ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 85 ภาค2 บทที่ 15 ออโรร่าและหนอนหนังสือ
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 85 ภาค2 บทที่ 15 ออโรร่าและหนอนหนังสือ
“อ้าว ๆ นั่นนึกว่าใคร…. คารวะท่านนักบุญ ขอเมตตาแห่งพระองค์ทรงสถิตกับพวกเรา”
ผมรีบหันไปหาต้นเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง ตรงนั้นเองที่พบกับชายวัยกลางคนในชุดของนักบวชสีขาวยาวที่ตรงชุดนั้นมีปักตราสัญลักษณ์เป็นรูปหนังสือที่ล้อมรับด้วยรัศมีแห่งแสง
ร่ายกายของเขาสูงผอม ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อเท่าไหร่ บ่งบอกถึงกิจวัตรประจำวันที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวตัวมากนัก ผมสีบลอนด์ที่เริ่มมีสีขาวปนบ่งบอกอายุที่มากขึ้นของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี แต่จุดเด่นที่สุดคงเป็นดวงตาสีเทาที่คมกริบพร้อมจะมองทะลุผ่านทุกคน
เค้าโครงหน้านั้นคมไม่ต่างจากดวงตาของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับจอมปราชญ์ที่มีความรู้มากมาย แต่ก็ผสมกับความเป็นมิตรน่าเข้าหาเช่นกัน
“สวัสดีค่ะ มิทราบว่าท่านคือ?”
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้า ไมซ์เตอร์ เดอ มิสทีเรย์ อลาริค ผู้ดูแลหอสมุดนี้ครับ”
คำพูดของเขาสุภาพแต่ก็ยังแอบแฝงความเป็นกันเองอยู่ โดยตำแหน่งที่เขากล่าวมานั้นจริงแล้วไม่ใช่ตำแหน่งของบรรณารักษ์หรืออะไร มิสทีเรย์ นั้นคือผู้ศึกษาค้นคว้าศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของศาสนจักร และหากมีคำว่าไมซ์เตอร์นำหน้าก็หมายถึงการเป็นหัวหน้าของคณะมิสทีเรย์อีกทีหนึ่ง
“ลุกขึ้นก่อนก็ได้นะคะ เอ่อหนังสือพวกนั้นให้เราช่วยถือไหมคะ”
ข้าง ๆ เขาคือหนังสือกองโตถูกวางเอาไว้ที่พื้น ให้เดาเขาน่าจะวางมันลงเพื่อทำความเคารพผม ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนักจึงอาสาช่วย
“ไม่ได้หรอกครับ ๆ จะให้ท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยได้เช่นไร ตัวข้าก็ไม่ได้แก่ชราขนาดแค่กองหนังสือก็จัดการไม่ได้หรอกจริงไหม”
เขาลุกขึ้นมาก่อนดีดนิ้วหนึ่งที หนังสือที่ข้างตัวก็ลอยขึ้นมาอยู่ที่มือทั้งสองที่อ้ารอรับเอาไว้ รอยยิ้มได้เผยออกให้กับผมอย่างสนุกสนาน
“เห็นไหม ว่าไม่ถึงขั้นต้องลำบากท่านนักบุญหรอกครับ”
ใช้เวทต่าง ๆ ได้เหมือนลมหายใจ ก็สมแล้วที่เป็นไมซ์เตอร์ มิสทีเรย์ของมหาวิหาร ว่าแต่นี่มันก็ครั้งแรกเลยนะที่ผมมาเจอฝ่ายเวทของศาสนจักร เพราะปกติมักจะอยู่กับพวกอัศวินหรือนักบวชที่เป็นครูสอนศาสนามากกว่า
ฟังดูอาจจะแปลก ๆ ว่านักเวทมาอยู่ในศาสนจักรได้ไงทั้งที่มีเหล่านักบวชที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่จริง ๆ คนที่เรียกว่านักบวชนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวทได้ บางคนอาจเน้นไปที่การสอนศาสนาอย่างเดียวเลยโดยไม่มีแม้แต่พลังปาฏิหาริย์ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้คือศาสนจักรนี้เกิดขึ้นมาจากสงครามกับเหล่าปีศาจ ดังนั้นแน่นอนว่านอกจากนักบวชที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการสนับสนุนและเยียวยา ย่อมต้องมีผู้ใช้เวทศักดิ์สิทธิ์สายจู่โจมเพื่อต่อกรกับปีศาจ นั่นคือที่มาของกลุ่มมิสทีเรย์
จอมเวทขของศาสนจักรจะมีความแตกต่างจากจอมเวทย์ทั่วไปคือพวกเขานั้นก็สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ และบางครั้งก็นำมันมาผสมกับเวทด้วยต่างหาก แต่แย่หน่อยด้วยความที่ศาสนจักรมีข้อบังคับมากมาย ทำให้เวทบางสายพวกเขาก็ถูกห้ามที่จะเรียนรู้หรือใช้งาน
“ว่าแต่ท่านนักบุญมาที่แห่งนี้ มิทราบว่ามีหนังสืออะไรที่อยากได้หรือไม่ หากช่วยได้ข้ายินดีที่จะหาให้ท่านนะ”
“เรื่องนั้นเรา…”
จะบอกไม่ได้เด็ดขาดว่ามาตามแสงติดตามตัวคนร้ายมาน่ะ ไม่งั้นวิหารนี้คงได้แตกตื่นกันยกใหญ่แน่ ๆ
“มาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเวทน่ะค่ะ”
“หืม เรื่องเวทงั้นเหรอ?”
