ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 9 ออโรร่าน้อยกับพลังที่ตื่นขึ้น(เหรอ)
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 9 ออโรร่าน้อยกับพลังที่ตื่นขึ้น(เหรอ)
ซวย ซวยซ้ำซวยซ้อน
ไหงจากการแสดงละครแกล้งป่วยเพื่อไม่ถูกลากไปหาอาเจ้บ้าศาสนามันถึงกลายเป็นทำให้ไปหาอาเจ้แกเร็วกว่าเดิมฟะ
ไม่ใช่แค่พามาธรรมดาแต่ตอนนี้ถึงขั้นหามขึ้นรถม้าแล้วบึ่งตรงไปโบสถ์เลย เพราะงั้นเวลาที่มีเหลือในการเอาตัวรอดของผมก็น้อยลงไปทุกทีๆ
จะบอกว่าหายป่วยหรืออะไรก็ไม่ได้แล้วด้วยสิ เพราะเมื่อกี้ก็เล่นใหญ่ไปหน่อย ขืนบอกไปว่าไม่เป็นไรคงได้คิดว่าอาการเราหนักกว่าเดิม
ฮึ่ยยยย ทำไงดีเนี่ย ขืนได้ไปที่โบสถ์ล่ะก็ อิสรภาพทางขนมหวานของเราต้องมอดไหม้ไปเป็นเถ้าถ่านแน่ๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแกคนเดียวไอ้พระเจ้าบ้าเอ้ย เพราะคำสาปของแกคนเดียวเลย นี่ถ้าเจอหน้าเมื่อไหร่พ่อจะบีบคอให้ตายเลย
“แม้จะเป็นพรแห่งพระองค์ท่านที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เสียใจและน้อมรับด้วยความยินดี”
กับผีเซ่
สงสัยเพราะผมเผลอด่าในใจแรงไปหน่อย ทำให้ไอ้คำสาปกลับคำพูดกับคำสาปแปลงคำพูดบางส่วนของผมมันทำงานออกมา แต่ก็โชคยังดีที่ผมพยายามลดเสียงของตัวเองไว้ได้ทัน ทำให้พวกเขาน่าจะไม่ได้ยินเสียง…รึเปล่า?
ที่ผมสงสัยแบบนี้ก็เพราะเจ้าไรน์ที่จู่ๆ ก็มองมาที่ผมด้วยสายตาที่แปลกไป จะบอกว่าเป็นสายตาตกใจก็ยังไม่ค่อยใกล้เคียงเพราะในนั้นมันดูจะผสมหลายอารมณ์ด้วยสิ
แย่ล่ะ หรือว่าจะรู้จุดประสงค์ของเรางั้นต้องรีบตัดบทก่อนแล้วล่ะ
“มะ….มีอะไรเหรอไรน์”
ผมทำเสียงอ่อนส่งให้เป็นเชิงว่าตัวเองยังไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ทำให้ไรน์ได้สะดุ้งก่อนที่สติของเขาจะกลับคืนมาแล้วหันมายิ้มให้ผมพร้อมลูบหัวเบาๆ
“ไม่เป็นไรออโรร่า เธอจะต้องไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็ถึงโบสถ์แล้ว”
นั่นน่ะเป็นสุดๆ เลยนะเฮ้ย ชะตากรรมของขนมหวานมันขึ้นกับสิ่งนี้เลยนะ!
แล้วก็อย่าแอบมาลูบหัวกันแบบนี้ด้วยนะเจ้าบ้า!
“เจ้าหนู ระวังมือหน่อย ยื่นมั่วไปมั่วมาในรถม้าแบบนี้…ขืนอยู่ผิดที่มันจะขาดเอานะ เข้าใจที่พูดใช่ไหม?”
