ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 118 ทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าวได้รับการอนุมัติ
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 118 ทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าวได้รับการอนุมัติ
บทที่ 118 ทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าวได้รับการอนุมัติ
……….
บทที่ 118 ทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าวได้รับการอนุมัติ
พอถึงวันที่สอง เย่เสี่ยวจิ่นก็ยังไม่เห็นซุนจ่างซุ่นมา
เธอรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอถึงวันที่สาม เธอจึงตรงไปที่สำนักงานหมู่บ้านเลย
ซุนจ่างซุ่นและกัวชิงซงได้ศึกษาเรื่องนี้มาสองวันแล้ว
พอเห็นเย่เสี่ยวจิ่นมา พวกเขาก็ส่งข้อตกลงที่เซ็นเรียบร้อยแล้วให้เธอพอดี
“จิ่นเป่า พวกเราเลือกสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเพาะเลี้ยงมาบ้างแล้วในสองวันนี้ เธอลองดูว่าได้ไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นกะพริบตาปริบๆ “เลือกสถานที่เหรอ? หนูนึกว่าคุณคิดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้แล้วซะอีก”
“ฉันไม่โกหกเธอหรอก” ซุนจ่างซุ่นพูดตรงๆ “แต่จริงๆ แล้วก็แอบคิดแบบนั้นนะ…”
“เมื่อสองวันก่อน เหอชุนเซิงบอกว่าปลาหลี่จะกินรากต้นกล้าข้าว ฉันเลยไปหาปลาหลี่มาสองสามตัวแล้วลองเลี้ยงกับต้นกล้าข้าวดู”
“เธอดูในถังน้ำนี่สิ สองวันมานี้ปลาหลี่ก็ไม่ได้กินต้นกล้าข้าวเลย”
“ฉันเห็นว่าปลาไม่ได้กินต้นกล้าข้าว ถึงได้เซ็นชื่อไป”
กัวชิงซงพยักหน้า “จิ่นเป่า เธออย่าได้ถือสาเลยนะ ถึงยังไงข้าวก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของหมู่บ้านเรา ถ้าทำพลาดไป…”
“ทุกคนก็จะต้องอดอยากกันหมด”
“หนูเข้าใจได้ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือ
แต่ในใจนึกฉุนขึ้นมา เหอชุนเซิงคนนี้สร้างปัญหาให้เธอไม่หยุดหย่อนจริงๆ
“แล้วเหอชุนเซิงอยู่ไหนแล้วคะ?”
“เขาออกหมู่บ้านไปแล้วตั้งแต่สองวันก่อน”
“ไปแล้วเหรอ?” เย่เสี่ยวจิ่นแค่นเสียง “ดีแล้วที่เขาออกไป ไม่งั้นหนูคงต้องไปสั่งสอนเขาสักหน่อย”
“หลังจากปลูกข้าวเสร็จแล้ว หนูจะปล่อยลูกปลาลงในที่นาที่พวกคุณเลือกไว้”
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องส่งคนอื่นมาดูแล ให้พี่ชายทั้งสองของหนูรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ไหมคะ?”
ซุนจ่างซุ่นเห็นด้วย “ตกลง ทำตามที่เธอว่ามาก็แล้วกัน”
เย่เสี่ยวจิ่นถือข้อตกลงเดินออกไป
กัวชิงซงมองเงาร่างของเธอหายลับไป แล้วถอนหายใจ “ยัยหนูจิ่นเป่าคนนี้ฉลาดมากเลยนะ”
“เหอชุนเซิงคนนั้นที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ยังมีความรู้สู้จิ่นเป่าไม่ได้เลย”
เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “วันๆ เอาแต่พูดจาไร้สาระ จะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญได้ยังไงกัน!”
แต่ก่อนพวกเขาเคารพผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาก
แต่ตอนนี้ต้องพิจารณาให้ดีก่อนแล้ว
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความรู้ความสามารถจริงเสมอไป
ซุนจ่างซุ่นก็คิดเช่นนั้น “ผมคาดว่าเขาคงจงใจแก้แค้นจิ่นเป่าแน่ๆ”
“ก่อนหน้านี้ที่สวนผลไม้ เขาพยายามสร้างปัญหาแต่ไม่สำเร็จ คราวนี้พอมีโอกาสก็ต้องมาก่อกวนอีกแน่นอน”
กัวชิงซงแค่นเสียง “ไอ้คนเลวนี่กับเซี่ยวเยว่ช่างเข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ”
“ต่อไปอย่าให้มันมาชี้นำอะไรในหมู่บ้านของเราอีกนะ!”
เย่เสี่ยวจิ่นกลับมาที่สวนผลไม้ พร้อมถือข้อตกลงมาด้วยความดีใจ
“พ่อคะ ข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ เห็นด้วยกับการเลี้ยงปลาในนาข้าวแล้วค่ะ หนูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกังวล”
เย่จื้อผิงได้ยินแล้วถึงได้โล่งอก “พ่อกลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาดน่ะสิ กลัวว่าพวกเขาจะคิดว่าลูกเรียกร้องมากเกินไป แต่ยังไงก็ช่าง… ขอแค่พวกเขาเห็นด้วยก็พอ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องดีนะ เป็นประโยชน์ต่อทุกคน”
เย่เสี่ยวจิ่นย่นจมูก “หนูไม่ได้เรียกร้องมากเกินไปหรอก”
เย่จื้อผิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
ลูกสาวของเขาฉลาดเกินไป
เย่เสี่ยวจิ่นพาทุกคนฉีดยาในสวนผลไม้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องเตรียมรอผลไม้
จำเป็นต้องห่อผลไม้ด้วยถุงกระดาษหนังสือพิมพ์
การปลูกพืชในยุคนี้ไม่นิยมทำอะไรแบบนี้ แต่เธอเป็นคนริเริ่มขึ้นมา
แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตามกันเป็นส่วนใหญ่
หนังสือพิมพ์ในหมู่บ้านถูกคนในสวนผลไม้ขนไปหมดแล้ว
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่สวนผลไม้อีกแล้ว แค่อยู่บ้านทำถุงห่อผลไม้ก็พอ
พวกเขายังคงอยู่บ้านสบายๆ
หลิวเยว่และเย่จื้อผิงก็อยู่บ้านเช่นกัน
เย่ฉางอันรู้สึกอิจฉา “พวกพี่นี่สบายจังเลย นั่งทำของพวกนี้อยู่บ้านก็ได้คะแนนแรงงานแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพองแก้ม “นั่นก็เพราะหัวหน้าทีมเป็นน้องสาวลูกไงล่ะ ทีมอื่นไม่ได้สบายขนาดนี้หรอก ช่วงนี้งานที่ฟาร์มไก่ก็ยุ่งมาก”
“ต้องฟักไข่ไก่ด้วย ทุกวันมีงานให้ทำเยอะแยะ”
“แต่ก็ยังสบายกว่าทำนาอยู่ดีนะ” เย่ฉางอันนั่งลงบนเก้าอี้ ขากางเกงทั้งสองข้างเปื้อนโคลนไปหมด
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “เดี๋ยวหนูจะให้งานพี่กับพี่ใหญ่ทำ พวกพี่จะได้ไม่ต้องลงไปในนาข้าวทุกวันแล้ว”
“ทำอะไรน่ะ?” เย่ฉางอันถามอย่างสงสัย
“พอถึงปลายเดือนพฤษภาคม ก็จะไปปล่อยลูกปลา” เย่เสี่ยวจิ่นเล่าเรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวให้เขาฟัง
เย่ฉางอันถอนหายใจทันที “เธอนี่เก่งเรื่องหาผลประโยชน์จริงๆ ถ้าได้เป็นหัวหน้าทีมดูแลที่นาก็คงดี พวกเราก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มอย่างจนใจ หากไม่นำเครื่องจักรเข้ามาใช้ ก็ต้องใช้แรงงานคนกันหนักมาก
หลิวเยว่ห่อถุงได้อย่างรวดเร็ว “ทำไมต้องห่อผลไม้ด้วยล่ะ? ปล่อยให้โดนแดดไม่ดีกว่าเหรอ?”