“ค่ะ จริงอยู่ว่าเรานั้นใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้มากมายจากพรที่พระองค์มอบให้ แต่ว่าในยามสู้กับจอมปีศาจเมื่อสี่ปีก่อนนั้นทำให้เรารู้ว่าตัวเองยังอ่อนด้อยทำให้ตกอยู่ในอันตราย การมีเวทไว้ป้องกันตัวและต่อสู้กับภัยร้ายต่างได้ด้วยตัวเองจึงจำเป็นค่ะ”
“ก็เลยศึกษาเวทมนต์สินะครับ ได้ยินเรื่องของท่านทั้งภารกิจอันยิ่งใหญ่และปัญญาอันลำเลิศ ดูท่าจะเป็นจริงดั่งที่เขากล่าว”
น้ำเสียงของอลาริคนั้นทุ้มต่ำน่าฟัง ทุกจังหวะของการพูดของเขานั้นมันช่างเหมือนกับดนตรีที่บรรเลงที่ท่วงทำนองสอดประสานเป็นอย่างดี
“พูดชมเกินไปแล้วค่ะ”
“ขอเพียงรู้ว่าตัวเองไม่รู้สิ่งใด ปัญญาก็เกิดขึ้นแล้วท่านนักบุญ การไม่อวดตน ยอมรับในสิ่งที่ขาดนี่คือสมบัติขอปราชญ์ ข้าไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย”
ก็แค่ว่าเดินตามแสงมาเท่านั้นแหละ ไม่ได้อยากจะฝึกเวทอะไรหรอกเพราะอันที่จริงถ้าผมอยากใช้เวท ผมก็ถล่มจ่ายพลังนักบุญให้ร่างกายปรับสภาพสร้างเวททั่วไปได้ แต่นั่นก็ต้องเสียแต้มไปหลายร้อยเหมือนกันถึงจะใช้ได้ ให้ตายสิ
‘จะมัวคุยอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะ พลังเวทเริ่มเจือจางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยัยหนู’
รู้แล้วน่า
เสียงของราสดังขึ้นมาในหัวเพื่อเตือนถึงจุดมุ่งหมายแรกที่พวกผมมาที่นี่ เมื่อมองดู เส้นแสงสีฟ้าหมุ่นเริ่มค่อย ๆ จางหายไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านพ้น จริงอยู่ว่าตัวของเจ้าของร่างหายไปแต่อย่างน้อยหากตามไปถึงจุดที่วงเวทขาดไปก็น่าจะพอ
ตามเจ้าราสว่านั่นล่ะ ต้องรีบไปแลว ถึงจะไม่เจอตัวแต่ขอมีร่องรอยอะไรให้เห็นหน่อยก็พอแล้วล่ะน่า
“เช่นนั้นเราขอตัวก่อนนะคะ เวลาในการศึกษามีไม่มากเนื่องด้วยภารกิจช่วงเย็น ต้องขออภัยท่านไมซ์เตอร์ด้วยที่ไม่สามารถพูดคุยกันต่อได้”
ผมรีบย่อตัวแล้วโค้งให้เขาแบบพอเป็นพิธีก่อนจะเตรียมหมุนหันตัวเพื่อรีบเดินไปทางห้องสมุด
“รบกวนเวลาท่านนักบุญแล้ว แต่อย่ากังวล พวกเราไปทางเดียวกัน แถมด้วยข้าเองก็เป็นผู้ดูแลหอสมุดนี้ รู้จักหนังสือทั้งหลายเป็นอย่างดี หากท่านนักบุญอยากจะได้หนังสือเวทบทไหนข้ายินดีไปหยิบให้”
“พระเจ้าทรงได้ตรัสเอาไว้ ความรู้ใดที่เจ้าแสวงหา จงแสวงหาได้ความพยายามของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วตัวเราไม่อาจทำผิดจากท่านผู้ยิ่งใหญ่ได้ หวังว่าท่านไมซ์เตอร์จะเข้าใจนะคะ”
‘มันมีด้วยเหรอไอ้บทนี้’
คิดสดน่ะ แต่ในฐานะนักบุญแล้ว ถือซะว่าบัญญัติใหม่ไปก็ไม่เสียหายจริงไหมราส
‘ปกติเขามีแต่สอนให้พึ่งพากันและกัน นี่อะไรถ้าทำได้ก็ทำเองงั้นเหรอ… วิบัติจริง ๆ’
อย่าว่ากันน่ะราส ถ้าไม่ใช้ข้อเองนี้ เจ้าหมอนั่นมันได้ตามตื้อไม่เลิกแน่นอน
“หืม? มีคำสอนเช่นนี้ด้วยเหรอ ข้าจำได้ว่าข้าอ่านมาหมดทุกเล่มแล้ว ไม่เห็นเคยเจอมาก่อน….”
