ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 83 ภาค2 บทที่ 13 ออโรร่ากับภารกิจของราชา
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 83 ภาค2 บทที่ 13 ออโรร่ากับภารกิจของราชา
ตรงหน้าของผมคือผู้ทรงอำนาจทั้งสองแห่งราสเวนน่า หนึ่งคือราชาออสวัลด์ผู้ถืออำนาจสูงสุดแห่งอาณาจักร บุคคลที่ผมให้ขึ้นชื่อว่าปกติที่สุดในดินแดนที่ความคิดบิดเบือนเช่นนี้ ผู้ที่ยังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่โลกอันบิดเบี้ยวที่โดนกาวหกใส่
สองคือขุนนางวัยเกือบจะเข้าชราภาพ เขามีผมสีขาวแทบหมดหัว แต่ก็จัดทรงดีจนเรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษน่าเชื่อถือ ท่านริชเชอริแอร์ ที่ปรึกษา และอาจารย์ของกษัตริย์ออสวัลด์ อีกหนึ่งคนที่ตั้งแต่รู้จักมาก็มีความเป็นคนปกติพอ ๆ กับออสวัลด์ แต่ผมเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับเขาเท่าไหร่นัก
“ขอทำความเคารพองค์กษัตริย์ออสวัลด์แล้วก็ท่านที่ปรึกษาริชเชอริแอร์ ตัวข้า ซิลเวีย เดอ ฟรอเซียได้เชิญท่านออโรร่ามางานน้ำชาตามประสงค์ของท่านทั้งสองแล้ว”
“สวัสดีค่ะท่านออสวัลด์ ท่านริชเชอริแอร์”
พวกเรทั้งสองคนเอามือทาบอก พร้อมกันก็โค้งหัวให้คนตรงหน้าอย่างสุภาพ อีกฝั่งเองก็โค้งกลับมาเช่นกัน บ่งบอกถึงฐานะอันใกล้เคียงระหว่างเขากับผม
“สวัสดียามสายท่านนักบุญ ต้องขออภัยที่เชิญท่านมาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า เชิญท่านนั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“อัลจะเอาชาอะไรดี คาโมมายล์แบบเดิมไหม”
“อืม ขอบคุณนะซิลวี่”
ผมนั่งลงตามคำเชิญ ตอนนั้นเองที่น้ำชาได้ถูกรินแล้วเสิร์ฟมาให้ กลิ่นอ่อน ๆ ของชาคาโมไมด์ที่เพียงแค่สูดดมก็ทำให้รู้สึกสดชื่นเหมือนเช้าวันใหม่ ยิ่งผสมเข้ากับน้ำผึ้งชั้นดีจากทางเหนือก็ทำให้รสของมันกล่อมกล่อม
ขนมเองก็ถูกส่งมาเช่นกัน ที่จริงผมก็ว่าจะกินมันคลายเครียดจากความกดดันทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งวัน แต่เมื่อเห็นสายตาของทั้งสองคนที่มองมา แม้จะอบอุ่นเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กแต่ก็มีความกังวลบางอย่างแฝงเอาไว้ ทำให้ผมหยุดลงแล้วยิ้มให้พวกเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องงแบบนี้เราไม่ได้คิดอะไรมาก อีกอย่างน่าจะไม่ได้มีแค่ดื่มชาจริงไหมคะ”
ท่านราชายิ้มรับไม่พูดอะไร ขณะที่ท่านริเช่เองก็กวาดสายตามองดูทั่ว ๆ ก่อนจะชูมือขึ้น ทันใดนั้นเองเหล่าคนรับใช้ทั้งหมดได้เดินออกไปเหลือเพียงแค่พวกเราทั้งสี่คนเท่านั้น
“ที่จริงอยากให้ท่านได้พักผ่อนเต็มที่จากการเดินทางก่อน แต่หากพูดเช่นนี้มาขอเข้าเรื่องก่อนแล้วกันนะ ท่านที่ปรึกษา เชิญท่านเลยแล้วกัน”
