ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 116 เปิดตัวทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าว
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 116 เปิดตัวทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าว
บทที่ 116 เปิดตัวทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าว
……….
บทที่ 116 เปิดตัวทฤษฎีเลี้ยงปลาในนาข้าว
หม้อที่เต็มไปด้วยซาลาเปาถูกนำขึ้นไปวางบนลังถึง
ไอร้อนลอยฟุ้งขึ้นมา
เย่ฉางอันและเย่จวินเพิ่งกลับมาจากทุ่งนาด้วยความเหนื่อยอ่อน
หลิวเยว่ที่ตามเย่จวินมาก็รู้สึกสงสารที่พวกเขาต้องทำงานหนักขนาดนี้
“พวกลูกสามคนกลับมาแล้วเหรอ ซาลาเปากำลังจะสุกพอดีเลย”
“เจ้าใหญ่ เจ้ารอง ลูกสองคนไปอาบน้ำร้อนก่อนนะ”
“ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลนแบบนี้ สกปรกจะตาย”
เย่ฉางอันมองหลี่ชุ่ยชุ่ยแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “แม่ครับ ผมหิวจะตายอยู่แล้ว ขอกินสักสองคำก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำได้ไหมครับ?”
“ปีนี้อากาศร้อนจัง เพิ่งหว่านเมล็ดข้าวในแปลงได้ไม่นาน ต้นกล้าก็งอกออกมาแล้ว”
“เช้าวันนี้ใส่ปุ๋ย ตอนบ่ายไปไถนาตั้งหลายแปลง เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
เย่จวินเงียบไม่พูดอะไร เขาคุ้นเคยกับความเหนื่อยล้าแบบนี้แล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยส่ายหน้า รีบไปเปิดลังถึง
หยิบชามที่มีซาลาเปาสี่ห้าลูกออกมา “งั้นพวกเธอสองคนรีบกินเถอะ”
“เสี่ยวเยว่ เธอก็กินตอนที่มันยังร้อนๆ นะ”
หลิวเยว่ไม่รีบกิน หล่อนยังไม่ค่อยหิว ให้สองหนุ่มที่ทำงานมาเหนื่อยๆ กินก่อนดีกว่า
เย่ฉางอันไม่เกรงใจ คว้าซาลาเปาสองลูกด้วยมือทั้งสองข้างโดยไม่สนใจว่าจะร้อนมือ
แล้วก็กัดเข้าปากคำโตๆ
เขากินไปพลางทำหน้าเหยเกเพราะความร้อนไปพลาง “ร้อนจังเลย!”
“ซาลาเปานี่นุ่มดีจัง พี่ใหญ่ กินสิครับ”
“อร่อยมาก อร่อยยิ่งกว่าที่ขายตามท้องถนนเสียอีก”
ท้องของเขาส่งเสียงร้องโครกคราก หิวจนสามารถกินได้สี่ถึงห้าชิ้นในคราวเดียว
ตอนที่หิวมากกินอะไรก็อร่อยเป็นพิเศษไปหมด
เย่จวินหยิบซาลาเปาขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วเริ่มกิน “จริงๆ ด้วย หอมมาก”
เย่ฉางอันอดบ่นไม่ได้ “การไถนานี่เหนื่อยจริงๆ เลย แถมเท้าทั้งสองข้างยังโดนปลิงดูดเลือดจนเป็นแบบนี้…”
เขาพูดพลางจะยกเท้าขึ้นให้ทุกคนดู
แต่ถูกหลี่ชุ่ยชุ่ยจ้องมองด้วยสายตาดุๆ จึงยอมเลิกล้ม
“ฉันเสียเลือดมากเกินไปแล้ว! ต้องกินซาลาเปาเพิ่มอีกหลายลูกเพื่อบำรุงเลือด!”
