ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 110 ต่อต้านแข็งขัน
บทที่ 110 ต่อต้านแข็งขัน
……….
บทที่ 110 ต่อต้านแข็งขัน
หลิวเยว่นอนอยู่ในห้องที่ดัดแปลงมาจากโรงเก็บฟืนในยามค่ำคืน
บนเตียงไม้มีผ้านวมอุ่น ๆ ต้องพูดตามตรงว่าผ้านวมนี้อุ่นกว่าผ้านวมที่บ้านของหล่อนเสียอีก
หล่อนมองดูพระจันทร์นอกหน้าต่าง ในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
เดิมทีคิดว่ามาที่นี่แล้วจะต้องใช้ชีวิตแบบกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น
แต่ไม่คิดว่าหล่อนจะคิดผิดไปเสียทั้งหมด
ที่บ้านตระกูลเย่มีข้าวกินทุกมื้อ ในโกดังก็เต็มไปด้วยข้าวสารและแป้งสาลี
หลิวเยว่พลิกตัวไปมา ลืมตาโพลง ไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร
ถ้าเย่จวินไม่ยอมรับหล่อนเป็นภรรยา หล่อนจะทำอย่างไรดี
ครั้นหลิวเยว่ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าที่บ้านทอดปลาหนีชิวและผัดผักโขม
ผักโขมอร่อยมาก หล่อนกินข้าวไปหนึ่งชามก็อิ่มแล้ว
“พี่สาว วันนี้ไปสวนผลไม้กับหนูเถอะ หนูบอกผู้ใหญ่บ้านไว้แล้ว”
หลิวเยว่พยักหน้า “ได้จ้ะ”
หลิวเยว่ถือจอบ ตามเย่เสี่ยวจิ่นไปที่สวนผลไม้
คนในสวนผลไม้เห็นพวกเขาก็ทักทายอย่างเป็นมิตร
“จิ่นเป่า นี่พี่สะใภ้ของเธอเหรอ?”
“โอ้โห สาวคนนี้สดใสจริงๆ สวยมากเลย”
“เหมาะกับเย่จวินจริงๆ ทั้งคู่หน้าตาดีทั้งนั้น”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มพูดว่า “พูดอะไรกัน พี่สาวยังไม่ได้เป็นพี่สะใภ้สักหน่อย อย่าพูดส่งเดชสิ แบบนี้จะทำให้ชื่อเสียงของพี่สาวเสียหายนะ”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านในใจของหลิวเยว่ หล่อนยิ้มน้อยๆ พลางเม้มริมฝีปาก
“พี่สาว ตามหนูมาเถอะ ช่วงนี้แค่รดน้ำและใส่ปุ๋ยให้เมลอน ไม่มีอะไรมากหรอก อีกสองสามวัน เราถึงเริ่มฉีดยาให้ต้นไม้ผลอื่นๆ ถ้าต้องทำอะไร หนูจะบอกพี่เอง พี่แค่ทำตามป้าเจวียนก็พอ”
เย่เสี่ยวจิ่นบอกต่อ “ป้าเจวียนเป็นคนดีมาก และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของเราด้วย”
หยางเจวียนพาหลิวเยว่ไปทำงาน
เย่จื้อผิงเดินตามหลังเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า หลิวเยว่คนนี้ดูเป็นคนดีนะ พี่ชายใหญ่มีท่าทียังไงบ้างล่ะ? ลูกได้ยินเขาพูดอะไรเป็นการส่วนตัวบ้างไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า “ค่อยๆ ดูไปทีละก้าวก่อนนะพ่อ อย่าเพิ่งรีบร้อน พี่ชายไม่ได้ให้ยืมเงินเพื่อจะแต่งงานกับหล่อนนะ”
“เขาแค่ใจดี ดังนั้นเรื่องในอนาคตก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ”
เย่จื้อผิงไม่คิดว่าลูกสาวจะพูดเก่งขนาดนี้
“ก็จริง งั้นก็ปล่อยไว้แบบนี้ก่อนแล้วกัน พ่อแค่กังวลว่าการที่หล่อนอยู่ที่นี่โดยไม่มีสถานะอะไรมันอาจทำให้ครอบครัวลุงรองไม่พอใจน่ะ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนเล็งหล่อนเป็นลูกสะใภ้ก่อน”
เย่เสี่ยวจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ “ช่างพวกเขาเถอะค่ะ ดูท่าทางพวกเขาสิ ใครแต่งเข้าไปก็ซวยใหญ่แล้ว”
ผ่านไปหลายวัน
หลิวเยว่ก็เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวตระกูลเย่มากขึ้น
หล่อนตื่นแต่เช้า ช่วยหลี่ชุ่ยชุ่ยซักผ้าทำอาหาร ทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่บ่นสักคำ
ทั้งยังตามเย่จื้อผิงไปตัดต้นจูเฉ่า พยายามแย่งทำทุกอย่าง
ทำให้คู่สามีภรรยาเย่จื้อผิงรู้สึกเกรงใจมาก
แต่ตัวหลิวเยว่เองกลับสนุกสนานกับมัน
“โอ้ กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่เหรอ?”