“เฮ้อ จริงอยู่ว่าธุระที่เรียกคุยเร่งด่วน แต่ก็ไม่ด่วนขนาดสละเวลาสำหรับการพักผ่อนจากความเหนื่อยหรอกท่านนักบุญ แต่ก็ดั่งที่องค์ราชากล่าว เวลาน้ำชาและของว่างเก็บไว้ทีหลังก็ได้”
ท่านริเช่แม้จะยังหน้านิ่งไม่ได้ยิ้มอบอุ่นแบบท่านราชา แต่เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบคนแก่ใจดีที่เอ็นดูเด็ก ๆ จากนั้นเขาก็หยิบกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดมันต่อหน้า
ภายในกล่องใบนั้นสิ่งที่แสดงออกมาคือตราสัญลักษณ์แห่งปักษาแห่งราสเวนน่าซึ่งมีรูปร่างคล้ายเจ้าราสโดยสภาพของมันตอนนี้จะเรียกว่าอยู่ดีก็ไม่ได้เพราะชิ้นส่วนหลายชิ้นได้กระจัดกระจายแตกออกจากกัน
“นี่มัน…”
“ตราผู้พิทักษ์แห่งเรสเวนสินะคะ”
ซิลเวียพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างไม่ปิดบัง ท่านริเช่และราชาก็ตอบสนองด้วยการพยักหน้าพร้อมกับสีหน้าของพวกเขาที่ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นจริงจังและกังวลใจ
“ถูกอย่างที่เจ้าว่า ผู้พิทักษ์สิ่งนี้คือตราผู้พิทักษ์แห่งเรสเวน..ไม่สิ ต้องเรียกว่าอดีตมากกว่า”
‘บ้าน่า เจ้าสิ่งนี้ถูกทำลายงั้นเหรอ’
ตกใจเช่นนี้มันคืออะไรหรือคะราส
‘บ้าน่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้เหรอ นี่มันของสำคัญของอาณาจักรเลยนะ!!’
อย่ามาว่าผมนะราส รู้ไหมว่าบทเรียนที่ต้องอ่านทุกวันนี้น่ะมันยากแค่ไหนน่ะ แค่ผ่านไปได้แต่ล่ะวันก็บุญกบาลแล้ว!!! ใครใช้ให้บทสวดมันจำยากขนาดนี้กันล่ะ!!
‘ตราผู้พิทักษ์แห่งเรสเวน คือที่กักเก็บพลังของท่านเรสเวน ปฐมกษัตริย์และผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์คนแรกแห่งราสเวนน่าเอาไว้ พลังที่ผิดแปลกนั่นน่ะ’
แล้วมันทำอะไรได้บ้างงั้นเหรอเจ้าตรานี่น่ะ
‘ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตัวตรา เจ้าตรานี่มันก็แค่ตัวกักเก็บไม่สิผนึกพลังต่างหาก… เป็นพลังที่อยู่ข้างในต่างหากที่ข้ากังวลใจ’
พลังของผู้พิทักษ์คนแรกงั้นเหรอ ฟังดูไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ ว่าแต่เดี๋ยว เมื่อครู่ก็คทาของนักบุญคนแรก มาตอนนี้ยังเป็นตราผู้พิทักษ์ของสามีเธออีก ทำไมผมรู้สึกได้กลิ่นแปลก ๆ กันนะ
‘พลังของเจ้าบ้านั่น ของเจ้าราชาหัวดำนั่น… มันคือพลังแห่งพันธะ ซึ่งหากใครก็ตามสาบานกับมันหรือให้คำสัญญา จะถูกตีตราแห่งพันธะซึ่งบังคับให้ทำตามอย่างไม่สามารถต่อต้านได้’
อ้าวเฮ้ย ปัญหาแล้วไม่ใช่เหรอไง!! แบบนี้ถ้าถูกบังคับโดยไม่เต็มใจแต่เผลอพูดไปตอนอีกฝ่ายใช้ตาก็แย่สิราส
‘นั่นล่ะคือปัญหา หากใช้ในทางที่ดีมันก็เป็นคุณ แต่หากใช้ในทางเสื่อมมันก็เป็นโทษมหันต์ต่อทั่วแผ่นดิน’