คุณพ่อจู่ๆ ก็เสียงแข็งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แข็งจนเรียกว่าน่ากลัวเหมือนน้ำแข็งแถวขั้วโลกเหนือ ส่วนเจ้าไรน์สงสัยมันจะจับสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่างเลยรีบชักมือกลับทันที
ว่าแต่กระจกรถม้ามันก็ปิดดีนะ ไม่ยักเห็นว่าเปิด เพราะงั้นยื่นมือไปมาตรงไหนก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอไงหว่า
…หรือว่า คุณพ่อจะเป็นห่วงเจ้าไรน์เกินเหตุ….นี่มันกำลังแย่งชิงความรักของคุณพ่อไปจากผมงั้นเรอะ ไอ้ไรน์ นี่แก!
ไม่ได้ๆ ออโรร่า ใจร่มๆ ไว้ก่อน มองแง่ดีไว้ ถึงคุณพ่อดูจะเป็นห่วงมันเป็นพิเศษแต่ก็น่าจะแค่แบบศิษย์อาจารย์ ยังไม่ได้ถึงขั้นคิดรับมาเป็นลูกบุญธรรมหรอก เพราะงั้นวางใจได้แต่ต้องข่มขู่มันไว้ก่อน ด้วยทางสายตานี่ล่ะ
จ้องงงงงง
ไรน์ดูตกใจเล็กน้อยก่อนรีบหันหน้าไปทางอื่น ส่วนคุณพ่อก็เริ่มเขยิบมาใกล้ผมเล็กน้อยก่อนลูบหัวผมเบาๆ
หึๆ คุณพ่อรู้ถึงความน้อยใจของผมแล้วใช่ไหมล่ะ
“นั่นไงโบสถ์อยู่ตรงหน้าแล้ว”
เฮ้ย ดันเผลอคิดเรื่องอื่นมากไปหน่อยเลยลืมเรื่องสำคัญเสียสนิทเลยไงเรา ทำไงดีล่ะๆ เวลาก็แทบไม่เหลือแล้วด้วย
โว้ยยย คิดไม่ออก ถ้างั้นก็ไปตายเอาดาบหน้าเลยละกัน!
คิดได้แบบนั้นผมก็แสร้งทำเป็นหลับไปโดยในใจก็ได้แต่วนเวียนคิดหาทางออกของวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่กำลังเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณซิกค์ อ๊ะ! ทำไมแบกหนูออโรร่ามาแบบนั้นล่ะค่ะ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ!”
เสียงของอาเจ้แกดูตกใจมากเมื่อเห็นสภาพของผมที่กำลังถูกคุณพ่ออุ้มอยู่ ซึ่งหากลืมตาล่ะก็คงเห็นสีหน้าที่ตกใจยิ่งกว่าแน่นอน
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ก่อนหน้านี้ก็ดูปกติดี…..แต่หลังจากแยกกันไม่ได้นาน… ออโรร่า….ออโรร่าก็ล้มฟุบแบบนี้เลย ท่านนักบวสช่วยด้วยลูกผมด้วยนะครับ”
คุณพ่อดูเร่งร้อนจนเริ่มพูดไม่ค่อยเป็นประโยคเท่าไหร่ แสดงว่าเขาคงเป็นห่วงผมมากสินะ เห็นแบบนี้ผมก็แอบดีใจแต่ก็รู้สึกผิดที่ไปหลอกคุณพ่อเข้า นี่ถ้าหาข้อแก้ตัวที่ดีไม่ได้แล้วความแตกขึ้นมา สงสัยได้โดนโกรธยาวแน่นอน
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณซิกค์ ก่อนอื่นเราพาออโรร่าไปที่เตียงก่อนเถอะค่ะ”
ผ่านไปสักพัก ผมก็รู้สึกถึงร่างของผมที่ถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลก่อนที่จะได้ยินเสียงของคุณพ่อที่ให้กำลังใจพร้อมกุมมือของผมเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงนะลูก พ่ออยู่ข้างลูกเสมอ”
ฮืออ คุณพ่อ ขอร้องล่ะ อย่าให้ผมรู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลย!