“ปีนี้ในทุ่งนามีแมลงเยอะมาก ฉันรู้สึกว่าการขนหินบนคลองส่งน้ำยังสบายกว่าทำงานนี้เสียอีก”
เย่จวินหัวเราะเบาๆ “ที่นายพูดมาก็ไม่ถูกนะ”
“อยู่บนคูน้ำ อย่างน้อยก็ยังมีช่วงที่ตัวแห้ง แต่นี่ต้องแช่น้ำทั้งวัน”
“ฉันทนไม่ไหวจริงๆ”
“ส่วนตรงจุดทิ้งขี้วัวก็มียุงมาคอยกัดเต็มไปหมด”
เย่ฉางอันพูดด้วยความจริงใจ เห็นได้ชัดว่าเขาลำบากมาก
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นซาลาเปาในชามกำลังจะหมด จึงคีบมาอีกสามลูก
“งั้นพวกเธอกินเยอะๆ หน่อย กินให้อิ่ม จะได้มีแรงทำงาน”
“ตอนกลางคืนเวลาอาบน้ำให้ใช้น้ำเกลือล้างนะ จะได้ไม่คันมาก”
เย่ฉางอันพยักหน้า “ซาลาเปาผักดองนี่อร่อยกว่าหน่อไม้นะ”
เย่จวินก็หยิบมาอีกลูก “ฉันกลับรู้สึกว่าหน่อไม้อร่อยกว่าอีก”
สองพี่น้องกินซาลาเปาไปเจ็ดลูกแล้ว จากนั้นก็ไปอาบน้ำกัน
เย่เสี่ยวจิ่นยกมือขึ้นปิดหน้า “การปลูกข้าวนี่ดูเหนื่อยจริงๆ เลยนะคะ”
“เหนื่อยมากเลยละ แล้วข้างหน้ายังมีอะไรที่เหนื่อยกว่านี้อีก” เย่จื้อผิงพูดต่อ “ตั้งแต่เพาะกล้า ไถนา พอถึงช่วงอากาศหนาวก็ต้องตื่นแต่เช้าไปถอนกล้าและดำนา เหนื่อยมากๆ เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรับคำ “ใช่แล้ว พอปลูกข้าวเสร็จ ไม่นานก็ต้องลงไปถอนหญ้าในนาอีก”
“หลังจากนั้นก็ต้องใส่ปุ๋ย พอถึงช่วงอากาศร้อนก็ต้องคอยดูแลระดับน้ำในนาด้วย”
“พอถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็ยิ่งเหนื่อยหนัก ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย”
“แต่ใครจะอยู่โดยไม่มีข้าวกินได้ล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า นึกถึงการเลี้ยงปลาในนาข้าว พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวก่อนที่จะปล่อยน้ำออก ก็จะเป็นช่วงที่ได้ปลาเยอะๆ
เธอเท้าคาง “พอจะมีคนเลี้ยงปลาในนาข้าวไหมคะ?”
“ใครจะทำอย่างนั้นล่ะ?” หลี่ชุ่ยชุ่ยงุนงงมาก “น้ำในนาข้าวตื้นขนาดนั้น จะเลี้ยงปลาได้ยังไง?”
“จิ่นเป่า ความคิดของหนูนี่ไม่น่าเป็นไปได้เลยนะ”
“บางครั้งน้ำยังไม่พอปลูกข้าวเลย ขืนเลี้ยงปลาก็คงจะแห้งตายกันหมดน่ะสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “มันมีวิธีการเลี้ยงที่สมเหตุสมผลนะคะ เรียกว่าการเลี้ยงปลาในนาข้าว”
หลิวเยว่ที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เพิ่งเคยเห็นเย่เสี่ยวจิ่นเสนอแนวคิดใหม่ๆ เป็นครั้งแรก
หล่อนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก “อะไรคือเลี้ยงปลาในนาข้าว? เลี้ยงยังไงเหรอ?”
เย่เสี่ยวจิ่นเม้มริมฝีปากแล้วอธิบายอย่างใจเย็น “ปลาในนาข้าวเป็นคำเรียกรวมๆ ถึงปลาตะเพียน ปลาหลี่ ปลาเฉ่า ซึ่งเป็นปลาที่ทนต่อโรคได้ดี”
“พวกมันกินวัชพืชในนาข้าว แมลง และดอกข้าวพวกนี้เพื่อเติบโต”
“ปลาพวกนี้โตช้า แต่ไม่มีกลิ่นคาว เนื้อนุ่มและอร่อยมาก การเลี้ยงแบบนี้ให้ผลผลิตที่ค่อนข้างดีทีเดียว”
ดวงตาของหลิวเยว่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด หล่อนพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงก็หยุดทำงานในมือโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนต่างจ้องมองเย่เสี่ยวจิ่นอย่างตั้งใจ
เย่เสี่ยวจิ่นถูกทุกคนจ้องมอง จึงจำต้องพูดต่อไปว่า “ตอนปล่อยปลาลงนาข้าว ลูกปลาไม่ควรตัวใหญ่เกินไป”
“น้ำหนักเฉลี่ยของลูกปลาแต่ละตัวควรอยู่ที่ประมาณ 50 กรัม ในนาข้าวหนึ่งหมู่ควรเลี้ยงลูกปลา 10 ถึง 15 กิโลกรัม”
“การปล่อยลูกปลาสามารถทำได้หลังจากดำนาแล้วหนึ่งเดือน โดยทั่วไปจะเป็นช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม…”
หลี่ชุ่ยชุ่ยกล่าวทั้งที่ยังสงสัย “ลูกพูดได้อย่างมีแบบแผนจริงๆ ดูเหมือนจะทำได้จริงสินะ”
เย่จื้อผิงก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ปลาหลี่และปลาเฉ่าตัวเล็กๆ พวกนี้น่าจะเลี้ยงได้”
“นี่แหละคือการเลี้ยงแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อยๆ “ในระหว่างการเจริญเติบโต ปลาสามารถกินแพลงก์ตอนและแมลงศัตรูพืชในนาข้าวได้ ส่วนมูลของปลาก็เป็นปุ๋ยให้กับต้นข้าว”
“พอถึงเวลาเก็บเกี่ยว ในนาก็จะได้ทั้งข้าวและปลานาข้าวด้วย”
เธอยักไหล่ “นี่ไม่ใช่การได้ประโยชน์สองต่อหรอกหรือ?”
