ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 126 ย้ายไปอยู่บ้านหยางเจวียน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 126 ย้ายไปอยู่บ้านหยางเจวียน
บทที่ 126 ย้ายไปอยู่บ้านหยางเจวียน
……….
บทที่ 126 ย้ายไปอยู่บ้านหยางเจวียน
หลี่ชุ่ยชุ่ยออกไปทำงานตอนบ่าย ตกเย็นทั้งครอบครัวก็กลับมาดูสถานการณ์
เย่จื้อผิงเห็นแล้วว่าบ้านกำลังก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ
มีคนเดินผ่านมาพูดว่า “จื้อผิง ครอบครัวของนายมีหน้ามีตาจริงๆ ถึงกับสร้างบ้านใหม่ได้”
“พวกเราเลยมาดูความคึกคักหน่อย บ้านอิฐหลังนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน?”
“คงใช้เงินเยอะมากสินะ ดูสิ มีแต่คนในเมืองเท่านั้นแหละที่จะอยู่บ้านแบบนี้ได้”
“เก่งจริงๆ บ้านหลังนี้ต้องออกมาดีแน่ๆ”
เย่จื้อผิงรู้สึกสงสัย “พวกคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? ผมยังไม่ได้บอกใครเลยนะ”
“แม่ของนายไปพูดให้ใครต่อใครฟังว่านายมีหน้ามีตาน่ะสิ ทุกคนก็เลยรู้กันหมดแล้วว่าบ้านนายกำลังสร้างบ้าน”
“ใช่ แล้วก็มองเห็นได้แต่ไกลด้วย”
“เช้านี้ฉันเห็นคนงานมากันเยอะแยะเลย พอมาถึงก็ถามหาบ้านของคุณทันที นี่มันชัดเจนมากเลยนะ”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “พอสร้างบ้านเสร็จ ผมจะเชิญทุกคนมาดื่มชา”
“ดีเลย ถึงเวลานั้นพวกเราจะต้องมาดูแน่นอน”
ทุกคนดูความคึกคักเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกตื่นเต้นในใจ มองดูบ้านที่สร้างโครงเสร็จแล้ว ส่วนฐานก็เทปูนเสริมเหล็กเรียบร้อย
อิฐแดงก็วางซ้อนกันขึ้นมาแล้ว
“เร็วขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ก็จะเสร็จแล้วหรอ?”
“ผมคาดว่าน่าจะใช่ คนงานในเมืองทำงานกันเร็วจริงๆ” เย่จื้อผิงอดที่จะรู้สึกทึ่งไม่ได้ “ทุกคนแบ่งงานกันทำได้คล่องแคล่วเหลือเกิน”
เย่จื้อผิงอดบ่นไม่ได้ “แม่ของผมไปเล่าให้คนอื่นฟังทั่วไปหมดได้ยังไง? วันนี้ท่านไม่ได้อยู่บ้านพี่รองหรอ?”