เซี่ยวเฟินฟางพาลูกชายอย่างเย่ว่านหยวนเดินเข้ามาในบ้านของพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ พูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ฉันก็ว่าแล้ว งานแต่งงานที่อยู่ในมือทำไมถึงได้บินหนีไปเหมือนติดปีก ที่แท้ก็เพราะพวกเธอชิงตัดหน้าฉันไปนี่เอง”
“ฮึ เสี่ยวเยว่ ว่านหยวนของเราก็ไม่ได้แย่นะ เธออยากได้สินสอดสิบหยวน ครอบครัวของเย่ซานคนนี้จะมีปัญญาจ่ายเหรอ?”
หล่อนแค่นหัวเราะเย้ยหยัน “เธอก็แค่เด็กที่ถูกคนอื่นหลอก สับสนไปหมดแล้วสินะ”
เย่ว่านหยวนก็แค่นเสียงด้วย “นั่นสิ ดูถูกฉัน เธอต้องเสียใจในภายหลังแน่”
หลิวเยว่ลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เย่จวินลุกขึ้นยืน “คุณป้า เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเรา ขอโทษด้วยครับ”
เซี่ยวเฟินฟางหรี่ตาลง น้ำเสียงไม่พอใจอย่างมาก “ขอโทษงั้นเหรอ? แกก็รู้ว่าทำผิดสินะ? แกยังมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ?”
“แย่งเมียพี่ชายตัวเอง ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องเลยนะ”
“ดูเหมือนว่าครอบครัวของเราสองฝ่ายคงไม่มีวันคบหากันอีกแล้ว”
สีหน้าของคนในครอบครัวเย่สามเริ่มไม่ดีขึ้นมา
ถึงอย่างไรก็เป็นความผิดของพวกเขา จึงไม่กล้าโต้เถียงอะไร
เย่ว่านหยวนเริ่มพูดจาโอ้อวด “น้องชาย ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ หลิวเยว่คนนี้น่ะเป็นคนที่ฉันไม่สนใจ แต่พ่อแม่ยัดเยียดให้ฉัน แกไปเก็บของที่ฉันไม่ต้องการทำไมล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มือของหลิวเยว่ก็สั่นไปหมด
หากไม่ได้จับตะเกียบไว้แน่น คงจะทำตะเกียบหล่นลงพื้นไปแล้ว
และทำให้คนตระกูลเย่ต้องถูกเยาะเย้ยไปด้วย…
หลิวเยว่รู้สึกผิดจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก
ทันใดนั้น มือที่เย็นเฉียบของหล่อนก็ถูกมืออุ่นๆ นุ่มนิ่มตบเบาๆ
“พี่สาว หนูจัดการเอง”
หลิวเยว่มองไปที่เย่เสี่ยวจิ่น
หล่อนเห็นเย่เสี่ยวจิ่นวางตะเกียบลงแล้วจ้องมองเย่ว่านหยวนตรงๆ
“รู้ไหมว่าทำไมพี่สาวถึงเลือกพี่ชายหนูแต่ไม่เลือกพี่?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มอย่างใจดี “คนภายนอกต่างพูดกันว่าพี่สาวเสี่ยวเยว่กับพี่ชายของฉันเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากทั้งหน้าตาและความสามารถ”
“แต่พอพูดถึงพี่ ทุกคนก็แสดงท่าทีรังเกียจ ขมวดคิ้วถอนหายใจ ราวกับว่าพี่เป็นของสกปรกอะไรสักอย่าง”
“ก่อนหน้านี้ยังมีคนพูดว่าคนลามกอย่างพี่จะมีผู้หญิงดีๆ คนไหนยอมแต่งงานด้วย?”
