ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 131 แผนเลี้ยงปลาในนาข้าวถูกลอกเลียนแบบ
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 131 แผนเลี้ยงปลาในนาข้าวถูกลอกเลียนแบบ
บทที่ 131 แผนเลี้ยงปลาในนาข้าวถูกลอกเลียนแบบ
……….
บทที่ 131 แผนเลี้ยงปลาในนาข้าวถูกลอกเลียนแบบ
เผชิญหน้ากับหลิวต้าเม่ยที่ชี้หน้าใส่ ทั้งยังกล่าวหาว่าร่างกายของหล่อนไม่แข็งแรง สีหน้าของหลี่ชุ่ยชุ่ยก็ไม่สู้ดี
เย่จื้อผิงรีบปกป้องภรรยา “พอเถอะครับ จะโทษชุ่ยชุ่ยไปทำไม? ก่อนหน้านี้ตอนคลอดลูกชายคนอื่นๆ หล่อนก็แข็งแรงดีไม่ใช่หรือ? แค่ตอนคลอดจิ่นเป่า ชุ่ยชุ่ยเจออากาศหนาวแถมต้องทำงานทุกวันเท่านั้น อย่าว่าแต่จิ่นเป่าจะป่วยเลย ตัวหล่อนเองก็ยังปวดขาเป็นบางครั้งอยู่ตลอด”
หลิวต้าเม่ยมองคนออก เห็นเย่จื้อผิงปกป้องหลี่ชุ่ยชุ่ยเช่นนั้น นางก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว
อาหารกลางวันถูกทำออกมาอย่างหรูหรา
ทุกคนมากันแล้ว
เย่ไฉกุ้ยและเย่จื้อเฉียงนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนต่างรู้สึกอิจฉาริษยา
โดยเฉพาะเย่ไฉกุ้ย เขามองบ้านหลังงามหลังนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเลย
ส่วนเย่ว่านหยวนกลับมองซ้ายมองขวา แล้วพูดกับเซี่ยหลินผู้เป็นภรรยาว่า “เดี๋ยวรอพ่อแม่ของผมทำงานหนักหน่อยนะ ต่อไปจะได้สร้างบ้านแบบนี้ให้พวกเราบ้าง”
พูดพลางลูบท้องของเซี่ยหลิน “ใช่ไหมเจ้าลูกชาย?”
เซี่ยหลินตีมือเขาเบาๆ “กินข้าวไปสิ”
เย่ว่านหยวนนั่งไขว่ห้างสั่นขาไม่หยุด
เนื่องจากคนเยอะ จึงแบ่งนั่งเป็นสองโต๊ะ
เย่ว่านหยวนเห็นหลิวเยว่กับเย่จวินนั่งอยู่ตรงข้ามตัวเอง เขาก็เริ่มอดใจไม่ไหว
“น้องชาย เมื่อไหร่แกจะแต่งงานล่ะ? ดูพี่ชายแกสิมีลูกแล้ว เก่งใช่ไหมล่ะ แกก็อย่าช้าเกินไปนะ”
เย่จวินมองหลิวเยว่แวบหนึ่ง แล้วเลือกที่จะไม่พูดอะไร
หล่อนยังเป็นสาวโสด ยังไม่ได้แต่งงาน การที่เขารับปากเรื่องแบบนี้ไปก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิง
“โอ้โฮ ดูท่าเย่จวินจะขี้อายนะ ต้องเป็นไก่อ่อนแน่เลย ฮ่าๆๆ”
“หลิวเยว่ เธอนี่ได้ของดีจริงๆ ถึงฉันจะไม่สนใจเธอ แต่เย่จวินเป็นคนดีนะ รูปร่างแข็งแรงแบบนี้ อีกสามปีมีลูกสองคนได้สบายๆ แน่”
หลิวเยว่ขมวดคิ้ว มองเย่ว่านหยวนอย่างไม่พอใจ
ทุกคนล้วนปกติดี มีแต่เขาที่พิลึกคน พูดจาไม่รู้จักอาย!
“คุณคิดมากเกินไปแล้ว”
“เธอเป็นอะไรอีกล่ะ ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือไง? การมีลูกด้วยกันระหว่างชายหญิงน่ะเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดแล้ว”
“เธออย่าได้หลอกน้องชายของฉันเชียว อย่าปฏิเสธเขานะ”
“เขาเป็นคนซื่อสัตย์นะ!”
