ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 117 ความคิดต่ำช้าของเหอชุนเซิง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 117 ความคิดต่ำช้าของเหอชุนเซิง
บทที่ 117 ความคิดต่ำช้าของเหอชุนเซิง
……….
บทที่ 117 ความคิดต่ำช้าของเหอชุนเซิง
ท่ามกลางแสงแดดสดใส ผู้คนมากมายกำลังยุ่งอยู่ในทุ่งนา
ซุนจ่างซุ่นก็กำลังเข็นเกวียนบรรทุกมูลวัวมาที่ทุ่งนาเช่นกัน
เพิ่งจะส่งมอบให้คนอื่นเสร็จ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขา
“ลุงซุน!”
ซุนจ่างซุ่นหันกลับไปมอง เห็นเย่เสี่ยวจิ่นกำลังวิ่งเข้ามา
“จิ่นเป่า มีธุระอะไรกับลุงอีกล่ะ? ลุงขอบอกไว้ก่อนนะว่าช่วงนี้ในหมู่บ้านยุ่งมาก ถ้าหนูจะขอของจากห้องพยาบาลอีก คนอื่นๆ คงจะไม่ยอมหรอก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “ช่วงนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
“แต่หนูมีวิธีดีๆ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ทุกคน เลยอยากถามลุงซุนว่าสนใจไหมคะ”
ซุนจ่างซุ่นได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง “มีเรื่องดีๆ อีกแล้วเหรอ? เล่าให้ลุงฟังเร็วๆ สิ”
ในตอนนั้น เหอชุนเซิงกำลังแนะนำทุกคนเรื่องการปลูกพืชอยู่ไม่ไกลนัก แม้จะหันหลังให้ทั้งสองคน แต่ก็แอบตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ
เขามาที่หมู่บ้านนี้ได้หลายวันแล้ว และเคยพลาดท่าเสียทีที่สวนผลไม้
ตอนนี้เขาจึงมาแนะนำที่ทุ่งนาแทน
อย่างน้อยทุกคนก็ให้ความเคารพเขา
“แผนของหนูคือแผนปลูกข้าวเลี้ยงปลาค่ะ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หนูคิดขึ้นมาเองนะคะ”
“มีบางหมู่บ้านคิดค้นขึ้นมาเองค่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นอธิบายดักไว้แล้วจึงเล่าแผนการเลี้ยงปลาในนาข้าวอีกครั้ง
ซุนจ่างซุ่นครุ่นคิด “แบบนี้จะสำเร็จหรือ? บางครั้งถ้าน้ำในทุ่งนามีไม่พอ ปลาก็จะตายหมดไม่ใช่หรือ?”
“ก็ต้องเลือกสถานที่ที่มีน้ำเพียงพอตลอดทั้งปี ไม่ใช่ว่าทุ่งนาทุกแห่งจะสามารถเลี้ยงปลาในนาข้าวได้นี่คะ”
“ยกตัวอย่างเช่นนาในที่ดอนหรือบริเวณเชิงเขา ที่เหล่านี้ถือว่าไม่เหมาะสม”
“อย่างเช่นบริเวณที่ราบในหมู่บ้าน ริมลำธาร ใกล้บึงน้ำ ล้วนเป็นสถานที่ที่ดีทั้งนั้น”
“แต่เราเลี้ยงปลาในบ่อก็ได้นี่”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “การเลี้ยงในบ่อต้องดูแล และเลี้ยงปลาได้จำกัดจำนวน”
“ส่วนปลาในนาข้าวไม่ต้องดูแลมาก พื้นที่นา 50 หมู่เลี้ยงปลาได้ถึง 1,000 ชั่ง เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว จะได้ผลผลิตประมาณ 15,000 ชั่ง”
ซุนจ่างซุ่นสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นี่มันเป็นไปได้จริงๆ หรือ
“หนูบอกว่าจะเลี้ยงปลาหลี่ แต่ในหมู่บ้านไม่มีปลาหลี่ 1,000 ชั่งให้เลี้ยงนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มกริ่ม เอามือไพล่หลัง “นี่แหละค่ะคือข้อเสนอที่หนูจะพูดถึง”
“หนูจะหาลูกปลาคุณภาพดี 1,000 ชั่งมาให้ สุดท้ายแล้วเมื่อจับปลาได้ 15,000 ชั่ง ครึ่งหนึ่งก็ต้องส่งมอบอำเภอ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจะแบ่งกันในหมู่บ้าน ถึงอย่างไรลูกปลาคุณภาพดี 1,000 ชั่งก็มีราคาแพงอยู่แล้ว”
ซุนจ่างซุ่นคิดดู จริงๆ แล้วข้อเสนอนี้สร้างกำไรให้หมู่บ้านได้แน่นอน
แค่ต้องลงแรงงานบ้างเท่านั้น
“ตกลง ฉันยอมรับข้อเสนอของหนู แล้วลูกปลาของหนูล่ะอยู่ที่ไหน?”