“ถ้างั้นฉันขอดูอาการก่อนนะคะ”
อาเจ้นักบวชเดินเข้ามาก่อนที่จะตรวจร่างกายทั่วไปของผมโดยวัดความร้อนจากไข้ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก เพราะผมปกติดีนี่นา
“อืม โดยทั่วไปก็ดูไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ถ้างั้น”
ผมแอบเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยให้พอเห็นภาพบ้าง แต่ก็ปิดมากพอที่จะทำให้พวกเขาคิดว่าผมยังหลับตาอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ มองว่าอาเจ้แกคิดจะทำอะไรกันแน่
ภาพที่เห็นคืออาเจ้นักบวชที่ตอนนี้ยื่นมือมาเหนือร่างกายของผมก่อนที่เธอจะรวบรวมพลังเวทอยู่ที่บริเวณฝ่ามือแล้วร่ายคำสวดแบบนักบวช
“ด้วยอำนาจของพระองค์ โปรดช่วยแสดงโรคร้ายที่กลืนกินเด็กคนนี้ด้วยเถิด”
พวกนักบวชเองก็ไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่ เวลาร่ายเวทนั้นพวกเขาจะต้องมีคำสวดเสมอ แต่ถึงจะมีมันก็ไม่โอเวอร์เท่าที่ผมโดนบังคับให้ร่ายยาวเป็นกลอนหรอกนะ
งานงอกแล้วไง ถ้าผมจำไม่ผิดจากที่อ่านมา พวกนักบวชชั้นสูงจะมีเวทไว้สำหรับตรวจโรคโดยใช้พลังเวทเข้าไปสำรวจความผิดปกติของร่างกาย
เอาไงดีฟะ ยิ่งถ้าความมาแตกกลางโบสถ์แบบนี้ เรื่องของเรามันจะไม่หนักกว่าเดิมรึไง หนักหน่อยอาจจะโดนชาวบ้านคิดว่าเป็นแม่มดคิดหลอกลวงศาสนาก็ได้ ซวยแล้ว ซวยๆ
ทำไงดีล่ะ จะหาโรคอะไรตอนนี้ก็ไม่ทัน รู้งี้ไปเก็บของกินตกพื้นหรือเอาหัวจุ่มน้ำร้อนก็ดีหรอก ปัดโธ่
หรือว่าจะใช้เวทมนตร์? ขึ้นชื่อว่าเวทแล้วมันก็น่าจะมีเวทที่ทำให้พวกเราป่วยอยู่ไม่ใช่รึไง ไม่สิแบบนั้นไม่ได้ เพราะตอนนี้อาเจ้แกกำลังตรวจร่างกายเราด้วยเวทอยู่ ถ้าขืนเราร่ายอะไรแปลกๆ ไป รับรองได้ความแตกหนักกว่าเก่า แถมไอ้เวทที่ป่วยเนี่ยมันก็คือคำสาปไม่ใช่รึไง
สำหรับคนของศาสนจักรแล้ว ผู้ใช้คำสาปน่ะมันก็คือพวกนอกรีตดีๆ นั่นล่ะ เพราะงั้นถ้าเราไปเกิดใช้คำสาปต่อหน้านักบวชล่ะก็ ได้โดนจับเผาข้อหานอกรีตแน่เลย
แล้วแบบนี้จะเอาไงดีเนี่ย
“อืม….ตรวจด้วยเวทมนตร์แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกนะคะ”
น้ำเสียงของเจ้เริ่มมีความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ต้องสืบเลยว่าสงสัยว่าผมกำลังโกหกอะไรอยู่แน่นอน ก็นะ มันจะมีคนที่ไหนป่วยซะขนาดเป็นลมแต่ตรวจอะไรไม่เจอเล่า
เอาฟะ ไหนๆ ก็ผมก็เลือกที่จะไปตายเอาดาบหน้าแล้วก็เอาให้มันสุดๆ ไปเลย….
จากนั้นผมก็ค่อยๆ รวบรวมสมาธิของตัวเองก่อนค่อยๆ หายใจเข้าให้ลึกที่สุดจากนั้น…
เอาล่ะเจ้าพระเจ้า ไหนดูสิว่าพลังพิเศษพิโศอะไรของแกที่ให้ผมมามันจะทำให้ผมรอดจะสถานการณ์นี้ยังไง เพราะงั้นจะบ้าจะบอ จะพลังไร้สาระอะไรก็ได้ ช่วยตูทีเถอะ!