เย่เสี่ยวจิ่นขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม
“พี่นี่หน้าด้านจริงๆ เลย กลับบ้านไปค่อยพูดไม่ได้หรือไง? ทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ ไม่อายคนอื่นเขาบ้างเหรอ?”
“ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ดูเธอสิจิ่นเป่า นิสัยแย่จริงๆ ต่อไปใครจะกล้าแต่งงานกับยัยเสือร้ายอย่างเธอล่ะ?”
“พี่คิดว่ามันตลกมากเหรอ?” เย่เสี่ยวจิ่นมองหน้าเย่ว่านหยวน “หนูสงสัยเหลือเกินว่าในสมองพี่คงมีแต่แป้งเปียกละมั้ง เขย่าทีคงมีแต่เสียงน้ำดังกระฉอกแน่ๆ อ้อ ก็ไม่แน่นะ บางทีอาจจะเป็นไขมันทั้งหมดก็ได้ เพราะดูเหมือนหมูอ้วนตายซากซะขนาดนั้น”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่สนใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เธอด่าเขาตรงๆ แบบนี้
สีหน้าของเย่ว่านหยวนและเซี่ยหลินเปลี่ยนไปทันที
เซี่ยหลินกุมท้องพลางชี้หน้าเย่เสี่ยวจิ่น “เธอหมายความว่ายังไง? เป็นแค่น้อง มีสิทธิ์อะไรมาด่าพี่ชายเธอแบบนี้?”
“พ่อแม่ของเธอไม่สอนให้เธอรู้จักมารยาทเลยหรือไง? ไม่มีระเบียบวินัยเอาซะเลย!”
“พวกเรามากินข้าวที่บ้านเธอก็เพื่อให้เกียรติพวกเธอนะ อย่าคิดว่าพวกเธอเก่งกาจอะไรมาจากไหนล่ะ”
ทุกคนได้ยินเสียงทะเลาะกัน ต่างก็ลุกขึ้นยืน
หลิวต้าเม่ยเห็นเซี่ยหลินหญิงต่ำช้านั่นกล้าชี้หน้าด่าเย่เสี่ยวจิ่น นางก็โมโหขึ้นมาทันที
อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยให้เกียรติเซี่ยหลินอยู่แล้ว อย่างน้อยตอนนี้นางยังนับถือเย่เสี่ยวจิ่นอยู่
หญิงม่ายคนนี้ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน ทำให้ครอบครัวของพวกเขาต้องขายหน้าไปหมด
ตอนนี้กลับกล้ามาอวดดีที่นี่อีกหรือ?
สมดังที่ว่าญาติสนิทย่อมต่างจากญาติห่างๆ ถึงอย่างไรลูกสะใภ้ก็เทียบไม่ได้กับหลานสาวแท้ๆ
หลิวต้าเม่ยเดินมาที่โต๊ะ “จิ่นเป่า เกิดอะไรขึ้น?”
เย่เสี่ยวจิ่นแค่นเสียง “คุณย่า พี่ว่านหยวนพูดจาลามกต่อหน้าเด็กๆ ที่นี่ค่ะ พอหนูบอกว่าเขาไร้ยางอาย พวกเขาก็พากันด่าหนู”
ญาติๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน
“ไอ้ว่านหยวนนี่มันโง่เหมือนหมู ไปยุ่งกับหญิงม่าย คิดว่าตัวเองเก่งอีกหรือ?”
“ทำให้ตระกูลเย่ขายหน้าไปหมดแล้ว ยังกล้ามาพูดลามกอีก”
“ช่างไม่มีสมอง ไม่รู้จักอายเลย”
หลิวต้าเม่ยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้าง นางก็ยกมือขึ้นฟาดลงบนแขนของเย่ว่านหยวนอย่างแรง
“ไอ้หลานเวร พาเมียแกไปให้พ้นๆ อย่ามายืนขวางหูขวางตาคนอื่นให้เป็นเสนียดจัญไรแถวนี้! ไม่อับอายขายหน้าบ้างเลยหรือไง!”
หลิวต้าเม่ยเอามือเท้าสะเอว จ้องมองเซี่ยหลินอย่างดุดัน “ชิ! กระทั่งแม่ม่ายก็กล้ามาด่าหลานสาวของฉัน นังตัวขาดทุนที่ไม่มีใครเอา ไร้ยางอาย! นังชั้นต่ำที่ชอบยั่วผู้ชาย!”
หลิวต้าเม่ยไม่พอใจพวกเขาทั้งสองคนมานานแล้ว จึงสบถด่าออกมาอย่างหยาบคาย
เซี่ยหลินรู้สึกปวดท้องเป็นระยะๆ “คุณ…ฉันกำลังท้องอยู่นะ ถ้าลูกของฉันเป็นอะไรไป พวกคุณจะต้องเสียใจ!”