“อัล.. อัลคะ เป็นอะไรเหรอเปล่าคะ?”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกพอดีกังวลใจนิดหน่อยน่ะ ตราแห่งเรสเวนถูกทำลาย พลังแห่งพันธะถูกขโมยแบบนี้ก็เลย… กังวลใจพอสมควรน่ะค่ะ”
สงสัยผมจะคุยกับเจ้าราสจนลืมสนใจสิ่งรอบข้าง ทำให้เหมือนกับเหม่อไปแบบไม่ตอบสนองกับสิ่งใด ทำให้ซิลวี่มองอย่างเป็นห่วงผมเลยรีบตอบกลับไปเพื่อให้เธอคลายกังวล แต่นั่นเหมือนจะเป็นความคิดที่ผิดเมื่อเห็นใบหน้าของทั้งราชาและท่านริเช่ที่เปลี่ยนไปทันทียามที่ผมกล่าวถึงพลังของราชา
“นึกไม่ถึงว่าท่านนักบุญจะรู้เรื่องความลับแห่งราชวงศ์เช่นนี้”
ท่านริเช่เริ่มมองมาที่ผมอย่างสงสัย นั่นทำเอาผมเริ่มรู้สึกร้อนรนว่าตัวเองเผลอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าแต่เมื่อคิดดูมันก็อาจจะใช่เพราะพลังระดับโหดแบบนี้มันต้องเป็นความลับของราชวงศ์อยู่แล้ว จู่ ๆ เด็กที่เป็นคนของศาสนจักรมารู้มันก็ต้องน่าสงสัยธรรมดา
งานงอกแล้วไง พูดไม่คิดอีกแล้วออโรร่า!!!
“ท่านนักบุญไม่น่ามีส่วนรู้เห็นในการทำลายผนึกและแย่งชิงพลังไปแน่นอนท่านอาจารย์ บางทีท่านนักบุญเลยอาจรู้ผ่านนิมิตรแห่งเทพก็ได้”
“ไม่รู้ว่าท่านริเชลิแอร์สงสัยอะไรต่ออัล..ต่อท่านออโรร่า แต่ฉันขอยืนยันค่ะว่าท่านออโรร่าไม่มีทางคิดทำอะไรที่คิดร้ายต่อผู้ใดแน่นอน”
“ซิลวี่…ท่านราชา”
ความประทับใจเล็ก ๆ เกิดขึ้นทันทีเมื่อยามที่ทั้งสองคนได้พูดปกป้องผมขึ้นมาจากความสงสัยของท่านริเช่
“พวกท่านอย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่ได้คิดอะไรที่ผิดบาปอย่างการสงสัยว่าท่านนักบุญเป็นผู้บงการหรือกระทำสิ่งนี้ แค่… อาจมีใครชี้นำนางให้รู้จักสิ่งนี้มาก่อน”
“เรื่องนั้น…”
‘ช่างไร้สาระเสียจริง บอกมาว่าใครเป็นคนทำลายมัน!!’
ไม่ทันพูดได้ถึงไหน ตอนนั้นเองที่ร่างของผมระเบิดละอองแสงสีส้มจาง ๆ ก่อนที่จะปรากฎร่างของวิหคต้นแบบของตราในกล่องนี่
“ขอทำความเคารพวิหคศักดิ์สิทธิ์แห่งราสเวนน่า”
ทั้งสามคนเมื่อเห็นการปรากฏตัวของเจ้าราส พวกเขาก็รีบคุกเข่าแล้วแสดงทำความเคารพอย่างนอบโน้ม
จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนไม่มีใครสามารถเห็นเจ้าราสได้นอกจากผม หรือต่อให้เห็นก็เห็นเพียงแค่ละอองแสงที่เป็นพลังตกข้างของมัน แต่ว่าหลังจากผ่านการทำภารกิจทั้งหลายของพระเจ้า ผมก็ได้สละแต้มนักบุญอันมีค่าเพื่อทำให้ตัวตนของมันปรากฎได้เด่นชัดกว่าเดิมโดยไม่ต้องร่ายพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำภารกิจในตอนนั้นให้สำเร็จจนเจ้าราสได้ร่างมาแบบอิสระอีกครั้งหนึ่ง
มันแทบไม่สนใจคนทั้งหลายที่ทำความเคารพมันทั้งที่ปกติมักจะทำหน้าเหลิงดีใจ แต่ความกังวลใจต่อสิ่งของตรงหน้ามากกว่า
‘บอกข้ามาว่าฝีมือใคร ไม่สิ พวกเจ้าปล่อยให้เกิดเรื่องนี้ได้เช่นไร!!!’