“ในนามแห่งพระองค์ผู้อยู่เหนือมวลชีวิตทั้งปวง ตัวข้านั้นเหมือนผู้ต่ำต้อยด้อยปัญญาที่ถูกปกคลุมด้วยความเขลา เช่นนั้นแล้วด้วยพลังอันแสนยิ่งใหญ่หาผู้ใดเทียม ขอจงระเบิดเป็นพลังเพื่อปลดปล่อยแสงสว่างอันชี้นำทางตัวข้าไปสู่ความจริงอันถ่องแท้”
ไม่รู้ว่าพระเจ้ามันช่วยหรืออะไรกัน จู่ๆ ปากของผมก็เผลอพูดบทร่ายเวทบวกกับคำสวดออกมา แต่ขอโทษเถอะ เมื่อกี้ได้ยินคำว่า “ตัวข้าผู้ด้อยปัญญาใช่มะ” นี่แกเติมมาเพื่อด่าว่าผมโง่ใช่มะ! ต้องใช้แน่นอน มันต้องใช่แน่ๆ
หนอย แผนให้ตัวเองด่าตัวเองว่าโง่…ชั่วช้ามาก!
ระหว่างที่ผมกำลังบ่นไป ร่างกายของผมก็รู้สึกแปลกๆ มันราวกับร่างกายของผมมันร้อนไปชั่ววูบคล้ายมีน้ำร้อนพึ่งต้มเดือดไหลไปทั่วร่างกาย
ว้ากกก นี่แกแกล้งผมใช่ไหมมมมม นี่กะเอาน้ำร้อนมายิงทั่วร่างข้อหาด่าแกในใจใช่ไหมไอ้พระเจ้า!!!
ไม่รู้ทำไมผมราวกับได้ยินเสียงหัวเราะสุดขำมาจากที่อันแสนห่างไกล แถมเสียงนั้นดูจะสะใจมากซะด้วย…ไม่ต้องสืบ ฝีมือมันแน่นอน
“กรี๊ดดดดดด”
ด้วยความรู้สึกที่ร้อนราวกับโดนเอาน้ำร้อนมาราดจากฝีมือของเจ้าพระเจ้า ทำให้ผมเผลอร้องออกมาไม่ได้ แต่น่าเศร้านัก ทั้งๆ ที่จะร้อง อ้ากกก ออกมาให้ดูสมชายแต่สุดท้ายด้วยการเปลีย่นของพระเจ้าบ้านั่นมันทำให้ออกมาเป็นกรีดร้องเสียงสาวน้อยแทนซะงั้น
“ออโรร่า/ลูกพ่อ/หนูออโรร่า”
ทุกคนดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็นะ จะไม่ตกใจได้ไงที่จู่ๆ ผมก็กรี๊ดขึ้นมาระหว่างที่ตรวจอยู่ดีๆ แถมมากกว่านั้นคือระหว่างที่ผมกำลังร้องราวหมาถูกน้ำร้อนสาด ร่างกายของผมก็เปร่งแสงออกมาก่อนที่มันจะระเบิดพุ่งออกมากระจายออกเป็นละอองแสงทั่วห้องเหมือนหิ่งห้อยที่กำลังบินอยู่ตอนค่ำคืน
“เป็นไงล่ะ เห็นขอให้ช่วยเลยจัดหนักจัดเต็มให้เนียนตามคำขอเลยไง เห็นไหมฉันออกจะเป็นพระเจ้าที่ใจดีจะตาย ฮ่าๆ”
เสียงพระเจ้าที่หัวเราะอย่างสะใจนั้นดังเข้ามาพร้อมกับคำพูดที่ชวนน่ากระโดดถีบยอดหน้าเหลือเกิน
ใจดีกับผีอะเซ่ รู้ไหมเมื่อกี้มันเจ็บขนาดไหน คอยดูเถอะ หลุดจากคำสาปบ้าๆ นี้เมื่อไหร่จะแก้แค้นแบบจัดหนักจัดเต็มคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอกทั้งหมดเลย
ฮือออ ร้อนง่ะ เหงื่อแตกด้วยให้ตายสิ
ไหนๆ ในเมื่อก็เนียนหาข้ออ้างได้แล้ว เพราะงั้นผมก็เลยทำเป็นค่อยๆ ลืมตาเหมือนคนได้สติ และก็ได้เห็นภาพของคนทั้งสามที่มองมาที่ผมอย่างเป็นห่วงโดยมีฉากประกอบด้านหลังเป็นละอองแสงสีขาวสวยงามลอยไปมาอยู่ทั่วห้อง