“แม่คุณมาขอความช่วยเหลือที่บ้านเราวันนี้ แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว”
“ตอนนี้ท่านคิดว่าคุณมีอนาคตที่สดใสกว่า เลยอยากดูแลคุณมากขึ้น”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูด แต่ไม่ได้รู้สึกดีใจกับเรื่องนี้เลย
ที่บ้านของหยางเจวียน
เย่เสี่ยวจิ่นกำลังเล่นอยู่กับหยางลี่ลี่
หยางลี่ลี่พาเย่เสี่ยวจิ่นปีนขึ้นต้นพลับหลังบ้าน “จิ่นเป่า ดูผลสีเหลืองพวกนั้นสิ สุกแล้วดูน่าอร่อยจัง”
“ตอนเก็บระวังตกลงมานะ ต้องระมัดระวังหน่อย ไม่งั้นแม่จะตีฉันตาย”
“ฉันรู้แล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางปีนป่ายบนต้นไม้ เก็บพลับสีเหลืองลูกหนึ่ง
เธอนั่งบนกิ่งไม้แล้วปอกเปลือกกินทันที
พลับลูกนี้อร่อยกว่าพลับทุกลูกที่เธอเคยกินมาก่อน อาจเป็นเพราะมันสุกตามธรรมชาติ
ดังนั้นมันจึงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลไม้ เมื่อปอกเปลือกออก เนื้อด้านในเป็นสีส้มเหลือง รสชาติหวานมาก
“ว้าว อร่อยจังเลย ฉันอยากปลูกที่บ้านบ้างสักต้น”
“ปลูกเลย” หยางลี่ลี่นั่งกินลูกพลับบนลำต้นไม้ด้วย “ต้นนี้พ่อฉันซื้อมาจากในเมือง มันออกผลดกมากทุกปี”
“ปีนี้อากาศหนาว ทุกฤดูกาลเลื่อนไปหนึ่งเดือน”
“ปีที่แล้วไม่มีหิมะตก ปลายเดือนมีนาคมต้นเดือนเมษายนก็กินได้แล้ว”
“แต่ปีนี้ออกผลเยอะเป็นพิเศษ เธอกินเยอะๆ เลย ยังไงก็กินไม่หมด เดี๋ยวนกก็มากินอยู่ดี”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่เกรงใจหล่อน ไม่เพียงแต่กินไปเยอะ ยังเด็ดใส่ถุงไปให้คนที่บ้านกินด้วย
หยางเจวียนเห็นพวกเขาเดินมาจากสวนหลังบ้าน รีบเข้าไปจับตัวหยางลี่ลี่ “ลูกปีนต้นไม้คนเดียวก็พอ อย่าพาจิ่นเป่าขึ้นไปด้วยนะ”
“ร่างกายของจิ่นเป่าไม่แข็งแรงเหมือนลูก ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ป้าชุ่ยชุ่ยของลูกจะเสียใจแย่”
“คราวหลังจะเก็บผลไม้ก็เรียกพ่อมาช่วยเก็บนะ เข้าใจไหม?”
หยางลี่ลี่พยักหน้าอย่างงุนงง “เข้าใจแล้วค่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นหอบผลไม้เข้ามาในบ้าน
“พี่ชาย พี่สาว พวกคุณรีบมากินนี่สิ…”
“ลูกพลับนี่หวานและอร่อยมากเลย”
เย่ฉางอันหยิบลูกหนึ่งมากินอย่างไม่เกรงใจ “จริงๆ ด้วย อร่อยมาก ต่อไปพวกเราก็ควรปลูกสักต้น”
“ปีที่แล้วบ้านเรายังมีต้นลูกพลับอยู่ แต่หิมะตกหนักจนยืนต้นตายไปแล้ว”
“ต่อไปบ้านเราควรปลูกต้นไม้ผลให้มากขึ้นจะดีกว่า”
เย่จวินหยิบลูกพลับส่งให้หลิวเยว่หนึ่งลูก “นายพูดง่าย แต่บ้านเราไม่มีที่ดินพอจะปลูกพวกนี้หรอก”
” จิ่นเป่าปลูกบวบไว้หลังบ้าน ช่วงนี้เติบโตดีมาก แครอทก็เขียวชอุ่มไปหมด”
“เว้นแต่ว่าจะปลูกต้นไม้ไว้หลังห้องน้ำ…”
“นั่นไม่ได้หรอก สกปรกตายเลย” เย่ฉางอันหัวเราะเยาะ “ถ้ามีที่ดินเป็นของตัวเองก็คงดีนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อยๆ “ต้องมีแน่นอน อีกไม่กี่ปีก็จะมีแล้วล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นคิดในใจ ถ้าฉันยื่นเรื่องขอรับผิดชอบผลผลิตเป็นครัวเรือนกับหมู่บ้านล่วงหน้าจะเป็นอย่างไรนะ?
