ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 76 ภาค2 บทที่ 6 ออโรร่ากับมารยาของนักบุญขั้นสุดยอด
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 76 ภาค2 บทที่ 6 ออโรร่ากับมารยาของนักบุญขั้นสุดยอด
เอาแล้วไง ซวยแล้ว ซวย ๆ
สองคนนี้ไปมีปัญหากันมาตอนไหนเนี่ยผมไม่เห็นรู้เลยว่าเคยเจอกันมาก่อน ทำไมถึงได้จ้องกันอาฆาตแค้นกันขนาดนี้ แต่อย่างไรก็เถอะนะทั้งสองคน ถ้าจะทะเลาะกันก็ปล่อยผมไปที
มือทั้งสองของผมตอนนี้ถูกเรียกได้ว่าโดนพันธนาการจากทั้งสองฝั่ง มือขวาโดนมาเรียยกขึ้นมากุมเอาไว้ ทั้งสองมือนั่นบีบแน่นเอาจนผมรู้สึกปวดตึง ๆ แต่ก็ไม่กล้าร้องออกเสียงเมื่อเห็นแววตาอย่างกับปีศาจของอดีตสาวน้อยขี้อาย
ส่วนมือข้างซ้ายก็ไม่รู้ว่าตอนไหน แต่มันก็โดนซิลวี่คว้าไปเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าซิลวี่ก็สมกับเป็นผู้พิทักษ์ มือที่จับมานั้นช่างอ่อนโยนจนราวกับองค์ชายในนิทานจับมือองค์หญิง แต่ขอโทษนะซิลวี่ เจ้าชายเขาไม่ปล่อยรังสีข้ามหัวเจ้าหญิงแบบนี้หรอกนะ
“คุณหนูลอร์เลนกรุณาปล่อยมือจากอัล.. จากออโรร่าด้วยค่ะ เมื่อครู่ฉันเห็นอยู่นะว่าคุณได้กระทำการไม่เหมาะสมอะไรไป”
“แล้วคุณล่ะคะผู้พิทักษ์ เมื่อครู่ฉันเองก็…. ได้ยินคุณเรียกท่านออโรร่าด้วยชื่ออันสนิทสนม สมควรแล้วเหรอคะ…. ที่ผู้พิทักษ์กระทำเช่นนี้น่ะ”
เสียงของมาเรียนั้นช่างหลอนอย่างกับผี ทั้งดูแหลมสูงและยานนิด ๆ คล้ายกับคนถูกผีสิง ทำเอาทุกครั้งที่เธอพูดออกมาผมเสียวสันหลังวาบ ๆ
“ออโรร่า.. ไม่สิ อัลเป็นคนบอกให้ฉันเรียกด้วยชื่อนี้เองค่ะ.. ชื่ออันแสนสำคัญของพวกเราสองคน ใช่ไหมคะ อัล?”
อย่าลากผมเข้าไปเกี่ยววววววว
ซิลวี่หันหน้ามามองผมด้วยรอยยิ้มอันสุขใจ ยิ่งตอนที่เธอพูดชื่อของผมว่าอัล เสียงของเธอนั้นช่างอ่อนโยนเอามาก ๆ ซะจนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่มันก็อบอุ่นได้แค่เสี้ยววินั่นล่ะ เพราะพริบตาเดียวที่เธอถามย้ำมา ดวงตาสีเขียวอย่างกับผีวิ่งออกจากหลุมก็ส่งพุ่งตรงมาจากมาเรียทันที
“อย่างงั้นเหรอคะ… ท่านออโรร่า?”
สยองงง มาเรีย เธอจะทำตัวน่ากลัวเกินไปแล้วนะ นี่ทำหน้าอย่างกับหลุดมาจากหนังฆาตกรโรคจิตเลย ใจร่ม ๆ ไว้ก่อน!!