“ออโรร่าไม่เป็นไรใช่ไหมลูก”
คุณพ่อมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วงพลางกุมมือของผมไว้อย่างอบอุ่น ส่วนไรน์เองมันก็ไม่น้อยหน้า ดันยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกุมมือผมอีกข้างด้วยต่างหาก
เฮ้ยๆ ไอ้นี่มันจะใกล้ไปแล้วนะเฮ้ย ก็เข้าใจว่าห่วงเพื่อนร่วมสำนักแต่แบบนี้มันใกล้ไปแถมช่วยอย่ามาจ้องด้วยหน้าตาเคร่งเครียดจะได้ไหม บรรยากาศผมกับคุณพ่อเสียหมดพอดี
คิดได้แบบนั้นผมก็ยกมือของตัวเองไปดันแก้มของเจ้าหมอนี้ออก แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่หายไปจากตอนโดนน้ำร้อนสาดของพระเจ้าทำให้แรงดันมันไม่พอเลยเป็นเคลื่อนออกได้นิดหน่อย
หมอนั่นดูตกใจเล็กน้อยก่อนรีบถอยหลังไปแล้วหันหน้าหนีทันที ก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายหรอกนะแต่ก็ขอไม่ยุ่งด้วยแล้วกันเพราะตอนนี้น่ะ…..
ผมกำลังเจอปัญหาใหญ่แล้วสิ
โชคดีที่พระเจ้ามันช่วย ทำให้ปัญหาเรื่องแกล้งป่วยหมดไปได้แต่คราวนี้ก็กลับมาปัญหาแรกที่ตอนนี้อยู่กลางโบสถ์ไม่พอยังถูกอาเจ้จ้องด้วยสายตาที่แปลกไปจากสองคนก่อนหน้าอีก
แววตาของอาเจ้แกดูเหมือนจะตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าผสมกับดวงตาที่ฉายแววของความจริงจังกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่พอแค่นั้นมือของเธอยังยกขึ้นมาพนมเหมือนราวกับคนกำลังขอพร
“นี่มัน….เรื่องใหญ่แล้วล่ะค่ะ”
สิ้นคำพูดของเธอ คุณพ่อของผมถึงกับสะดุ้งยืนขึ้นมามองหน้าผมสลับไปมากับอาเจ้นักบวช ก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ออโรร่า…ออโรร่าจะเป็นอะไรมากไหมครับ”
อาเจ้นักบวชส่ายหน้าแทนการตอบจากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ๆ ผมพลางยกมืออธิบาย
“ไม่ค่ะ…ไม่ใช่แบบนั้น ไม่สิ ต้องบอกว่าเรื่องมันกลับกันเลยมากกว่า”
อาเจ้นักบวชหลับตาเหมือนกำลังคิดหาคำอธิบายให้กับพ่อของผมที่ตอนนี้มองผมอย่างเป็นห่วง มือของเขาที่กำมือเล็กๆ ของผมอยู่ก็กำแน่นมากขึ้น
ว่าแต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นอาการอาเจ้แกแล้วผมรู้สึกชักเสียวๆ ราวกับว่าเรื่องที่มันแย่อยู่แล้วมันจะแย่ลงหลังจากเจ้แกพูด
“ว่าแล้วว่ามันแปลกๆ ทั้งๆ ที่อาการของออโรร่าดูหนักขนาดนี้แต่ตัวฉันกลับไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติใดๆ ของร่างเธอได้เลย…หึ ไม่สิต้องบอกว่าเพราะนี่มันเป็นเวทไว้ตรวจสิ่งชั่วร้ายที่จู่โจมร่างกายมากกว่าเลยไม่สามารถตรวจพลังเวทอันแสนบริสุทธิ์ที่ผิดแปลกไปได้ ยังอ่อนหัดอยู่สินะตัวฉัน”