“อีกสองสามวันหนูจะไปซื้อในเมืองค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หลังจากนั้นหนูก็จะเอาปลาที่ครอบครัวของเราได้รับส่วนแบ่งไปขายในเมืองด้วย”
ซุนจ่างซุ่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ยัยหนูจิ่นเป่า สมองของเธอทำมาจากอะไรกันเนี่ย? ทำไมถึงรู้ไปหมดทุกอย่างเลย?”
“พวกเราไม่เคยคิดถึงวิธีนี้มาก่อนเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นหัวหน้าทีมสวนผลไม้อยู่แล้ว ฉันคงจะให้เธอมาเป็นหัวหน้าทีมนาข้าวแน่ๆ”
“ฮ่าๆ…” เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือปฏิเสธ “ไม่เอาหรอกค่ะ หนูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการปลูกข้าวเลย”
ตอนนี้ปัญหาหลักของข้าวคือเรื่องพันธุ์ รอให้มีข้าวลูกผสมออกมา ไม่ว่าจะปลูกอย่างไรผลผลิตก็ออกมาดีหมด
เธอตกลงกับซุนจ่างซุ่น และเขียนข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
ในนั้นระบุว่าในฐานะที่เย่เสี่ยวจิ่นเป็นผู้มอบเทคโนโลยีการเลี้ยงปลาในนาข้าวและลูกปลา เธอจะได้รับส่วนแบ่ง 14% ของปลาในนาข้าว
“ลุงซุน พวกเราตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วนะ”
“หนูเซ็นชื่อแล้ว ลุงก็เซ็นชื่อด้วยนะคะ มีทั้งหมดสองฉบับ ให้หนูหนึ่งฉบับ ส่วนลุงเก็บไว้หนึ่งฉบับ”
ซุนจ่างซุ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เด็กคนนี้คิดรอบคอบเกินไปแล้ว
แต่เขาก็ไม่มีข้อโต้แย้ง “ได้เลย รอลุงกลับไปที่หน่วยแล้วจะเซ็นให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะเอามาให้นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ตกลงค่ะ ลุงซุน ขอให้เราร่วมมือกันอย่างมีความสุข งั้นหนูขอกลับไปทำงานที่สวนผลไม้ก่อนนะคะ”
หลังจากคนจากไป
ซุนจ่างซุ่นก็เก็บสัญญาทั้งสองฉบับไว้อย่างเรียบร้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะทึ่ง “จิ่นเป่าคนนี้ช่างฉลาดเป็นกรดจริงๆ ”
“หล่อนฉลาดเกินไปแล้ว ตัวเล็กแค่นี้แต่ฉลาดขนาดนี้ โตขึ้นจะกลายเป็นคนแบบไหนกันนะ”
“ต้องมีความสามารถสูงแน่ๆ เลย!”