เย่เสี่ยวจิ่นเม้มปาก “เพราะมันช่วยป้องกันโรคและแมลงได้ แถมยังป้องกันนกมากินได้ด้วยนะ”
“หนูดูตารางแล้ว พื้นที่ปลูกของสวนผลไม้กว้างมากก็จริง แต่ทุกปีเก็บเกี่ยวผลไม้ได้ไม่เยอะเลย”
“ดังนั้นปีนี้หนูเลยอยากเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ให้ทุกคนเห็นผลงานที่ชัดเจนหน่อย”
“มันไม่มีวิธีที่จะการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้เด็ดขาดเต็มร้อยหรอก” เย่เสี่ยวจิ่นพูด เธอจะไม่ทำถึงขั้นใช้ยาฆ่าแมลงแน่นอน เพราะกินไปแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ
ในนาข้าวตอนนี้ได้กักเก็บน้ำไว้แล้ว
ทุกคนกำลังยุ่งกับการไถนา ใช้ดินทำคันนา ทำให้บนคันนาไม่มีวัชพืชขึ้นมากนัก
ลูกเป็ดตัวเล็กๆ ที่บ้านของเย่เสี่ยวจิ่นถูกปล่อยออกมาตอนกลางวัน เล่นอยู่ในนาข้าว
ส่วนลูกเจี๊ยบรุ่นแรกในตอนนี้มีน้ำหนักกว่า 2 ชั่งแล้ว พวกมันมุดเข้าไปจับแมลงกินในพุ่มหญ้าทุกที่
เย่จื้อผิงทำถุงใบสุดท้ายเสร็จแล้ว “ช่วงบ่ายนี้ยังมีเวลาทำอย่างอื่นอีก”
“ขิงในถ้ำก็งอกหน่อแล้ว เอาออกมาปลูกได้แล้ว”
“เมื่อคืนพ่อขึ้นไปที่ภูเขา เห็นของจิ่นเป่าโตดีทั้งนั้นเลย”
“เลยว่าเตรียมจะปลูกขิงไว้ข้างๆ นั่น”
ปีก่อนๆ มักจะปลูกไว้ข้างลำธารใกล้บ้าน
แต่ปีนี้พื้นที่ริมลำธารถูกใช้ปลูกต้นท้อ ฟักทอง และฟักเขียวกันหมดแล้ว ไม่มีที่ว่างเหลือให้ปลูกอะไรได้อีกเลย
“พ่อ งั้นพวกเราไปด้วยกันนะ พอดีหนูอยากไปดูด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยทำขนมฟักทองเสร็จแล้ว เรียกทุกคนมากินอาหารกลางวัน
หลิวเยว่อ้วนขึ้นมาบ้างแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เพราะได้ทำแต่งานเบา มีอาหารกินวันละสามมื้อ
ซึ่งแต่ละมื้อก็อร่อยดี
วันไหนไม่มีเนื้อกิน ก็ยังมีปลาหนีชิวให้กิน
ข้าวสวยก็มีกินอิ่มทุกมื้อ
สบายกว่าตอนที่อยู่บ้านตระกูลหลิวมากนัก
หล่อนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางยิ้มว่า “จื้อผิง ปลูกขิงเสร็จแล้วก็ไปดูบนเขาหน่อยนะว่ามีดอกสายน้ำผึ้งไหม”
“ฉันคาดว่าฤดูนี้น่าจะออกดอกแล้ว ถ้ามีฉันจะหาเวลาไปเก็บ”
“ตอนไปตลาดครั้งที่แล้วเห็นมีคนรับซื้อ ราคาก็ค่อนข้างดีด้วย”
เย่จื้อผิงพยักหน้ารับคำ
เย่เสี่ยวจิ่นกะพริบตาถาม “ดอกสายน้ำผึ้งเหรอคะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มตอบ “ใช่จ้ะ บนเขามีสมุนไพรเยอะ เอากลับมาแล้วเอาไปขายที่ตลาดได้”
“พอว่างๆ ก็ไปหาได้”
“ดอกสายน้ำผึ้งหลังจากตากแห้งแล้วขายได้ตั้งครึ่งหยวนต่อชั่งเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นครุ่นคิด ถ้าดอกสายน้ำผึ้งแห้งอยู่แล้ว มันก็เบามากอยู่แล้วนี่นา
“อืม…ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่”
“ทำไมจะไม่คุ้มล่ะ? ไม่ต้องเสียเงินด้วย มีเยอะแยะในป่า ถ้าโชคดีเก็บได้สักหลายสิบชั่ง ก็ได้เงินเยอะแล้วนะ”
“หลายสิบชั่งคงยากแน่ๆ” เย่เสี่ยวจิ่นสงสัย “ดอกสายน้ำผึ้งมันไม่หนักเลย ยิ่งตากแห้งแล้วด้วย”
“งั้นก็ยิ่งไม่มีค่าน่ะสิ ไม่มีอย่างอื่นที่ดีกว่านี้หน่อยเหรอ?”