เอาไงดีออโรร่า เอาไง นี่มาเรียไปโดนอะไรมาถึงได้โกรธเหมือนโดนผีเข้าแบบนี้เนี่ย!! ไม่สิ ลองคิดดูดี ๆ มันก็มีสาเหตุอยู่นี่หว่า
ย้อนไปไม่กี่นาที ภาพของท่านเคาท์ลอร์เลน พ่อของมาเรียก็ลอยเข้ามา พร้อมกับประโยคหนึ่งของเขาที่ยังดังมาไม่หาย
“หวังว่ามาเรียคงไม่ได้ทำอะไรให้ท่านรู้สึกรำคาญใจใช่ไหมครับ เด็กคนนี้นั้นแม้จะฝึกอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นยอดนักรบได้เสียที อยากให้เอาอย่างท่านผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลเดอ ฟรอเซียจริง ๆ”
อยากให้เอาอย่างท่านผู้พิทักษืจากตระกูล เดอ ฟรอเซีย… อยากให้เอาอย่างซิลวี่ นี่ไงชัดเลยเหตุผล!!
นี่ล่ะผลของพ่อแม่ท็อคซิกที่เอาแต่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่นจนเด็กเก็บกด ถึงมาเรียจะบอกไม่เป็นไร แต่โดนแบบนี้รัว ๆ มีเหรอจะไม่เครียด ขนาดผมฟังยังหัวร้อนแทนเลยเพราะงั้นมาเรียเด็กดีของพ่อแม่พอมาเจอคนที่ตัวเองเอาไปเทียบก็เลยระบายอารมณ์ใส่ซิลวี่แทนพ่อแม่ของตัวเอง
ถึงมันจะดูรุนแรงกว่าเด็กระบายอารมณ์แต่มันก็คงใช่แหละ แค่ของมาเรียอาจระเบิดออกมาเป็นภูเขาไฟก็เท่านั้นเอง….
แล้วไหงผมต้องโดนลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเนี่ย!!!
“ท่านออโรร่า??”
เสียงยานคางของมาเรียดังขึ้นเรียกสติของผมที่เริ่มเตลิดคิดไปไกลให้กับมา แต่ด้วยความน่ากลัวปานหลุดจากหนังผี ทำเอาผมตัวสะดุ้งเฮือกเสียงสั่น
“ค..คะ มาเรีย?”
น่ากลัวอ่า!!!
“ท่านออโรร่า…เธอคนนี้พูดจริงงั้นเหรอคะ?”
“อะ..ค่ะ เราให้ซิลวี่เรียกว่าอัลเองนั่นล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเสียมารยาทอะไร…เอ่อ มาเรียคะ มาเรีย?”
“ซิลวี่ ชื่อเล่น….เรียกด้วยชื่อเล่น… ท่านออโรร่า”
ว้ากกก สติของมาเรียไปไกลแล้ว ใครก็ได้พาเธอกลับมาที่ร่างที!!! ซิลวี่ เธอน่าจะเข้าใจความรู้สึกกดดันของเด็กขุนนางเพราะฉะนั้นช่วยหาทาง…
“ค่ะ ตามนั้นล่ะค่ะคุณมาเรีย พวกเราสนิทกันดี เพราะฉะนั้นคุณวางในได้ในเรื่องนี้ค่ะ”
แล้วจะราดน้ำมันลงกองไฟไปทำไมล่ะซิลวี่!! ก็เห็นอยู่ว่ามาเรียโดนวิญญาณแค้นสิงไปแล้ว เดี๋ยว ช่วยอย่าทำหน้าเหมือนชนะจะได้ไหม กลับมาช่วยดับไฟก่อนเถอะ
ซิลวี่ตอนนี้มองมาเรียด้วยรวยยิ้มแบบมีชัยเหนือกว่า นั่นยิ่งทำให้มือของผมถูกกุมแน่นมากขึ้นกว่าเดิมจนตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าขาของตัวเองสั่นยิ่งกว่าเครื่องนวดแรงดันสูง
ไม่สิ เรื่องนี้ก็พอเป็นไปได้ ซิลวี่เองก็เกิดมาในตระกูลนักรบเช่นกัน บางที่นี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณไว้โต้กลับยามมีคนมาท้าทาย.. ให้ตายสิเด็กกันจริง ๆ เลย
‘…. ข้าว่าที่เด็กมันเจ้ามากกว่าแต่เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งน่าจะดีสุด’
ราสพูดบ่น ๆ ขึ้นมาอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บเอามาคิดเพราะผมมีปัญหาที่ใหญ่กว่ารออยู่
“เรื่องความสนิทน่ะ… ดิฉันเองก็ไม่แพ้หรอกนะคะ”
น้ำเสียงของมาเรียเริ่มกลับมาเป็นปกติ เธอใช้สำเนียงการพูดแบบขุนนางชั้นสูงในการเรียกแทนตัวซึ่งจะไม่ใช้เวลาพูดคุยกับผม
มาเรียค่อย ๆ เลื่อนมือของตัวเองไปสัมผัสกับกิ๊บหนีบผมสีขาวที่ข้างศีรษะก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแล้วจ้องมองไปที่ซิลวี่
“สิ่งนี้น่ะคือของสำคัญที่ได้รับมอบมาจากท่านออโรร่า สิ่งสำคัญ… ความทรงจำของพวกเราเพียงแค่สองคน”
นี่แข่งอะไรกันอยู่เนี่ย!!!