“แค่นี้พี่ยังไม่รู้สึกตัวอีกหรือ?”
เย่เสี่ยวจิ่นกวาดตามองอย่างดูแคลน “อย่าคิดว่าตัวเองเก่งนักเลย พี่เป็นอะไรกันล่ะ? หมูตอนตัวหนึ่งหรือไง? ยังมายืนให้คนด่าอีก รอให้พวกเราเอาพี่มาทำอาหารในวันปีใหม่หรือไง?”
ลมหายใจของเย่ว่านหยวนเย็นเยียบลง สีหน้าซีดเผือด
“ฉันเกลียดที่สุดเวลามีคนด่าว่าฉันเป็นหมู! เย่เสี่ยวจิ่น เธอเป็นอะไร? เธอก็แค่ลูกสาวไร้ประโยชน์คนหนึ่ง เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้?”
เย่เสี่ยวจิ่นหรี่ตายิ้มพูดว่า “หนูเป็นหัวหน้าทีมตอนอายุ 3 ขวบ ส่วนพี่อายุ 20 แล้วยังเป็นคนไร้ค่าอยู่ที่บ้าน”
“หนูแนะนำให้พี่ไปส่องกระจกที่ริมแม่น้ำดูนะว่าตัวเองเป็นหมูหรือเปล่า”
เธอหันไปมองเซี่ยวเฟินฟาง “อีกอย่างนะ ป้าสะใภ้รอง ถ้าคุณยังมาทำตัวเสแสร้งที่บ้านหนูอีก พวกเราจะไม่ไว้หน้าคุณแล้วนะ”
“บ้านคุณรวยขนาดนั้นทำไมถึงซื้อรถมือสองให้ลูกชายล่ะ? จนปานนั้นเลยเหรอ?”
เซี่ยวเฟินฟางชะงักไป เพราะทนไม่ได้ที่คนอื่นบอกว่าตัวเองจน
หล่อนชี้หน้าเย่เสี่ยวจิ่นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “แกรู้หรือเปล่าว่าบ้านฉันมีเงินเท่าไหร่? แกกล้าบอกว่าฉันจนเหรอ? ฮึ ที่จนที่สุดน่าจะเป็นบ้านพวกแกมากกว่า!กินแต่รำข้าวกับผักทุกวัน!”
เย่เสี่ยวจิ่นเลิกคิ้วพลางคีบปลาหนีชิวตัวเล็กมากิน “อ้อ งั้นทำไมคุณถึงซื้อรถมือสองล่ะ? เพราะจนใช่ไหม?”
“แกยังจะว่าพวกเราจนอีก!” เซี่ยวเฟินฟางพับแขนเสื้อเตรียมจะตบตีคน
สามพี่ชายลุกขึ้นยืนขวางหน้าเย่เสี่ยวจิ่นทันที
เย่ฉางอันก็แสดงท่าทีจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยแสดงออก พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ป้าลองแตะต้องน้องสาวผมดูสิ ดูซิว่าป้าจะเดินออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า”
เย่จวินสีหน้าไม่พอใจ “ป้าสะใภ้รอง อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่งั้นพวกเราจะเสียมารยาทกับคุณแล้วนะครับ”
“พวกแก พวกแกภูมิใจอะไรกัน?” เซี่ยวเฟินฟางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองพวกเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“บ้านพวกแกจนขนาดนี้ ทำไมกล้าพูดกับฉันด้วยท่าทีแบบนี้?”
“พวกแกลืมแล้วเหรอว่าตอนที่ยากจนกระทั่งต้องมาขอยืมข้าว พวกแกเคยทำตัวต่ำต้อยขนาดไหน?”