คำพึมพำของท่านอลาริคทำเอาผมเริ่มเหงื่อตก สันหลังรู้สึกหนาวเย็นวูบ ๆ เหมือนราวกับโดนจบโยนเข้าตู้เย็นในทันที
‘เห็นไหม วิธีลักไก่ของเจ้าน่ะใช้ได้กับแค่พวกสาวกมือใหม่อ่านหนังสือไม่พอ แต่ดูสิ กับคนหนอนหนังสือเช่นนี้ไม่มีทางจะหลงกลเจ้าหรอก!!’
บ้าน่า วิชาลับของออโรร่าน้อย มั่วคำสอน จะมาพังกับหนอนหนังสืออย่างท่านไมซ์เตอร์เนี่ยนะ ไม่ได้ ผมยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้
“เป็นคำสอนหนึ่งที่เขียนไว้ในบันทึกเฉพาะของนักบุญน่ะค่ะ ท่านไม่รู้คงไม่แปลก”
‘เจ้าเอาอะไรมาคิด อ้างแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อ!!!’
เอาน่าราสคิดดูสิ ขนาดกฎความยาวของกระโปรงนักบุญมันยังมี ภาษาอะไรกับคำสอนมั่ว ๆ ที่นักบุญสักคนอาจเขียนขึ้นมา ของแบบนี้เดา ๆ สุ่มไปมันก็น่าจะถูกล่ะน่า
“อ๊ะ เป็นเช่นนี้นี่เอง… ว่าแล้วทำไมไม่เคยอ่าน ที่แท้ก็เป็นบันทึกเฉพาะของท่านนักบุญนี่เอง”
‘มันเชื่อด้วย!!! ได้ไงกัน’
ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะซื้อง่ายขนาดนี้ แต่แบบนี้ก็ง่ายดี ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรให้วุ่นวาย ตัวตนของหนังสือก็คงไม่มีใครถามถึงเพราะชื่อมันก็บอกอยู่ว่าเป็นบันทึกเฉพาะของนักบุญ
“เช่นนั้นข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่”
มันถามอะ!!!
