ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 125 บ้านอิฐของครอบครัวเย่คนที่สาม
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 125 บ้านอิฐของครอบครัวเย่คนที่สาม
บทที่ 125 บ้านอิฐของครอบครัวเย่คนที่สาม
……….
บทที่ 125 บ้านอิฐของครอบครัวเย่คนที่สาม
เซี่ยวเฟินฟางและเย่ไฉกุ้ยตามหลิวต้าเม่ยไปที่บ้านของเย่จื้อผิง
ขณะอยู่ไกลๆ ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากทางนั้นแล้ว
มีคนกำลังสั่งการให้ทำงาน ส่วนบ้านไม้หลังนั้นก็ถูกรื้อไปเกือบหมด
หลี่ชุ่ยชุ่ยและหลิวเยว่ขนของในบ้านออกมาหมด ก่อนวางไว้ที่ลานหน้าบ้าน เอาของมาปิดคลุมไว้เพื่อไม่ให้เปื้อน
หลิวเยว่ถือของออกมา เห็นเซี่ยวเฟินฟางก็พูดว่า “ป้าหลี่ ทางนั้น…”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นพวกเขาทั้งสามคน
หล่อนชะงักไปครู่หนึ่ง “ช่างชอบดูเรื่องสนุกจริงๆ ไม่สนใจเรื่องบ้านตัวเอง มาที่บ้านพวกเราซะได้”
หลิวเยว่พยักหน้า รู้ดีว่าเย่ไฉกุ้ยกับเซี่ยวเฟินฟางสองคนนั้นเป็นคนแบบไหน
เซี่ยวเฟินฟางเดินมาหาหลี่ชุ่ยชุ่ยด้วยรอยยิ้มกึ่งเยาะหยัน “โอ้โฮ กำลังยุ่งอยู่สินะ?”
“อิฐแดงเยอะแยะขนาดนี้ ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันนะ? พวกเธอนี่รวยจริงๆ”
“ตั้งแต่จิ่นเป่าเป็นหัวหน้าทีม สภาพบ้านก็ดีขึ้นแบบนี้ พวกเธอคงไม่ได้ขโมยเงินของหมู่บ้านมาหรอกนะ?”
“เธอพูดอะไรของเธอน่ะ?” หลี่ชุ่ยชุ่ยขมวดคิ้ว “งั้นเงินบ้านเธอก็ต้องเป็นเงินที่ขโมยมาด้วยน่ะสิ?”
“ฮึ บ้านฉันทำงานหนัก ขยันขันแข็งหาเงินมา ไม่เหมือนพวกเธอหรอก เงินพวกนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่กลัวนอนไม่หลับตอนกลางคืนเหรอ”
“ถ้าจิ่นเป่าของเธอถูกจับไป จะไม่ต้องติดคุกหรือไง?”
เซี่ยวเฟินฟางทนไม่ได้ที่บ้านของหลี่ชุ่ยชุ่ยมีชีวิตที่ดีกว่าบ้านของตัวเอง
มีทั้งอิฐแดง ปูนซีเมนต์ คนงานมากมายกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่
หล่อนเห็นแล้วอิจฉาจนแทบตาย
ทำไมบ้านของเย่เหล่าซานถึงได้เหนือกว่าพวกเขาขนาดนี้? ทั้งๆ ที่ตอนปีใหม่ยังยากจนถึงขนาดต้องกินโจ๊กเหลวๆ อยู่เลย!
“ไฉกุย คุณดูสิ คุณต้องเรียนรู้วิธีหาเงินจากน้องชายสามแล้วนะ ดูสิ แค่สองเดือนกว่าๆ ก็จะสร้างบ้านอิฐได้แล้ว”
“พวกเราคงต้องไปถามผู้ใหญ่บ้านดูแล้วล่ะว่ามันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!”