เหมือนเธอกำลังพูดอะไรบางอย่างกับตัวเองแต่นั่นมันก็ทำให้พ่อผมที่จับประเด็นได้คร่าวๆ เริ่มวางใจมากขึ้น โดยดูได้จากแรงที่กุมมือของผมอยู่นั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“อาการของออโรร่าน่ะไม่ได้เกิดจากโรคอะไรหรอกค่ะคุณซิกค์ แต่มันเกิดจากพลังของเธอ”
เฮ้ยๆ ..เดี๋ยวนะ ถ้าพูดมาแนวนี้อย่าบอกนะว่า
“พลังของลูกผมอย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เนื่องจากเธอเกิดมาด้วยพรของพระเจ้าซึ่งมีอยู่เต็มเปี่ยมดังนั้นแล้วพลังของเธอจึงมากกว่าคนอื่นผิดปกติ เพราะงั้นแล้วมันจึงอาละวาดได้บ้างเป็นบางครั้ง”
“อาละวาดงั้นเหรอครับ แล้วจากนี้ลูกผมจะมีอาการแบบนี้อีกไหมครับ”
เจ้นักบวชส่ายหน้าก่อนหันมาหาผมด้วยรอยยิ้มที่คล้ายกับแสดงความยินดี ซึ่งตัวผมนั้นบอกเลยว่า…ไม่ยินดีด้วยเลยสักนิด สยองขวัญสั่นประสาทสุดๆ
“ไม่หรอกค่ะ เพราะว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“ครั้งเดียวงั้นเหรอครับ?”
“ค่ะครั้งเดียว เนื่องจากอาการนี้เกิดจากพลังที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาที่พลังตื่นเต็มที่ของเหล่านักบุญซึ่งจะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะจากบันทึกประวัติของเหล่านักบุญ ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่พลังจะตื่นขึ้นซึ่งอาการพวกนั้นก็จะแตกต่างกันไป ดังนั้นแล้วนี่ก็คงเป็นการตื่นขึ้นของพลังที่หนูออโรร่ามีแน่ๆ เลยค่ะ”
อย่างงี้ก็ได้เหรอ!
ผมมองไปที่อาเจ้นักบวชอย่างทึ่งๆ ในความสามารถจับแพะชนแกะของเธอ ไม่ทราบว่าสอบแกทเชื่อมโยงมาได้เท่าไหร่เจ้ถึงได้มโนเรื่องได้ถึงขนาดนี้
ว่าแต่ตอนนี้ตัวผมน่ะ….งานงอกแล้วไง!
บอกเป็นนักบุญก็ซวยมากพอแล้ว นี่เป็นนักบุญที่พลังตื่นเพราะงั้นคงไม่ต้องสืบเลยว่า….
“ดังนั้นแล้วตัวฉันคงห้ามไม่ได้แล้วล่ะค่ะที่จะต้องส่งตัวหนูออโรร่าไปฝึกควบคุมพลังกับท่านสังฆราชด้วยตัวเองที่เมืองหลวง”
บัดซบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หนักกว่าเดิมอีกเว้ยยยยย
จบไปแล้วนะครับสำหรับตอนผ่อนสบายๆ จากถังกาว ช่วงนี้จะยังไม่ขอถล่มถังกาวเท่าไหร่นะครับเพราะไม่งั้นทุกท่านอาจจะเมาเกินไปได้ 555+
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า