ผมเริ่มรู้สึกตามไม่ทันแล้วว่าพวกเธอสองคนกำลังแข่งอะไรกันอยู่ เพราะจริงอยู่ว่าพวกเธอทั้งสองกำลังเริ่มแข่งกันแต่ทำไมถึงต้องใช้ผมมาเป็นตัววัดความเก่งด้วยเนี่ย
ปกติตามหลักการของเด็กอวดภูมิมันต้องพ่อแม่ใครรวยกว่า หรือใครสอบได้คะแนนดีกว่าไม่ใช่เหรอไง แล้วนี่อะไร ใครสนิทกับนักบุญกว่าก็ชนะเหรอ…. แต่กับประเทศที่มีนักบวชอยากยึดขนมเด็กมันก็คงเป็นไปได้ล่ะฟะ
“ของงั้นเหรอ… เรื่องนั้น…”
ซิลเวียดูชะงักไปทันที รอยยิ้มของผู้พิทักษ์สุดหล่อได้กระตุกมานิด ๆ ก่อนที่เธอจะพยายามเก็บสีหน้าให้กลับเป็นเหมือนเดิม แต่แน่นอนคำพูดเมื่อกี้ส่งผลต่อซิลวี่แน่เพราะมือของเธอที่กุมผมอยู่ตอนนี้ก็เริ่มกำแน่นตามแล้วเหมือนกัน
นี่ก็เป็นกับเขาด้วยเหรอ!!
“เรื่องนั้นฉันเองก็.. ฉันเองก็มีค่ะ ตำแหน่งนี่ที่ได้มา หรือยังพลังนี่อีก เป็นสิ่งสำคัญของฉันกับอัลค่ะ”
“แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อปราบจอมปีศาจสินะคะ… ท่านออโรร่าที่ทำเพื่อทุกคนกับคุณที่อยู่ตรงนั้น… แต่ของดิฉันนั้นมีเพียงแค่พวกเรา.. แล้วท่านออโรร่าก็ให้โดยไม่ต้องมีสิ่งใดมากดดัน”
อย่ามาแหลน่า ตอนนั้นเธอร้องไห้หนักผมเลยให้ของขวัญเพื่อปลอบใจไปต่างหาก… เอ่อ อันที่จริงไม่ใช่ ผมแค่อยากเอากิ๊ฟเสยผมเพื่อดูว่าเธอแอบจ้องผมเหรอเปล่า แต่นั่นล่ะ ผลมันก็ไม่ต่างกันหรอก
“ไม่ใช่นะ..อัลน่ะ ให้เพราะเห็นว่าฉันเป็นตัวฉันใช่ไหมคะอัล”
ใครก็ได้ เอาผมออกไปจากตรงนี้ที!!
แล้วนี่มาเรีย ไปโดนตัวไหนมาถึงได้พูดเยี่ยงตัวร้ายจอมบงการปั่นประสาทของผู้คนแบบนี้ รู้ไหมว่าตอนนี้เธอกำลังเริ่มจี้โดนจุดอ่อนทางจิตใจของซิลวี่นะ
ไม่ได้ลออโรร่า ปล่อยไปแบบนี้มีหวังหลังจบงาน ไม่ใครคนหนึ่งก็ต้องโดนดักตีปากแตกหน้าปากซอยแน่นอน เพราะฉะนั้นถึงเวลาของ…. มารยานักบุญ!!!