เย่ไฉกุยและหลิวต้าเม่ยต่างมองดูอย่างเย็นชา ปล่อยให้เซี่ยวเฟินฟางพูดจาประชดประชันอยู่ตรงนี้
โดยเฉพาะเย่ไฉกุ้ยที่ชำเลืองตามองหลี่ชุ่ยชุ่ยด้วยสายตาดูแคลน
ราวกับว่าดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ จึงแค่นเสียงเย็น แล้วพูดว่า “ในเมื่อพูดแบบนี้ งั้นพวกคุณก็ไปถามผู้ใหญ่บ้านดูสิ แล้วตรวจสอบบัญชีดู ถ้าสิ่งที่พี่พูดเป็นความจริง ก็จับพวกเราไปให้หมดเลย”
“ถ้าสิ่งที่พี่พูดเป็นเรื่องโกหก พวกเราก็จะจับพวกคุณ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีคนรับผิดชอบผลที่ตามมา”
หลี่ชุ่ยชุ่ยแต่ก่อนเป็นคนอ่อนแอ ต่อให้ทุบตีเท่าใดก็ไม่มีแรงตอบโต้
ตอนนี้หล่อนได้รับอิทธิพลจากจิ่นเป่า จนมีความกล้าที่จะยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย
พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากครอบครัวของเย่ไฉกุย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทนรับอารมณ์ของพวกเขา
“ใช่แล้ว การใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ในหมู่บ้านต้องมีคนรับผิดชอบ”
หลิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย รู้ว่าจิ่นเป่ามีความสามารถจริง ย่อมไม่กลัวเงาคดของตัวเอง
หล่อนมองไปที่หลี่ชุ่ยชุ่ย “ป้า พวกเราปล่อยให้พวกเขาไปตรวจสอบเถอะ ถึงตอนนั้นคนที่จะถูกวิจารณ์ต่อหน้าทั้งหมู่บ้านก็คือพวกเขาเอง”
เซี่ยวเฟินฟางทำหน้าบึ้งตึง หล่อนไม่อยากถูกวิจารณ์ต่อหน้าทั้งหมู่บ้าน
ไม่คิดเลยว่าหลิวเยว่คนนี้จะกล้าเถียงกับหล่อนแบบนี้
“ดีจริงๆ สมกับคำว่าไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันจริงๆ โชคดีที่ตอนนั้นพวกเราไม่ได้ให้ว่านหยวนแต่งงานกับเสี่ยวเยว่คนนี้”
“ปากพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้ ก็มีแต่พวกแกเท่านั้นแหละที่ทนได้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยจับมือหลิวเยว่ไว้ “เสี่ยวเยว่ นี่แหละที่เขาเรียกว่ากินองุ่นไม่ได้ก็บอกว่าองุ่นเปรี้ยว พวกเราทำงานของเราต่อไปเถอะ ไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะพูดอะไร”
หลิวเยว่พยักหน้าอย่างว่าง่าย หล่อนไม่ได้รับผลกระทบอะไรสักนิด
“ป้า งั้นฉันจะเอาอ่างล้างหน้าข้างในออกมานะคะ”
“ได้ ไปเถอะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองหลิวเยว่เดินไป แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเยว่คนนี้ขยันและรู้ความ แถมยังเป็นสาวใหญ่ที่ยังไม่แต่งงาน”
“อ่านหนังสือและเขียนหนังสือก็ได้ ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่เหมือนกับลูกสะใภ้บ้านพี่สะใภ้รองเลย ยังไม่ทันแต่งงานก็กลายเป็นหญิงม่ายซะแล้ว แถมยังท้องก่อนแต่ง แน่นอนว่าจะต้องให้กำเนิดหลานชายตัวอ้วนพีให้พวกคุณแน่ๆ”
เมื่อเย่ไฉกุ้ยและเซี่ยวเฟินฟางได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่ากินแมลงวันเข้าไปเสียอีก
พวกเขาดูถูกคนอื่นอยู่แล้ว กระทั่งการหาลูกสะใภ้ก็ตั้งใจจะหาคนที่ดีที่สุดเท่านั้น
อย่างน้อยก็ต้องทำให้ตระกูลเย่รองของพวกเขาได้หน้าได้ตา!
ใครจะรู้ว่าเซี่ยหลินคนนี้จะทำให้ครอบครัวของพวกเขาต้องอับอายขายหน้า
ตอนนี้ยังถูกคนเอามาดูถูกพวกเขาอีก!