เหอชุนเซิงได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของพวกเขาเข้าหูแล้ว
เขาจดจำแผนนี้ไว้ในใจ
จากนั้นเขาเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่บ้านและพูดว่า “ผู้ใหญ่บ้านครับ พวกคุณพูดถึงการเลี้ยงปลาในนาข้าวใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว นี่เป็นความคิดของจิ่นเป่า” ซุนจ่างซุ่นยิ้มและพูดว่า “ปีนี้พวกเราก็จะลองดู”
“ผมว่ามันดูไม่น่าเชื่อถือนะ” เหอชุนเซิงแกล้งทำหน้าลำบากใจ “เรื่องนี้จะพูดยังไงดีล่ะ…”
“ผมกลัวว่าถ้าพูดไป คุณอาจจะคิดว่าผมตั้งใจกลั่นแกล้งเย่เสี่ยวจิ่น”
“แต่ถ้าไม่พูด ผมก็ไม่อยากเห็นพวกคุณทำผิดพลาด”
ซุนจ่างซุ่นขมวดคิ้ว “อะไรกัน… มันไม่ดีเหรอ? ผมเห็นว่าวิธีนี้น่าจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนะ”
เหอชุนเซิงถอนหายใจหนัก ๆ “ผู้ใหญ่บ้านครับ คุณคงไม่รู้หรอกว่าปลาหลี่น่ะมันกินต้นกล้าข้าว”
“มันไม่ได้แค่กินตะไคร่น้ำเท่านั้น แต่ยังจะกินรากของต้นข้าวไปด้วย”
“นี่แหละคือการเลี้ยงปลาในนาข้าว สุดท้ายก็ทิ้งของสำคัญไปเสียหมด”
ซุนจ่างซุ่นฟังคำพูดของเขาแล้ว ในตอนแรกก็ยังไม่เชื่อ
แต่ในใจก็เริ่มสั่นคลอนไปบ้างแล้ว
เขาคงต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับเลขาธิการ
“ได้ ฉันจะกลับไปพิจารณาดู”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อคำพูดของตน เหอชุนเซิงก็รู้สึกภูมิใจอยู่บ้าง
จากนั้นเขาก็ไม่ยุ่งวุ่นวายอีกต่อไป
กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้า
เซี่ยวเยว่อยู่บ้านทำงานบ้านอย่างเซ็งๆ ส่วนเซี่ยวเสวี่ยกำลังเย็บผ้าอยู่
“เธอนี่ ทำไมถึงทำหน้าเศร้าหมองอยู่ทุกวันล่ะ? ในเมื่อได้เป็นหัวหน้ากลุ่มสตรีแล้ว แสดงว่าทางหมู่บ้านยังต้องการตัวเธออยู่นะ”
“เธออดทนไปอีกสักปี พิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีปัญหาด้านความประพฤติ หลังจากนั้นก็จะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วไม่ใช่หรือ?”
“อีกอย่าง ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีอำนาจอะไรมาก แต่ทุกคนก็ให้ความเคารพเธอมากไม่ใช่หรือ?”
เซี่ยวเยว่แค่นเสียง “ใช่ ต่อหน้าก็ให้ความเคารพ แต่ลับหลังก็ด่าฉัน”
“ตอนประชุมครั้งที่แล้ว เย่เสี่ยวจิ่นคนนั้นทำตัวหยิ่งยโสมาก”
“ทำให้ฉันอับอายต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น!”
“ไม่ต้องร้อนใจ ฉันมีวิธีทำให้หล่อนไม่สบายใจเหมือนกัน” เหอชุนเซิงเดินเข้ามาในลานบ้านพร้อมรอยยิ้ม “น้องสาว เธอไม่ต้องร้อนใจ โอกาสดีของพวกเรามาถึงแล้ว”
“ถ้าครั้งนี้ฉันทำได้ดี ฉันจะหาทางพาเธอไปเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่อำเภอเลย”
เซี่ยวเยว่ตกใจ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นยินดี “จริงหรือ? พี่มีวิธีอะไรดีๆ ล่ะ? ทั้งโจมตีเย่เสี่ยวจิ่นและยังเลื่อนตำแหน่งฉันได้ด้วยหรือ?”
เหอชุนเซิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ฉันจะยังไม่บอกเธอตอนนี้หรอก… เซี่ยวเสวี่ย รีบไปจัดของให้ผมหน่อย พวกเราจะกลับไปที่อำเภอกัน”
เซี่ยวเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าจะอยู่ต่ออีกครึ่งเดือนหรอกหรือ? ตอนนี้จะกลับแล้วเหรอ?”