เสียงของราสเต็มไปด้วยทั้งความโกรธและความว้าวุ่นใจ บ่งบอกถึงความหนักหนาของสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้ทั้งสอองคนผมทรงอำนาจในห้องนี้ได้แต่มองหน้ากันแล้วพยักหน้า
“เช่นนั้นคงเป็นท่านวิหคศักดิ์สิทธิ์ที่ได้บอกกล่าวถึงพลังนี้ให้กับท่านนักบุญ เช่นนั้นข้าคงไม่กล้าติดใจสิ่งใด… ส่วนคำตอบนั้นคงได้แต่บอกท่านว่าพวกเรานั้นยังหาตัวคนร้ายไม่พบ”
‘หึ ช่างไร้ความสามารถ ช่างไร้ความสามารถจริง ๆ พวกเจ้ารู้ไหมว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงเพียงใด’
“เรื่องในตระกูลข้า ข้าย่อมรู้ดีท่านวิหคศํกดิ์สิทธิ์ ทว่าคนร้ายนั้นน่าจะมีฝีมือมาก ปกปิดตัวตนได้แนบเนียนทั้งพลังที่ใช้ก็ยังยากตรวจจับแต่ว่าหลายวันที่ผ่านมาพวกเราก็เจอสิ่งนี้”
พระราชาพูดขึ้นก่อนที่ท่านริเช่จะนำขวดซึ่งบรรจุของเหลวสีใสออกมา เขาราดมันลงไปที่ตราของเรสเวนที่แตกสลาย
วิ้ง ๆ
เมื่อของเหลวในขวดสัมผัสเข้ากับเศษโลหะภายในกล่อง น้ำสีใสเริ่มที่จะเรืองแสงออกมา แสงนั้นเป็นสีขาวนวลบริสุทธิ์เพียงแค่มองก็รู้สึกสบายตาและอบอุ่น ทว่ากลับทำให้ดวงตาของราสหรี่เล็กลงอย่างสงสัยและสับสน
‘บ้าน่า เป็นไปไม่ได้ นี่พวกเจ้าจะบอกข้าว่า….’
“ครับท่านวิหคศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงพวกเราเองตอนแรกที่ใช้มันเพราะคิดว่าจะออกมาเป็นสีดำแห่งปีศาจแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ แถมเข้มข้นมากเสียด้วย”
ท่านริเช่พูดขึ้นมาก่อนมองขวดที่อยู่ในมือของตัวเอง น้ำเสียงของเขาบอกถึงความหนักใจกับเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น ทำเอาผมสงสัยว่าเจ้าสิ่งที่แสดงอยู่นี้มันหมายถึงอะไร
‘หยาดน้ำแห่งอาร์เฟน หยาดน้ำที่ตรวจจับและแบ่งแยกพลังที่เกิดขึ้น แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดแต่พลังที่ตกค้างนั้นจะยังคงอยู่… เวททั่วไปจะเป็นไปตามธาตุแต่จะส่องแสงสีดำยามต้องกับพลังปีศาจ แต่หากแสงที่ออกมาเป็นแสงนวลประดุจแสงจากสวรรค์…’
“พลังศักดิ์สิทธิ์”
‘ถูกต้องตามนั้น’
ผมทายคำตอบสุดท้ายจากช่องว่างคำพูดของราส นั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจสถานการณ์และความหมายของความสงสัยในใจของท่านริเช่เมื่อครู่นี้ ถ้าเกิดของสำคัญของถูกทำลายแล้วยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่โดยรอบนั่นไม่ต้องสงสัยเลย
เค้ากำลังสงสัยศาสนจักร
“ตอนแรกเราคิดว่าแสงที่ออกมาจะเป็นสีดำของปีศาจร้ายเพราะมีรายงานจากทางสายสืบของเราว่าตรวจจับพลังของปีศาจได้ในช่วงนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะมาเป็นแบบนี้”
ท่านริเช่พูดขึ้นมาอย่างกังวล ส่วนผมนี่กังวลยิ่งกว่าเพราะได้ยินคำว่าพลังของปีศาจนั่นทำเอานึกถึงเรื่องภารกิจของพระเจ้าที่ได้รับมา…