เธอส่ายหน้า คงไม่ได้หรอก
คนเราอาจกล้าได้ แต่ไม่ควรคิดเพ้อฝันเกินไป
เธอวางพลับทั้งหมดลงบนโต๊ะ “พี่ชาย พี่สาว พวกพี่รีบกินเถอะ”
“พี่สาวลี่ลี่บอกว่าถ้าไม่กินให้หมดคืนนี้ มันจะเน่าเสียด้ง่าย”
“ฉันจะเก็บไว้สองลูกให้พ่อกับแม่”
เย่เสี่ยวจิ่นวิ่งออกไปข้างนอก มองดูพระจันทร์บนท้องฟ้า
พระจันทร์เสี้ยวกำลังลอยต่ำ ส่องแสงสว่างให้กับหมู่บ้านยามค่ำคืน
เย่จื้อผิงและหลี่ชุ่ยชุ่ยมาถึงแล้ว
“จิ่นเป่า ทำไมยังอยู่ข้างนอก ไม่เข้าไปนอนในบ้านล่ะลูก?”
“พ่อแม่คะ บ้านสร้างเสร็จหรือยังคะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบหัวลูกสาวแล้วพูดว่า “ใกล้แล้วจ้ะ”
“หนูมีลูกพลับมาให้พ่อแม่กิน หวานมากเลยค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มแย้มพลางยื่นผลไม้ให้พ่อแม่
“พี่ลี่ลี่พาฉันไปเก็บมาเยอะเลย พรุ่งนี้ยังเก็บได้อีกด้วยค่ะ”
“ลูกปีนต้นไม้เก็บเองเหรอ? เก่งจังเลยนะ” เย่จื้อผิงรับลูกพลับมา
“แน่นอนสิคะ หนูปีนเก่งมากเลยนะ” เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามพ่อแม่เข้าบ้าน
หยางเจวียนเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยก็โบกมือเรียก “ชุ่ยชุ่ย มาคุยกันหน่อยสิ”
หยางเจวียนชอบคุยกับหลี่ชุ่ยชุ่ยมาก
ช่วงนี้ทุกคนยุ่งมาก จึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกัน
หลี่ชุ่ยชุ่ยตามหยางเจวียนออกไปนั่งบนม้านั่งข้างนอกคนละตัว
“ชุ่ยชุ่ย ที่ครอบครัวเธอกำลังสร้างบ้านใหม่ เพราะอีกไม่นานเย่จวินก็คงจะแต่งงานใช่ไหม?”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดยังไง” หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเล็กน้อย “ฉันปล่อยให้เขาตัดสินใจเองน่ะ”
“ฉันเห็นว่าครอบครัวเธอดีขึ้นเรื่อยๆ เลย การทำธุรกิจนี่ดีจริงๆ”
“เธอไม่รู้หรอกว่าฉันกลุ้มใจทุกวันเลย หยางจิ่นลูกชายฉันน่ะ…”
“พอผลสอบออกมา ฉันก็โมโหแทบตาย”
หล่อนส่ายหน้า ทำหน้าลำบากใจ “ทำไมผลการเรียนแต่ละคนมันถึงได้ต่างกันขนาดนี้นะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเล็กน้อย “งั้นก็ให้เขาตั้งใจเรียนดีๆ อย่าเล่นมากเกินไปสิคะ”
“ปัญหาคือเขาชอบเล่นนี่แหละ” หยางเจวียนพูดขึ้นมาด้วยความโมโห
แต่เดิมแค่อยากรู้เรื่องบ้านอิฐของหลี่ชุ่ยชุ่ย แต่พอหัวข้อเปลี่ยนไป ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นยืดยาว
หยางจิ่นที่แอบฟังอยู่ในบ้านขยิบตาให้หยางลี่ลี่
“เห็นไหม แม่รู้จักแต่พูดถึงข้อเสียของฉัน ใช่ว่าฉันจะไม่พยายามสักหน่อย”
“ฉันแค่สมองทึบ กรรมพันธุ์ไม่ดีเท่านั้นเอง”
“ถ้าพ่อแม่ให้ฉันเกิดมาฉลาด ฉันก็คงเรียนเก่งเหมือนเย่หวายได้แน่ๆ”
หยางลี่ลี่ครุ่นคิดสักครู่ “ก็พี่ไม่ขยันเอง ถึงให้พี่เกิดมาฉลาด พี่ก็คงไม่ตั้งใจเรียนอยู่ดี”
“พี่ ในเมื่อพวกเราเป็นแบบนี้แล้ว จะไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอีกล่ะ”
“สู้ตั้งใจเรียนให้เต็มที่ในช่วงเดือนสองเดือนสุดท้ายนี้ดีกว่า”
“ถ้าพี่สอบเข้าโรงเรียนไหนไม่ได้เลย พ่อแม่จะต้องตีพี่ตายแน่ๆ!”
