข่า “นี่มัน…”
เขามองไปทางโจวเซียว “เราควรทำอย่างไรดี? พวกเราจะเป็นพยานให้จิ่นเป่าได้ไหม เพื่อพิสูจน์ว่านี่เป็นความคิดของหล่อน?”
“เรื่องนี้แต่เดิมไม่เกี่ยวข้องกับเหอชุนเซิงเลย แต่เขากลับเอาไปอย่างหน้าด้านๆ เสียอย่างนั้น”
“เขาช่างเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ถึงขนาดไม่สนใจคุณธรรมเลย”
“ผมว่าเรื่องนี้มันก็พูดยาก” โจวเซียวรู้สึกกังวล “ลุงหลินไม่เชื่อคำพูดของผมเลย ผมจึงไม่รู้ว่าจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“เลยอยากปรึกษาพวกคุณว่าเราควรบอกเรื่องนี้กับจิ่นเป่าดีหรือเปล่า ติดที่หล่อนยังเป็นเด็ก เราจะผลักหล่อนไปอยู่ท่ามกลางพายุก็ไม่เหมาะสม”
กัวชิงซงเดินไปมาพลางกอดอก
“ไม่ เรื่องนี้ต้องให้จิ่นเป่ารู้ หล่อนเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากที่สุด และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับหล่อนอย่างใกล้ชิด เราไม่ควรปิดบังหล่อน”
“คืนนี้ผมจะไปคุยกับหล่อนที่บ้านของหล่อน”
“ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกเราลองคิดหาทางกันดู”
เรื่องนี้ก็คงทำได้แค่นี้
โจวเซียวเดินออกจากที่ทำการหมู่บ้าน ผ่านแปลงทดลองเลี้ยงปลาในนาข้าว
ที่นั่นมีป้ายตั้งอยู่ เขียนด้วยตัวอักษรเรียบร้อยสวยงาม เป็นป้ายที่ซุนจ่างซุ่นมาตั้งด้วยตัวเอง
แปลงทดลองเลี้ยงปลาในนาข้าว ห้ามระบายน้ำ ห้ามใส่ปุ๋ย
กรุณาชมอย่างมีมารยาท ห้ามแตะต้อง
โจวเซียวเดินเข้าไป มองดูปลาตัวเล็กๆ ในแปลงทดลอง
แสงแดดสดใส ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเย็นวาบ
เรื่องนี้ทุกคนต่างมีความคาดหวังและความหวังอย่างมาก
แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุขัดข้องเช่นนี้ขึ้น
เขายืนอยู่สักครู่ แล้วตัดสินใจว่าจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับจิ่นเป่า
ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงอะไร แต่เพียงเพราะไม่อาจปล่อยให้คนอย่างเหอชุนเซิงกลายเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ได้
ถ้าเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ โลกนี้คงไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว!