ทำไมหน่วยอัศวินศักดิ์สิทธิ์มันไม่ได้เรื่องอะไรนอกจากเคาะประตูบ้านจนคนต่างแดนรู้เรื่องที่สืบ แต่คนจากราชสำนักที่ควรจะไม่ถนัดการตรวจจับปีศาจเท่าถึงรู้ได้เร็วกว่าฟะ!!!
ทำงานภาษาไหนกันเนี่ยพวกนาย!!!!
แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเหมือนท่านริเช่จะพอรู้เรื่องอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นบางทีจบเรื่องอาจค่อยไปถามข่าวจากเขาอีกที ตอนนี้มาโฟกัสกับเรื่องสำคัญอย่างเจ้าตราปริศนานี่ดีกว่า
เรื่องมันเริ่มชักไม่ค่อยดีแล้วสิ ผมเริ่มจะรู้แล้วว่าเขาเชิญผมมาที่นี่ทำไม พลังศักดิ์สิทธิ์ ตราที่แตกสลายและพลังแห่งปฐมกษัตริย์ที่ถูกขโมยไป… ท่าทางจะโดนลากเข้ามาในจุดที่ยุ่งยากแล้วสิเรา
“กำลังสงสัยศาสนจักรอยู่สินะคะ ท่านทั้งสอง”
ซิลวี่พูดขึ้นมาแทนความคิดของผม ดวงตาของเธอไม่มีท่าทีของความกังวลใจหรือความเครียดผิดกับผมที่ตอนนี้มีคำถามมากมายอยู่ในหัวไปหมด
“ใจจริงพวกเราไม่อยากจะสงสัยเพราะแค่นี้รอยแผลของสองฝ่ายก็มีมากพออยู่แล้ว แต่หากความกังขายังไม่ถูกขจัด ก็ยากที่จะสมานแผลนั่นได้เช่นนี้พวกเราจึงอยากจะขอร้องท่านนักบุญให้ช่วยตรวจสอบศาสนจักรให้เราว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องหรือไม่ หากไม่มีก็จะเป็นการล้างมลทินให้แก่ศาสนจักรและความสัมพันธ์ของสองฝ่ายก็ยังจะคงต่อไปได้”
ท่านริเช่พูดสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงของขาเคร่งเครียดอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดปัญหาได้ตลอดเวลา หากเกิดประกายไฟแห่งปัญหาแม้เพียงนิดเดียว ความสัมพันธ์ของอาณาจักรที่องค์ราชาและเขาพยายามรักษาสมดุลมาตลอดคงได้พังทลาย
“เพราะงั้นจึงอยากให้ท่านออโรร่าเป็นคนช่วยตรวจสอบสินะคะ”
“ถูกต้อง เพราะท่านนักบุญ แม้จะอยู่ใต้การดูแลของศาสนจักรแต่ก็ทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองไม่สนใจฝักฝ่ายใดมาโดยตลอด เรื่องนี้ตัวท่านพิสูจน์ให้ข้ากับท่านริเชอลิแอร์มาตลอดหลายปี”
นั่นเพราะผมไม่อยากมีปัญหาว่าเลือกข้างแล้วมีปัญหากับอีกฝ่าย ให้มองเห็นเป็นนักบุญผู้แสนดียินดีช่วยเหลือทุกคนไปชีวิตมันจะง่ายดายกว่า
“เช่นนั้นแล้วท่านนักบุญ ท่านยินดีจะช่วยพวกข้าตรวจสอบเรื่องนี้ได้หรือไม่ แน่นอนว่าหากท่านปฏิเสธเพราะกลัวผิดใจกับผู้ที่ดูแลท่าน ข้าในฐานะราชาขอประกาศว่าจะไม่ติดใจอะไรทั้งสิ้น”
ราชาออสวัลด์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น เป็นสิ่งชี้ชัดว่าคำพูดที่เขาพูดออกมานั้นจริงแท้ไม่มีบิดเบือน ส่วนท่านริเช่นั้นไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากก้มหน้าลงแล้วปล่อยให้ราชาพูดต่อไปอย่างผู้ตามที่ดี
“ไม่ว่าอัลจะเลือกอะไร ตัวฉันพร้อมยินดีจะเดินไปพร้อมกับคุณค่ะ ทั้งในฐานะผู้พิทักษ์แล้วก็ในฐานะซิลวี่ด้วย”
หล่ออีกแล้ว!!!