ดวงตากลมโตของหลิวเยว่จ้องมองเย่เสี่ยวจิ่นนิ่ง ในแววตาเป็นประกายวาววับ
“เธอพูดได้ดีจังเลย เธอได้ความคิดดีๆ แบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงกัน?”
“ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ฉันว่าเหมาะสมมากเลยนะ”
“ตอนนี้เป็นปลายเดือนเมษายน พอถึงปลายเดือนพฤษภาคมก็สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว”
“ในหมู่บ้านของพวกเราไม่เคยมีใครฉลาดเหมือนเธอมาก่อนเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มแหยๆ อย่างเขินๆ แล้วกระแอมเบาๆ “เรื่องนี้…หนูอ่านมาจากหนังสือน่ะ”
ถ้าเธอคิดออกเองได้ เธอก็คงเป็นอัจฉริยะจริงๆ
แต่ความจริงแล้วเธอแค่ลอกมาจากหนังสือที่ได้รับรางวัลจากระบบเท่านั้นเอง
หลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วหัวหน้าทีมที่รับผิดชอบปลูกข้าวของพวกเธอคือใครล่ะ? เขาจะคิดว่าวิธีนี้ดีไหม?”
เย่จื้อผิงคิดสักครู่แล้วตอบว่า “หัวหน้าทีมดูแลที่นาคนก่อนคือลู่เฟิง แต่ตอนนี้ลู่เฟิง โดนไล่ออกไปแล้ว ยังไม่มีหัวหน้าทีมคนใหม่”
“ผู้ใหญ่บ้านเลยเป็นคนรับผิดชอบเอง”
“ผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างชอบจิ่นเป่านะ แต่วิธีนี้ไม่เคยมีใครลองทำมาก่อน ไม่แน่ว่าเขาจะเห็นด้วย”
หลิวเยว่มองไปทางเย่เสี่ยวจิ่น
เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือ “ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่รู้ แต่ถ้าเป็นลุงซุนละก็ เขาต้องเห็นด้วยแน่นอน”
“อย่างไรเสียฉันก็ยังมี…แค่กๆ”
ในคลังของเธอยังมีลูกปลาคุณภาพดีอีก 1,000 ชั่ง
หมู่บ้านไม่ต้องออกอะไรเลย ผู้ใหญ่บ้านจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร?
เย่เสี่ยวจิ่นลูบคาง “แต่ถ้าหนูเสนอแผนนี้และให้ลูกปลา หนูขอครึ่งหนึ่งคงไม่มากเกินไปใช่ไหม?”
“ครึ่งหนึ่งอะไรเหรอ?” หลี่ชุ่ยชุ่ยงุนงง
“ส่วนแบ่งกับหมู่บ้านไงคะ ฉันมีลูกปลาและแผนงาน พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวปลา ฉันก็ขอครึ่งหนึ่ง”
เย่จื้อผิงแทบจะลุกขึ้นยืนแล้ว “แบ่งครึ่งกับหมู่บ้านเหรอ?”
“ใช่ค่ะ พ่อคิดว่าหนูได้น้อยไปหรือคะ?”