“ทั้งสองคนคะ…. หยุดเถอะค่ะ”
ผมเริ่มหลับตาลง พยายามทำน้ำเสียงทุ้มต่ำและเบาลงมาจากปกติ จากนั้นมือทั้งสองข้างที่กุมมือทั้งคู่ก็เริ่มกุมกลับหลังถูกบีบทำร้ายมาอย่างนาน แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการเอาคืน เพราะผมบีบกลับไปด้วยความอ่อนโยนประดุจนางฟ้า
“ตัวเราเข้าใจว่าความสุขของทั้งสองนั้นคือความทรงจำอันแสนมีค่า มิตรภาพทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับตัวของเรา”
แน่นอนว่าผมเห็นทั้งสองคนเป็นเพื่อน การให้เพื่อนมาทะเลาะกันโดยมีสาเหตุจากความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ผมจะปล่อยผ่านไปได้เพราะฉะนั้นผมจึงต้องรักษามันไว้ และหากสองคนนี้ดีกันได้ก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
“พระเจ้าทรงได้กล่าวเอาไว้ ความทรงจำทั้งหลาย ความสัมพันธ์ทั้งหลาย ล้วนมีค่าในรูปแบบของมัน ตัวเราเห็นเป็นเช่นนั้นเพราะฉะนั้นเราจึงขอร้อง การแข่งขันกันเช่นนี้ การใช้เรานำมาซึ่งความขัดแย้ง โปรดหยุดเถอค่ะ อย่าให้เกิดบาปในตัวเราขึ้นอีกเลย”
“เอ๋…อัล พูดอะไรน่ะ”
“ท่านออโรร่า บะ…บาป?”
ไม่สนใจให้สองคนนี้ตอบกลับ ผมก็รุกต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่ามันได้ผลทันทีเพราะทั้งสองที่ตอนแรกกำลังจ้องกัดกันเหมือนหมากับแมวก็หยุดทันทีเมื่อเจอรอยยิ้มของออโรร่าน้อยนี่
“ความเศร้าใจนี้ ความขัดแย้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากตัวเรา แม้ไม่ประสงค์ แต่เราก็คือบ่อเกิดแห่งความขัดแย้ง เช่นนั้นแล้วบาปที่นำมาซึ่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นก็คือบาปของเรา..ฮึก”
จัดไปเลยออโรร่า งานนี้เล่นใหญ่ได้เท่าไหร่ใส่หมด บทเหยื่อ บทนางเศร้ามีอะไรให้เล่นก็เล่นไป ก่อนที่เธอจะตายกลางวงสัตว์กินเนื้อพวกนี้!!! อ๊ะ บีบน้ำตาด้วยดีกว่า
ไม่รอช้า ด้วยความสามารถที่ฝึกมาอย่างเนิ่นนาน ผมพยายามกระพริบบีบตาตัวเองเล็กน้อยก่อนที่น้ำใส ๆ รอบขอบตาเริ่มถูกรีดออกมา
“อัล ไม่นะ! ไม่ใช่เลย อย่าร้องเลยนะคะ นี่น่ะความผิดของฉันเองค่ะ ฉันไม่ควบคุมตัวเองให้ดีเอง”
“ท่านออโรร่า… ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ… ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันค่ะ ตัวฉันขอโทษมาก ๆ ค่ะ”
ไอสังหารทั้งหลายได้จางหายไป ทั้งสองคนรีบใช้สองมือกุมมือของผมแล้วรุมปลอบกันรัว ๆ แววตาของฆาตกรน่ากลัวหายไป เหลือเพียงแค่แววตาอันห่วงใย
แน่นอนว่าแค่นี้เหมือนมันจะสำเร็จแล้ว แต่โบราณว่าไว้ตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อน ๆ จะปิดเรื่องมันต้องหาทางปิดตะปูตอกฝาโลง
“ไม่ค่ะทั้งสองคนนั้นทำไปเพราะการให้ค่าแก่มิตรภาพจนได้หลงผิดชั่วครู่ แต่ว่าตัวเราที่มิอาจหยุดเรื่องได้นั้นช่างไม่สมกับที่ได้รับการชื่นชมว่าเป็นนักบุญเลยแม้แต่น้อย ตัวเราที่เป็นเช่นนี้น่ะ…ตัวเราน่ะ ฮึก”