“ฮ่ะๆ ก็ในเมื่อว่านหยวนของฉันชอบ จะทำยังไงได้ล่ะ?”
เย่ไฉกุ้ยหัวเราะแห้งๆ แต่ในใจรู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่ง
“น้องสะใภ้ พวกเราก็แค่เตือนด้วยความหวังดี ทำอะไรให้พอดีกับกำลังทรัพย์ที่มีเถอะ อย่ามัวหน้าใหญ่ใจโตจนทำให้ครอบครัวพังนะ ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครมาช่วยจัดการความยุ่งเหยิงให้พวกเธอหรอก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเพียงแค่ยิ้มแย้ม ไม่ตอบโต้อะไร
รู้ว่าในที่สุดแล้วพวกเย่ไฉ่กุ้ยก็แค่ไม่อยากเห็นครอบครัวของหล่อนอยู่ดีกินดีกว่าพวกหล่อน
“ฉันไปทำงานก่อนนะ พวกคุณดูไปเรื่อยๆ ตามสบายเลย”
หลิวต้าเม่ยเรียกลูกชายคนรองกับลูกสะใภ้รอง “พวกเธอดูสิ มันเป็นอย่างที่ฉันพูดไว้ไหม?”
“ฉันคาดว่าพวกเขาคงจะแอบหาเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“บ้านที่สร้างขึ้นมาตอนนี้ ต้องหรูหราไม่ธรรมดาแน่ๆ”
หลิวต้าเม่ยคิดพลางกลอกตาไปมา แล้ววิ่งไปประจบหลี่ชุ่ยชุ่ย
“ชุ่ยชุ่ย พวกเธอมีคนทำงานเยอะขนาดนี้ ต้องมีคนทำอาหารด้วยสินะ?”
“วันนี้ฉันว่างอยู่แล้ว ฉันจะมาช่วยพวกเธอนะ”
“ถ้าที่บ้านไม่มีอะไรกิน ฉันจะเอาของมาให้พวกเธอบ้าง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดในใจว่านี่คงเป็นพังพอนมาอวยพรไก่ ไม่ได้หวังดีอะไร
“พวกช่างเขานำข้าวมากินกันเอง”
หลิวต้าเม่ยยิ้มอย่างจริงใจ “ฉันว่าแล้ว ในบรรดาลูกชายสามคนนี้ มีแต่คนเล็กนี่แหละที่อนาคตไกลที่สุด ทั้งทำงานเก่ง แถมยังได้ลูกสะใภ้ที่ดี และมีลูกชายสามคน แม้แต่หมอดูก็ยังบอกว่า ครอบครัวของพวกเธอจะมีโชคลาภใหญ่รออยู่ข้างหน้า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
หลิวต้าเม่ยเห็นสีหน้าเรียบเฉยของหล่อนก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมา
หล่อนชอบลูกชายที่มีความสามารถ
แต่ก่อนลูกชายคนที่สามโง่ที่สุด เชื่องช้าที่สุด ไม่เหมือนลูกชายคนโตที่เก่งเรื่องทำให้คนอื่นมีความสุข
และก็ไม่เหมือนลูกชายคนรองที่มีความสามารถ มีทักษะเฉพาะทาง
ดังนั้นหล่อนจึงรู้สึกว่าลูกคนนี้น่าอับอาย และดูถูกเขามาตลอด
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว…
ลูกชายคนที่สามมีลูกชายสามคน ไม่ต้องพูดถึงคนโตกับคนรองเลย แค่คนเล็กอย่างเย่หวายก็ได้ยินมาว่าเก่งกว่าเหวินชางเสียอีก และจะเป็นคนแรกที่สอบเข้าวิทยาลัยอาชีวะได้!
อีกไม่นานก็จะได้เป็นคนมีหน้ามีตาในเมือง ได้ทะเบียนบ้านในเมืองด้วย!