เย่หวายขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ป้าสะใภ้รอง เวลาเปลี่ยนไปแล้ว อย่าได้ดูถูกคนอื่นอีกเลย!”
เย่ฉางอันไม่มีความอดทนมากนัก จึงผลักไสพวกเขาออกไปทันที
แม่ลูกทั้งสองถูกไล่ออกไปอย่างอเนจอนาถ
เย่ว่านหยวนที่ตัวอ้วนใหญ่เสียเปล่า แท้จริงแล้วก็แค่คนขี้ขลาดที่ชอบรังแกคนในบ้านเท่านั้นเอง
หลังจากถูกไล่ออกมา เขาก็โกรธมาก “แม่ครับ ดูสิว่าแม่ทำอะไรลง ประหยัดนิดหน่อยแล้วไปซื้อรถมือสองมาได้ยังไง”
“คราวนี้โดนคนอื่นดูถูกเอาแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“แม่ทำให้ผมเสียหน้าไปหมดแล้ว”
เซี่ยวเฟินฟางโกรธจนแทบบ้า “ไปกันเถอะ ไปบอกพ่อของแกว่าพวกเขาทำอะไรกับเราบ้าง เราสองครอบครัวต้องตัดขาดกันแล้ว!”
“ต่อไปนี้อย่ามาขอร้องอะไรฉันอีกนะ ไม่งั้น… ไม่งั้น…”
เย่ว่านหยวนกลอกตา “แม่ครับ แม่พูดแบบนี้ทุกทีเลย”
ที่โต๊ะอาหาร
หลี่ชุ่ยชุ่ยยังไม่ทันได้ตั้งตัว ถอนหายใจ “จิ่นเป่า ลูกนี่…พูดเกินไปหน่อยนะ”
“ฟังดูมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เย่จื้อผิงพยักหน้าเห็นด้วย พูดอย่างจริงจัง “ลูกพูดเหตุผลได้ แต่จะไปด่าคนอื่นว่าเป็นหมูได้ยังไง?”
“ลูกพี่ลูกน้องของลูกหน้าตาเป็นแบบนั้น ลูกไปพูดถึงน้ำหนักของเขา มันก็เหมือนแทงใจดำเขาเลยนะ”
“ลูกนี่…จะให้เขาคิดยังไง”
เย่เสี่ยวจิ่นแค่นเสียงหึ “พวกเขาจะคิดยังไงก็คิดไปค่ะ ญาติพวกนี้ตัดขาดไปให้หมดจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมาขวางหูขวางตาทุกวัน”
“หนูก็นับถือพวกเขานะ หน้าตาฐานะก็ธรรมดาแท้ๆ แต่มั่นใจได้ขนาดนี้ เก่งจริงๆ!”
พวกเขาต่างรู้สึกว่าคำบรรยายนี้ตรงเป๊ะ
เย่เสี่ยวจิ่นหันไปมองหลิวเยว่ “พี่สาว พี่อย่าไปสนใจเขาเลย ครอบครัวลุงใหญ่กับลุงรองของเราก็ไม่ได้ดีอะไร”
“ปกติเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันอยู่แล้ว ถึงจะทะเลาะกันจนไม่มีหน้าให้เก็บก็ไม่เป็นไร”
“พวกเราไม่มีหน้าให้เก็บกันมานานแล้ว พี่ก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
หลิวเยว่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ในใจก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง
เย่จวินก็พูดว่า “ใช่แล้ว คุณอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ”
“พอถึงปีหน้าที่บ้านของพวกเราต่อเติมเสร็จแล้ว ตอนนั้น… ตอนนั้นคุณก็จะได้อยู่สบายขึ้นหน่อย”
หลิวเยว่รู้สึกร้อนวูบที่แก้ม พยักหน้าเบาๆ “อืม ฉันเข้าใจแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สถานการณ์บ้านสามเปลี่ยนไปแล้ว อย่าได้มาท้าสู้กับบ้านสามอีกเลย ไม่งั้นจะยิ่งแพ้นะป้า
ไหหม่า(海馬)
……….