เย่ว่านหยวนถูกทำร้ายจนพูดไม่เป็นภาษา เขากุมแขนที่เจ็บปวดพลางพูดว่า “อย่าพูดอะไรอีกเลย พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
เย่ไฉกุ้ยและเซี่ยวเฟินฟางต่างก้มหน้างุด
ทั้งสองคนไม่มีอารมณ์จะกินข้าว จึงหางจุกก้นหลบออกไปอย่างน่าอาย
หลิวเยว่เห็นภาพนั้นแล้วอดขำไม่ได้ ความโกรธในใจก็จางหายไปเกือบหมด
เย่จวินก้มหน้าพูดกับหล่อนว่า “ขอโทษด้วย ว่านหยวนเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูด เขาเป็นแค่คนไม่สำคัญ คุณอย่าไปโกรธเขาเลย”
“พวกเรารู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดี”
หลิวเยว่เม้มปากกินข้าว “ฉันรู้”
หล่อนเหลือบมองเย่จวินแล้วยิ้มให้ “ฉันไม่โกรธหรอก”
เย่จวินจึงวางใจลงและตักน่องไก่ให้เย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่าของพวกเราเก่งจริงๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“หนูแค่พูดไปตามความรู้สึกเท่านั้น”
แต่เมื่อเห็นน่องไก่ชิ้นใหญ่ในชาม เธอก็ไม่เกรงใจ
นี่คือลูกไก่ที่เธอเลี้ยงมา ตอนนี้กลายเป็นเนื้อไก่ในหม้อแล้ว
ช่างหอมจริงๆ!
ตอนเที่ยงทุกคนต่างกินอิ่มและรู้สึกพอใจมาก
ตอนบ่ายพวกเขาก็คุยกันอีกสักพัก ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน
ที่บ้านใหม่ของเย่ไฉกุ้ยก็จัดวางข้าวของของเย่ว่านหยวนและเซี่ยหลินเรียบร้อยแล้ว
เซี่ยหลินกลับถึงบ้านแล้วก็เก็บเสื้อผ้าด้วยความโกรธเกรี้ยว เตรียมจะกลับไปบ้านเกิดแล้ว
“คุณนี่มันผู้ชายไร้ค่า ปกติทำเป็นเก่ง พอเจอเรื่องจริงๆ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม!”
เย่ว่านหยวนค่อยๆ ดึงแขนเซี่ยหลินอย่างระมัดระวัง “โธ่ ผมแค่ทะเลาะกับเย่เสี่ยวจิ่นเอง ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
“คุณเป็นคนนอก จริงๆ แล้วไม่ควรด่าหล่อน แถมคุณยังด่าไปถึงลุงสามป้าสามของผมด้วย ตอนนี้ย่าของผมให้ความสำคัญกับครอบครัวพวกเขามากที่สุด มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ท่านได้ยินแบบนั้นก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา”
เซี่ยหลินโกรธจนตาแดง “ฉันพูดก็เพื่อคุณนะ”
เย่ไฉกุ้ยกับเซี่ยวเฟินฟางกลับมาแล้ว
ทั้งสองคนหิวจนท้องแขวน แต่ในใจกลับอัดแน่นไปด้วยโทสะ
เย่ไฉกุ้ยเอามือเท้าสะเอว ก้มตัวลงเล็กน้อย เหนื่อยใจจนทนไม่ไหว “ว่านหยวน ให้หล่อนกลับไปเถอะ พวกเราจะขอของคืน! ขอแค่ของคืนได้ไหม?”