เย่จื้อผิงกลั้นไอไม่อยู่จึงไอออกมาเบาๆ “ไม่ใช่หรอกจิ่นเป่า ถ้าเลี้ยงปลาในนาข้าว ครึ่งหนึ่งต้องส่งให้อำเภอ”
“อีกครึ่งหนึ่งถึงจะเป็นของหมู่บ้าน”
เย่เสี่ยวจิ่นเม้มปาก “อย่างนี้นี่เอง งั้นหนูก็ได้แค่ร้อยละยี่สิบห้าสินะ ขาดทุนจังเลย”
“แต่…ก็ช่างเถอะ”
เธอคิดสักครู่ แล้วกะพริบตาปริบๆ “ก่อนหน้านี้หนูไม่ได้ส่งผักโขมที่หนูปลูกในสวนผลไม้ให้ใครเลย แบ่งให้คนในสวนผลไม้กินหมดเลย”
“งั้นเธอก็ทำตัวเงียบๆ หน่อย บอกว่าเป็นผักป่า อย่าให้ใครรู้เข้าล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “หนูสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”
เย่จื้อผิงอดไม่ได้ที่จะลูบหัวลูกสาว “เรื่องปลาในนาข้าว หนูจะไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านในวันพรุ่งนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ เพราะไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ก็ต้องเลี้ยงแบบนี้ไปก่อน”
“ถึงยังไงก็ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ นะคะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่เข้าใจความหมายของเธอ จึงหยิบซาลาเปาอุ่นๆ มาให้ “งั้นลูกรีบกินอะไรหน่อยสิ แล้วก็รีบไปนอน”
“ทุกคืนแม่เห็นหนูถือหนังสือสองเล่มไว้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
“พึมพำไปเรื่อย ตัวเล็กๆ แค่นี้ก็รักการเรียนรู้แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มอย่างเขินๆ นั่นเป็นหนังสือใหม่ที่เธอได้มา ซึ่งก็คือ (วิธีเลี้ยงหมูให้รวยเป็นเศรษฐีในหมู่บ้าน) และ (สามประโยคที่ทำให้เจ้านายลงทุนสามร้อยล้าน)
ที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากอ่านมากนัก แต่ชื่อหนังสือมันน่าดึงดูดเหลือเกิน เนื้อหาก็จริงจังมาก
เธอจึงอดไม่ได้ที่จะจมดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งการเรียนรู้
“หนูอายุยังน้อย เรียนรู้อะไรก็ได้ผลเร็วกว่า” เย่เสี่ยวจิ่นมองไปทางหลิวเยว่ “พี่สาว หนูอ่านหนังสือที่หัวเตียงจบหมดแล้วนะคะ พี่เอาไปอ่านได้นะ”
ในตอนที่หลิวเยว่เก็บเสื้อผ้า หล่อนได้สังเกตเห็นหนังสือเหล่านั้นด้วย
มีหนังสืออย่าง (เรียนรู้การเลี้ยงสัตว์ใน 30 วัน) (วิธีการกลายเป็นเศรษฐินี) (การทำนาจนเชี่ยวชาญระดับเซียน) เป็นต้น
หล่อนกวาดตามองอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าใด
ยิ้มอย่างเขินๆ “ฉันจะดูเมื่อมีเวลาว่าง”
เย่เสี่ยวจิ่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าหล่อนมีข้อกังขากับชื่อหนังสือ จึงพูดว่า “พี่สาว เชื่อหนูสิ เนื้อหาในหนังสือไม่เหมือนกับชื่อหนังสือหรอก”
“ข้างนอกไม่มีทางหาหนังสือดีๆ แบบนี้ได้หรอก ไม่มีการเผยแพร่ออกไปด้วย”
หลิวเยว่ถูกเธอหลอกเข้าให้แล้ว “ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอนสิ!”
ตกดึก หลิวเยว่หยิบหนังสือ (วิธีการกลายเป็นเศรษฐินี) ที่ยืมมาจากเย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมาเปิดอ่าน
หล่อนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วก็…
ชะงักงัน
ข้างในกลับเป็นภาษาที่หล่อนไม่รู้จักทั้งหมด
หากเย่เสี่ยวจิ่นอยู่ที่นี่ เธอคงจะอุทานด้วยความประหลาดใจว่า “นี่มันภาษาอังกฤษนี่นา? ทำไมฉันเห็นเป็นภาษาจีนล่ะ?”
แม้ว่าเย่เสี่ยวจิ่นจะมีเจตนาดีที่ให้หลิวเยว่ยืมหนังสือ
แต่เธอไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นความลับของระบบ ซึ่งบรรจุความรู้อันล้ำสมัยจากอนาคต
แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ “ห้ามเผยแพร่” ออกไปโดยเด็ดขาด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เกษตรแบบผสมผสานก็มา หมู่บ้านนี้เตรียมตัวอยู่ดีกินดีเลย
ไหหม่า(海馬)
……….