หยางจิ่นอดตัวสั่นไม่ได้ “เธอกำลังขู่ฉัน ต่อไปเธอเองก็ต้องเรียนหนังสือเหมือนกัน”
“ฉันไม่เรียนหรอก ฉันจะไปเลี้ยงวัว” หยางลี่ลี่ยืนเท้าสะเอว
แล้วก็ได้ยินเสียงหยางเจวียนจากข้างนอกเปลี่ยนเรื่องพูด
“ลูกสาวของฉันก็ไร้ประโยชน์เหมือนกัน วันๆ เอาแต่เลี้ยงวัวเลี้ยงหมู ไม่มีความสามารถอะไรเลย”
“แต่การจะไปทำงานในฟาร์มหมูหรือฟาร์มวัว ก็ไม่ใช่ว่าอยากไปก็ไปได้เลยนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่รู้จะแนะนำอะไรดี
เพราะลูกๆ ของตนไม่เคยทำให้หล่อนต้องกังวลใจเลย
“พี่ก็อย่าเพิ่งร้อนใจไป บางทีเด็กๆ อาจจะยังอยู่ในวัยชอบเล่นอยู่ก็ได้”
“พอโตขึ้นอีกหน่อยก็จะรู้เรื่องรู้ราวมากขึ้น และเข้าใจถึงความสำคัญของการเรียนหนังสือ”
หยางเจวียนถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง “ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น ดูเย่หวายกับจิ่นเป่าลูกบ้านเธอสิ ช่างดีเหลือเกิน! อยากจะแอบเอาลูกมาแลกกับเธอจริงๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หยางลี่ลี่กับหยางจิ่นที่อยู่ในบ้านสบตากัน
ต่างก็รู้สึกถึงความไม่พอใจอย่างหนักหน่วง
“พี่ชาย ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของพี่ พี่ไม่ได้ขยันเรียนเหมือนพี่เย่หวาย ทำให้พวกเราถูกดูถูก!”
“แล้วทำไมเธอไม่พูดว่าเธอก็ไม่ได้เก่งเหมือนจิ่นเป่าล่ะ?”
“แต่เดิมคิดว่าพวกเขามาอยู่บ้านเรา จะสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้น”
“ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพวกเราถูกเปรียบเทียบกับพวกเขาทุกวันเลย”
หยางจิ่นกุมหน้าอกตัวเอง รู้สึกทรมานอย่างที่สุด
ปัญหาของลูกบ้านอื่นก็คือพวกเขาเก่งเกินไป เขาทำอะไรไม่ได้เลยนี่นา!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาน่า บางทีลูกอาจจะเก่งในทางอื่นอย่างสายอาชีวะที่ไม่ใช่สายวิชาการก็ได้ ไม่ต้องอิจฉาเย่หวายกับจิ่นเป่าหรอก
ไหหม่า(海馬)
……….