“ให้สินสอดไปมากมายขนาดนั้น พวกเราไม่เอาเงินคืนแล้ว”
“โชคดีที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส งั้นไม่ต้องเอาลูกไว้ หญิงม่ายคนนี้ก็ไม่ต้องเอา อย่าทำให้ครอบครัวของฉันต้องขายหน้า”
เซี่ยวเฟินฟางก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ถ้าแกยังจะเอาหล่อนไว้ ก็ไปอยู่บ้านหล่อนเลย”
เย่ว่านหยวนมองดูเซี่ยหลิน แล้วหันไปมองพ่อแม่
เขาไม่อยากสละชีวิตสบายๆ ที่พึ่งพาพ่อแม่แน่นอน
แต่เขาก็รักเซี่ยหลินและลูกของเขา
เขาลังเลใจมาก
โดยไม่รู้ตัว ครอบครัวของลูกคนรองที่เคยประสบความสำเร็จที่สุด กลับวุ่นวายอลหม่านทุกวัน และเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของลูกชายสามกลับร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกัน
ชีวิตของพวกเขากลับรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
โจวเซียวทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่สองวัน จนในที่สุดก็เขียนโครงการเสร็จ
ลงชื่อไว้บนหัวกระดาษว่า “หมู่บ้านชงเถียน เย่เสี่ยวจิ่น”
เขาส่งโครงการไปด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม คิดว่าโครงการนี้คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันให้คนในเมืองพิจารณา
โจวเซียวทำงานเสร็จแล้วกลับบ้าน เห็นว่ามีคนกำลังรออยู่ในบ้าน
เป็นคนจากในเมืองนั่นเอง
หลินเจียสวมชุดเรียบร้อย พอเห็นโจวเซียวก็ลุกขึ้นยืน “น้องโจว ฉันมารอเธออยู่พักหนึ่งแล้ว”
“ลุงหลิน? มีอะไรหรือครับ? ได้รับโครงการที่ผมเสนอไปแล้วใช่ไหม? ต้องการให้ผมเรียกคนที่ออกแบบโครงการนี้มาไหมครับ?”
หลินเจียโบกมือ ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม หยิบเอกสารออกมา “ฉันดูโครงการของเธอแล้ว ทุกคนก็ดูแล้ว มันดีมากเลย”
“เสี่ยวโจว ในเมื่อเราสนิทกันมากแล้ว ฉันก็จะไม่ปิดบังอะไรเธอ”
“ถ้าโครงการนี้ถูกส่งมาก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน พวกเราคงจะให้ความสำคัญมาก แต่ว่านะ…”
โจวเซียวได้ยินว่ามีนัยยะบางอย่างแฝงในคำพูดของเขา จึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือครับลุงหลิน พูดตรงๆ เลยครับ”
“ผมเห็นว่าโครงการนี้ดี เลยแนะนำให้ส่งมา ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ ความเป็นไปได้ก็สูงมาก”
หลินเจียเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าโครงการไม่ดีหรอก แต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนมีคนส่งโครงการเลี้ยงปลาในนาข้าวมาแล้ว คนคนนั้นก็บังเอิญมาจากตำบลต้าหลี่ของพวกเธอเหมือนกัน ชื่อเหอชุนเซิง”
“ฉันกำลังคิดว่า จะเป็นไปได้ไหมที่เหอชุนเซิงเสนอแผนนี้ แล้วพวกเธอที่นี่เรียนรู้แล้วทำตาม”
โจวเซียวไม่พอใจทันที “ไม่มีทางเป็นไปได้ครับ ผู้ใหญ่บ้านบอกผมแล้ว นี่เป็นความคิดของจิ่นเป่า และเหอชุนเซิงก็อยู่ที่นี่ในตอนนั้นด้วย เขาแค่แสดงความคิดเห็นคัดค้านเท่านั้น”
“ผมมองว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ!”
หลินเจียเห็นท่าทางของเขาแบบนั้น ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แต่เขาก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก เพราะอย่างไรเสียเหอชุนเซิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านชงเถียนนั้น จะมีความสามารถเสนอแนวคิดแบบนี้ได้อย่างไร?
เขายิ้มแหยๆ อีกครั้ง “ทางที่ทำการอำเภอได้อนุมัติแผนของเหอชุนเซิงไปแล้ว เสี่ยวโจวเอ๋ย เธอควรไปสืบสวนให้แน่ชัด ถ้าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงก็รีบรายงานขึ้นไปโดยเร็ว”
แม้หลินเจียจะรู้ว่าตระกูลโจวมีภูมิหลังไม่ธรรมดา และเป็นคนที่ทางเมืองให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
แต่เขาก็ยังลังเลที่จะเอ่ยปาก “แต่อย่างที่เขาว่ากันไว้ คำพูดดีๆ คำเดียวอุ่นใจสามฤดูหนาว คำพูดร้ายๆ ทำร้ายคนแม้ในเดือนมิถุนา ก่อนที่จะมีหลักฐาน อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นถ้าคำพูดนี้หลุดออกไป…”
“มันก็จะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทั้งเหอชุนเซิงหรือคนที่เสนอแผนนี้ขึ้นมา”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เรื่องใหญ่แล้ว ต้องจัดการคนลอกโครงการให้ได้ไวๆ นะคะ
ไหหม่า(海馬)
……….