พูดแล้วก็ช่างน่าภูมิใจเหลือเกิน
ตอนนี้ครอบครัวลูกชายคนที่สามกำลังจะสร้างบ้านอิฐ เป็นหลังเดียวในหมู่บ้านเลยนะ
นางย่อมต้องดูแลครอบครัวของลูกชายคนที่สามมากหน่อย
“ชุ่ยชุ่ย เธอไม่ต้องเกรงใจแม่หรอก พวกเราเพิ่งซื้อเนื้อวัวมาทำเนื้อตุ๋นนิดหน่อย”
“ฉันคิดว่าเสี่ยวหวายเรียนหนังสือมาเหนื่อยๆ ต้องบำรุงร่างกายหน่อย”
“ถ้าเธอว่างแล้วก็ไปเอาที่บ้านแม่นะ แม่ตุ๋นเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
หลิวต้าเม่ยจับมือหลี่ชุ่ยชุ่ยอย่างเป็นกันเอง ราวกับเป็นแม่สามีที่ใจดีและเมตตาจริงๆ
ถ้าหลี่ชุ่ยชุ่ยไม่รู้ว่านางเคยเป็นคนแบบไหนมาก่อน ตอนนี้คงถูกหลอกแล้วแน่ๆ
“แม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกเราทำเนื้อตากแห้งเองแล้ว ยังกินไม่หมดเลย”
“ของของพวกคุณเก็บไว้กินเองเถอะ”
“อีกอย่าง ช่วงนี้พวกเราไม่ได้อยู่บ้าน ก็เลยไม่อยากรบกวนน้ำใจของคุณหรอกค่ะ”
หลิวต้าเม่ยมองดูหลี่ชุ่ยชุ่ยสะบัดมือเดินจากไปทันที
นางเม้มปากเล็กน้อย “นังชุ่ยชุ่ยนี่ จริงๆ เลย ฉันตั้งใจให้ด้วยความหวังดี เอาไปก็พอแล้ว…”
“ทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธฉันอยู่ได้ นี่มันเหมือนกับหล่อนถือตัวกับฉันจริงๆ เลยนะ”
เย่ไฉ่กุ้ยโมโหจนแทบจะตาย เขาเขยิบเข้าไปใกล้ๆ “แม่ครับ เนื้อวัวนั่นพวกเราให้แม่นะ มันกลายเป็นของที่แม่ซื้อเองเมื่อไหร่กัน?”
“แล้วก็ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วว่าจะทำอาหารให้พวกเรากินหรอกเหรอ? ทำไมถึงได้ผิดคำพูดแบบนี้ล่ะ?”
“แม่ครับ แม่ไม่ควรลำเอียงแบบนี้นะ!”
เย่ไฉ่กุ้ยแสดงสีหน้าโมโหจริงจัง
ครอบครัวลูกชายคนรองนี่… ในระยะสั้นก็ดูไม่เลวนัก แต่หลานชายคนโตก็ไม่มีอนาคตแล้ว
ส่วนเย่กัง… ถึงแม้จะไปเรียนตัดผม
แต่อย่างมากก็คงไม่เทียบเท่าเย่หวายที่มีอนาคตไกลหรอก
นางคิดตกแล้วจึงถอนหายใจ แกล้งทำเป็นลำบากใจ “เจ้ารองเอ๋ย ตลอดหลายปีมานี้ แม่ดูแลพวกแกมาตลอด”
“ตอนนี้ลูกชายแกก็แต่งงานและสร้างบ้านแล้ว ในขณะที่ครอบครัวน้องชายสามของแกยังต้องเลี้ยงดูคนตั้งมากมาย”
“พวกเขาลำบากกันจริงๆ เห็นเจ้าสามขากะเผลกขณะทำงาน ฉันก็รู้สึกสงสารจนแทบขาดใจ”
“พวกแกก็อย่ามาพูดอะไรกับฉันเลย ฉันน่ะจำเป็นต้องช่วยเหลือน้องชายสามให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นครอบครัวใหญ่โตขนาดนี้จะลำบากแค่ไหน”
เซี่ยวเฟินฟางโกรธจนตัวสั่น จึงหยิกเย่ไฉกุ้ยอย่างแรง
“ฮึ! การสร้างบ้านอิฐนี่สิ ถึงจะเรียกว่ามีอนาคต!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่ เจออำนาจเงินเข้าไปหน่อยก็แปรพักตร์เลยน้า ครอบครัวพี่ใหญ่พี่รองเตรียมโดนลอยแพเลย
ไหหม่า(海馬)
……….