ปล่อยให้ขโมยที่ไม่รู้อะไรเลยมาขโมยผลงานของคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง
เป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
บ้านของเย่เสี่ยวจิ่นสร้างเสร็จอย่างสวยงาม ช่วงนี้มักจะมีคนมาดูบ้านกันอย่างคึกคัก
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็เตรียมน้ำชาและเมล็ดแตงโมไว้ต้อนรับทุกคนทุกวัน
เล้าเป็ดและเล้าไก่ถูกสร้างใหม่ทั้งหมด กลายเป็นเล้าไก่และเล้าเป็ดขนาดใหญ่ที่ทำจากอิฐ เพียงแต่มีกำแพงกั้นตรงกลาง
อีกด้านหนึ่งยังมีคอกหมู แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เลี้ยงหมู จึงเลี้ยงไก่ไว้ชั่วคราว
“ก๊าบ ๆๆ”
เป็ด 60 ตัวกำลังกระพือปีกอยู่ในเล้า รอการให้อาหาร
หลี่ชุ่ยชุ่ยใส่อาหารเป็ดลงในอ่าง “จิ่นเป่า บ้านรุ่ยเป่าส่งเป็ดมา 30 ตัว จนเราจะไม่มีที่เลี้ยงแล้ว”
“เป็ด 60 ตัว แต่ละตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีหมด ช่างดีจริงๆ”
ใบหน้าหล่อนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข “บ้านเรามีไก่กับเป็ดครบหมดแล้ว แถมข้าวในนาน้ำก็เพิ่งได้รับปุ๋ยเมื่อไม่กี่วันนี้”
“แต่แม่ไม่กล้าปล่อยเป็ดออกไป กลัวว่าจะไปรบกวนต้นข้าว”
“แม่ คอกหมูใหญ่ตรงนี้ เดี๋ยวเราเลี้ยงหมูเพิ่มอีกสองตัวนะ” เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางเกาะอยู่ข้างคอกหมูที่ก่อด้วยอิฐ เธอยิ้มแย้มพูดต่อ “จากนั้นเราก็ต้องมีไก่ เป็ด หมู วัว ให้หมดเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดขำไม่ได้ ถามว่า “เลี้ยงหมูเลี้ยงวัวเองทำไมล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
หมูก็แน่นอนว่าเอาไว้กิน ส่วนวัวเอาไว้ไถนา
แต่ตอนนี้ยังไม่ได้แบ่งที่นา เดี๋ยวต่อไปก็คงจะได้แบ่งกัน
เย่เสี่ยวจิ่นหยิบอาหารไก่ขึ้นมากำหนึ่ง โยนลงไปในเล้าไก่ “ไก่น้อย กินให้อ้วนๆ นะ”
เย่จื้อผิงแบกจูเฉ่าหาบหนึ่งกลับมา
สองสามวันนี้ขาของเขาดีขึ้นมาก ไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงแล้ว
“จูเฉ่านี่ขึ้นดีจริงๆ พ่อเห็นในป่าไผ่มีจูเฉ่าเยอะมากเลย ใช้เวลาตัดแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้มาตั้งเยอะแยะ”
“พ่อจำสถานที่นั้นได้แล้วนะ ต่อไปจะไปหาของในหุบเขานั้นบ่อยๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มตาหยี “ดีเลยค่ะ พ่อหาจูเฉ่ามาได้พอดี อาหารไก่กับเป็ดกำลังจะหมดแล้ว”
“ตอนนี้ไก่กับเป็ดตัวโตขึ้นแล้ว กินจุมากเลยนะคะ”
“พอถึงเดือนมิถุนายน เราจะได้ผัดเป็ดกินแล้ว”
เธอถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น
บวบในสวนหลังบ้านก็ออกผลมากมาย ดูอ่อนนุ่มน่ากิน
“คืนนี้เรากินบวบอ่อนสักลูกไหมคะ?”
“บวบผัดหมูสับ ต้องหอมแน่ๆ เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตอบตกลง แล้วพูดกับเย่จื้อผิงว่า “ดูจิ่นเป่าสิ เป็นแมวตะกละตัวน้อยจริงๆ เลยนะ”
เย่จื้อผิงรักลูกสาวมาก “พ่อจำได้ว่ายังมีมันหมูอยู่บ้าง เอามาทอดให้กรอบ ทำเป็นกากหมู”
“ของนั่นผัดกับบวบแล้วหอมอร่อยสุดๆ เลยล่ะ”
“ป้าเจวียนของเธอยังส่งถั่วแขกมาให้อีกนิดหน่อย คืนนี้เราจะผัดกับหมูสับกิน”
เย่เสี่ยวจิ่นอดกลืนน้ำลายไม่ได้ “งั้นคืนนี้หนูต้องกินข้าวเพิ่มอีกสองชามแน่ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หาทางฟ้องคนลอกโครงการเลยค่ะ ให้พิสูจน์ความจริงด้วยว่าโครงการนี้ใครคิดกันแน่
ไหหม่า(海馬)
……….