“เอ่อ เป็นบันทึกคำสอนเฉพาะนักบุญ เอามาให้ผู้อื่นดูคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่”
ให้ดูไม่ได้ ไม่สิ ถึงอยากให้ดูมันก็ดูไม่ได้หรอก ก็ไอ้ทั้งหมดที่ว่ามาผมมั่วถั่วมาหมดเลยนี่นา ขืนให้ไปความมันก็แตกหมดสิว่านักบุญขี้โม้น่ะ
“อย่าว่าอย่างนั้นเลยท่านนักบุญ คำสอนใด ๆ ของพระองค์ล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้มลทิน เช่นนั้นแล้วไม่มีคำว่าไม่เหมาะหากนั้นเป็นคำสอนออันมาจากพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่”
มันยังหาทางได้!! ผมดูถูกไปจริง ๆ ดูถูกความศรัทธาของสาวกของพระเจ้านั่นกับความเป็นสุดยอดเนิร์ดหนังสือของท่านไมซ์เตอร์ นี่ได้ตำแหน่งมาเพราะอ่านหมดคลังมหาวิหารแน่ ๆ
“ไม่เคยได้ยินเหรอคะ พระองค์ได้ว่าบางครั้งความรู้บางอย่างก็เหมาะสมกับเพียงบางคน ผู้ใดฝืนรับรู้ ผู้นั้นย่อมอาจพบความวิบัติ”
หนังสือเฉพาะนักบุญไม่ได้ งั้นวกเข้าหนังสือต้องห้ามไปเลยแล้วกัน
“เรื่องนั้นข้าน้อยเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ด้วยคำสอนของพระองค์ในหมวดสงครามศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่ร้อยห้า วรรคที่สิบ ได้กล่าวเอาไว้ว่า แม้จะอันตรายแต่หากมิลองสัมผัสก็ไม่อาจทราบได้ถึงตัวจริงแห่งความรู้ สิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ความรู้ไม่ใช่เงินทองหรือฐานะหรือพลัง แต่เป็นความศรัทธาในตัวเองและพระองค์ต่างหากที่ทำให้เราจะได้ความรู้ต้องห้ามเหล่านั้น”
มันยังจะหาได้อีกเหรอ ไอ้คำสอนแบบนี้มันยังจะมีหลุดมาได้อย่างไรถามจริงเถอะพระเจ้า สอนสาวกอีท่าไหนว่าความรู้อันตรายไม่ลองไม่รู้ ขอมีศรัทธาเดี๋ยวมันก็ใช้ได้เอง แบบนี้เหรอ…. นี่เล่นขายของเหรอไงคุณพี่!!!
“การนำอันตรายมอบให้กับผู้อื่นนั้นไม่ใช่วิสัยของนักบุญ เรามิอาจทำให้ท่านได้จริง ๆ”
ได้ ในเมื่อวิธีหนังสือต้องห้ามไม่ได้ ก็มาใช้หลักสูตรแม่พระเลยแล้วกัน แน่นอนพูดไม่พอผมย่อมบีบน้ำตาใส่เขาอีกต่างหาก เป็นไงล่ะ ด้วยพลังนี้ของออโรร่าไม่ว่าใครก็ต้องสยบ….
“อันตรายที่เลือกเข้าหาเองนั้นเป็นความผิดของผู้คิดสัมผัส ไม่ใช่ผู้มอบให้ คำพูดของนักบุญที่สิบสองแห่งราสเวนน่า… เช่นนั้นขอนักบุญออโรร่าโปรดวางใจอันตรายใดล้วนเป็นของเรามิใช่ท่านเพราะฉะนั้น…”
“อ๊ะ เช่นนั้นเหรอคะพระองค์.. เข้าใจแล้ว ท่านประสงค์ให้เราไปสินะคะ ได้ค่ะ”
ไม่รู้ว่าคุณพี่แกทำภารกิจอ่านหนังสือให้ครบทั้งมหาวิหารหรือไงถึงพยายามอยากจะได้หนังสือนั่นจะเป็นจะตาย แต่ต้องขอโทษด้วยนะท่านอลาริค เจ้าหนังสือนั่นน่ะไม่มีหรอก ท่านน่ะยังอ่านครบอยู่นะ หนังสือของศาสนจักร
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าพูดไปเขาก็ใช้ความเนิร์ดหนังสือสุดโหด อ้างสารพัดตำราที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเอาชนะผมได้ เช่นนั้นแล้วผมคงต้องใช้ท่าไม้ตาย…
พระเจ้ากำลังเรียกข้า!!
ใช้แล้ว ในโลกนี้มีเพียงแค่ผมที่สามารถได้ยินเสียงพระเจ้าได้แบบที่ทุกคนรู้กันเป็นทางการ ดังนั้นด้วยสิ่งนี้ก็จะไม่มีใครกล้าขัดหรือมาขวางการไปของผม ขอโทษด้วยจริง ๆ ท่านอลาริคแต่ผมรีบ
“ต้องขอตัวก่ออนนะคะ เรามิอาจให้พระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่ต้องรอได้ ลาก่อนค่ะ”
ว่าจบผมก็ใส่เกียร์หมาติดไนตรัสวิ่งไปทางห้องสมุดก่อนที่พลังที่เหลืออยู่จะจางหายไป
“อ๊ะ ท่านนักบุญ..!!”
ขอโทษนะท่านอลาริค เดี๋ยวจะมาเขียนหนังสือเล่มนั้นให้นะ!!!!!!
——————————–
หลังเจอคนติดพระเจ้า รอบนี้มาเจอคนติดหนังสือบ้างนะครับ