“ใช่ ไม่ควรรอช้า รีบไปกันเถอะ” สีหน้าของเหอชุนเซิงเต็มไปด้วยความยินดี “ผมจะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้แล้ว!”
เมื่อเซี่ยวเสวี่ยได้ยินว่าเขาพูดถึงเรื่องสำคัญขนาดนี้ หล่อนจึงรีบไปจัดของทันที
ทั้งสองคนออกจากหมู่บ้านชงเถียนตรงไปยังอำเภอต้าหลี่
เมื่อกลับถึงบ้าน เหอชุนเซิงรีบเขียนแผนเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาในนาข้าวทันที เขาใช้เวลาทั้งคืนพิจารณาอย่างละเอียด และยังได้ปรับปรุงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกมาก
เนื่องจากเขาจบการศึกษาในสาขานี้มาโดยตรง จึงมีความรู้ความสามารถพอสมควร
เพียงแต่ขาดความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เท่านั้น
เซี่ยวเสวี่ยเห็นเขานั่งทำงานดึก จึงทำอาหารมื้อดึกให้ “ดึกขนาดนี้แล้วยังเขียนอยู่อีกเหรอ? การเลี้ยงปลาในนาข้าว…”
หล่อนมองดูตัวอักษรบนกระดาษแล้วพูดว่า “แผนนี้เป็นความคิดของคุณเหรอ? ดีจังเลย”
“นอกจากจะใช้ประโยชน์จากนาข้าวได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังจะเพิ่มรายได้อีกด้วย”
“ดูเหมือนการลงไปที่หมู่บ้านครั้งนี้ของคุณจะได้ผลดีทีเดียว”
เหอชุนเซิงรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ผมเป็นมืออาชีพนี่นา”
“วิธีนี้ที่อื่นไม่เคยมีมาก่อน ในหนังสือก็ไม่มี”
“ถ้าผมเป็นคนแรกที่นำเสนอเทคโนโลยีนวัตกรรมแบบนี้ บางทีหลังจากนี้ผมอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปก็ได้”
ตอนนี้ประเทศให้ความสำคัญกับนวัตกรรม
สหายหลายคนของเหอชุนเซิงก็กำลังทำการวิจัยกันอยู่
นี่มันเหมือนลาภลอยตกลงมาจากฟ้าเลยหลังจากที่เขาได้เจอกับเย่เสี่ยวจิ่นยัยเด็กโง่คนนี้
แม้แต่สวรรค์ยังเป็นใจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวย แล้วทำไมเขาจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะ? อยู่แต่ในหมู่บ้านก็เป็นการเสียเปล่าเท่านั้น
หากเขาถือมันไปสมัครงาน เขาจะสามารถเผยแพร่ออกไปได้มากขึ้น
จะว่าไปแล้ว นี่ก็ถือว่าเขาได้ช่วยยัยเด็กแซ่เย่ไปด้วยนะ!
“เอาล่ะ คุณไปนอนก่อนเถอะ ผมยังต้องปรับแต่งรายละเอียดอีกหน่อย พรุ่งนี้ผมจะส่งมันไปที่อำเภอ แล้วยื่นเรื่องขึ้นต่อเบื้องบนในสำนักงานเกษตร”
แสงเทียนทอดเป็นลำยาว เหอชุนเซิงมองเปลวไฟที่กระพริบไหว อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ราวกับว่าในแสงเทียนนั้น เขามองเห็นตัวเองถูกย้ายไปอำเภอ…
ไม่สิ อาจจะถึงสำนักงานเกษตรในเมืองใหญ่เลยด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเขาก็จะได้ก้าวหน้า เวลาเจอสหายเก่าแก่ก็จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นอีกระดับหนึ่ง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฟ้องจิ่นเป่า มีคนลอกการบ้านหนูค่ะ หนูรีบปกป้องสิทธิ์ตัวเองด่วน
ไหหม่า(海馬)
……….