เย่จื้อผิงแค่นเสียง “เห็นไหม ในอนาคตจิ่นเป่าต้องรวยใหญ่แน่ คนมีวิสัยทัศน์แบบนี้แหละ ถึงจะประสบความสำเร็จได้”
“ในป่ามีต้นตีนฮุ้งดอย* ราคาแพงมาก แต่ก็หายากหน่อย”
(*Paris polyphylla เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ รักษามะเร็งได้)
“ปีที่แล้วมีคนมารับซื้อ คงขุดไปหมดแล้วมั้ง”
เย่เสี่ยวจิ่นงงไปหมด “งั้นหนูก็ไม่รู้แล้วล่ะ”
ช่วงบ่าย เย่เสี่ยวจิ่นและเย่จื้อผิงขึ้นเขาไปด้วยกัน
หลิวเยว่แบกตะกร้าตามขึ้นเขาไปด้วย หล่อนได้ยินหลี่ชุ่ยชุ่ยพูดถึงราคาของดอกสายน้ำผึ้งแล้วก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
คิดว่าถ้าไม่มีอะไรทำ ก็ไปเก็บมาบ้างก็ดี
แปลงมันเทศของเย่เสี่ยวจิ่นเขียวชอุ่มไปทั่ว
เถามันเทศเติบโตแข็งแรงมาก
เย่จื้อผิงนั่งยอง ๆ ลงสัมผัสใบมันเทศที่หนาอวบ แล้วพูดว่า “ที่ตรงนี้เคยมีคนบุกเบิกมาก่อน แต่ปลูกมันเทศไม่ได้ผลเลย”
“ไม่รู้ว่าลูกปลูกยังไงถึงได้ต่างจากคนอื่น ปลูกได้อวบอ้วนขนาดนี้เชียว”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อย ๆ “เถามันเทศที่แตกกิ่งก้านสาขาพวกนี้เอากลับไปทำหญ้าอาหารสัตว์ได้ใช่ไหมคะ?”
“ได้สิ ช่วงนี้หาหญ้าอาหารสัตว์ไม่ค่อยได้ เอากลับไปบ้างก็ดีนะ”
“ดีเลย งั้นคืนนี้หนูจะเอากลับไปทำเป็นอาหารเป็ดสักหน่อย”
หลิวเยว่มองดูเถามันเทศด้วยความสนใจ
เย่เสี่ยวจิ่นอธิบายให้หล่อนฟังว่า “นี่คือมันเทศหวาน เหมาะสำหรับปลูกในดินแบบนี้”
“รสชาติอร่อยมาก หวานเป็นพิเศษเลยล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีเลี้ยงปลาในนาข้าวแล้ว คราวนี้ขึ้นเขาไปจะปลูกอะไรอีกนอกจากขิงกับมันเทศกันน้า
ไหหม่า(海馬)
……….