ซิลวี่หันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอันแสนจะอบอุ่น มือบาง ๆ ของเธอเอื้อมมาจับมือเล็ก ๆ ของผมราวกับอยากให้กำลังใจ มันทำให้ผมรู้สึกใจสงบไม่ใช่น้อย
“เรื่องนั้น….”
นั่นสินะ หากรับงานนี้มาก็มีสิทธิ์ที่อาจเดินไปชนตอใหญ่แล้วเกิดปัญหากับศาสนจักรขึ้นมา ชีวิตคงจะอยู่ไม่สุขไปตลอดกาล แต่หากปฏิเสธก็ไม่รู้ว่าคนอื่นในฝ่ายขุนนางอาจคิดว่าผมสมคบคิดกับทางศาสนจักรแบบที่ท่านริเช่สงสัยตอนแรกเหรอเปล่า
‘ยัยหนู เรื่องนี้เจ้าควรรับนะ’
ราชหันมาหาผมด้วยสายตาเชิงร้องขอ ปกติมันไม่ค่อยทำแววตาแบบนี้เท่าไหร่นักนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจมาก
‘มีแต่ผู้ที่มีพลังของนักบุญเท่านั้นที่จะไม่ถูกพันธะแห่งเรสเวน งานนี้จึงมีแต่เจ้าที่จะทำได้’
..
งานที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ทำได้งั้นเหรอ….
“เรื่องนี้คือปัญหาของผู้ใหญ่ที่สร้างกันขึ้นมา แม้จะมีตำแหน่งอันสูงส่งแต่ท่านเองก็ยังเยาว์นักท่านนักบุญ ช่างน่าอายที่ต้องร้องขอแต่คงไม่มีใครอื่นที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้นอกจากท่าน ได้โปรดช่วยราสาเวนน่าด้วย”
ท่านริเช่ที่เงียบมานานได้ก้มหัวลงเป็นการขอร้อง พระราชาเองก็เช่นกัน ท่านก้มลงขอร้องเด็กน้อยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกของท่าน
นี่สินะโลกปกติ โลกของผู้ใหญ่ โลกที่เต็มไปด้วยภาระอันมากมายไม่ได้สดใสแบบที่เรารู้จัก โลกที่บางครั้งไม่ว่าจะเลือกยอมรับหรือเดินหนี ก็มีผลที่ตามมาเหมือนกันทั้งคู่ โลกแห่งความรับผิดดชอบ
“เข้าใจแล้วค่ะ เรายินดีช่วย”
“ราสเวนน่าเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ท่านนักบุญ”
————————————–
ได้ภารกิจเหมือนกันแต่อารมณั้นช่างแตกต่าง เอาล่ะมาดูกันดีกว่าว่าน้องออโรร่าของเราจะทำกันอย่างไรต่อกับภารกิจทั้งสองนี้ที่ได้รับมา