เอาเลยร้องอีกออโรร่า ร้องเข้าไป เอาให้หนัก เอาให้สองคนนี้ตั้งตัวไม่ถูกไปเลย
“ไม่ ๆ อัลคือนักบุญที่ยอดเยี่ยมที่สุดค่ะ ตัวฉันต่างหากที่ทำตัวไม่สมเป็นผู้พิทักษ์”
“ท่านออโรร่าถูกต้องเสมอค่ะ!! เป็นเพราะฉันไม่ควบคุมอารมณ์ให้ดี.. สัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้น..อย่าว่าตัวเองเลยนะคะ”
ทั้งสองคมรีบกุมมือผมแล้วรุมกันปลอบอย่างไว พวกเธอต่างเริ่มร้อนรนเมื่อเจอพลังน้ำตามารยานักบุญของผม… สุดยอดไปเลยจริง ๆ
‘อันที่จริงข้าว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งน่าภูมิใจเท่าไหร่กับคนที่เป็นนักบุญ… แต่ช่างมันเถอะข้าพอแล้วล่ะ’
ราสพูดมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ผมทำ แน่นอนว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเขาก็พยายามดัดตรงนี้ผมหลายครั้งแต่แน่นอนว่ามีเหรอนกศักดิ์สิทธิ์จะสู้เด็กเกรียนได้ เพราะฉะนั้นเขามีแต่ต้องยอมผมไปเท่านั้น
“ยอดเยี่ยมเหรอคะ ขนาดเพื่อนรักทั้งสอง….”
หลังพูดคำว่าเพื่อนรัก ผมก็กุมมือของเธอทั้งสองคนแน่นมากขึ้นจนทั้งสองสะดุ้งน้อย ๆ ดวงตากวาดจ้องสบตรงไปที่ตาข้องทั้งคู่
“ขนาดเพื่อนรักทั้งสองที่แสนสำคัญของเรา เราเองยังไม่สามารถหยุดได้แล้วแบบนี้ ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำมาซึ่งสันติของดินแดนอีกเหรอคะ ตัวเราน่ะ ฮึก ฮึกๆ”
ร้องอีก ร้องเยอะ ๆ เอาให้บ่น้ำตาแตก ตาแดงแบบโดนพริกโดนหัวหอม แบบนี้จะยิ่งเรียกคะแนนความสงสารและปิดประตูที่สองคนนี้จะทะเลาะกันอีก
“ไม่ค่ะ… ไม่ใช่เลยท่านออโรร่าเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงค่ะ!! เอ่อ..คุณซิลเวียดิฉันต้องขอโทษด้วย… ดิฉันแค่สับสนเล็กน้อยน่ะ”
“มะ..ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็ดันทำตัวเป็นเด็กเองด้วย ต้องขอโทษคุณมาเรียด้วยจริง ๆ ค่ะ”
สำเร็จ!! พลังของออโรร่ายังใช้ได้ผลดีเสมอแบบไม่ต้องพึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เปลืองแรง เอาล่ะที่เหลือก็ปิดท้ายให้สวยงาม
“ทั้งสองคนจะไม่ทะเลาะกันจริง ๆ นะคะ?”
ผมเล็งองศาเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่พวกเธอทั้งสองด้วยสายตาของลูกแมวน้อยที่อ้อนวอน แต่ยังคงบีบน้ำตาให้ไหลออกมานิด ๆ ให้เหมือนยังมีความเศร้าหลงเหลืออยู่
“ค่ะ!!! แน่นอนค่ะท่านออโรร่า เพระฉะนั้นอย่างตำหนนิตัวเองเลยนะคะ”
“ใช่แล้วล่ะอัล อัลน่ะเป็นนักบุญที่ยอดเยี่ยมเสมอ ต่อให้ใครจะว่าอย่างไรแต่คุณคือคนที่เหมาะสมกับการเป็นนักบุญที่สุดนะคะ”
สุดยอดจริง ๆ เลยออโรร่า สามารถปิดปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยน้ำตาไม่กี่หยด ผมนี่มันอัจฉริยะเสียจริง
‘ใช่เรื่องที่ต้องภูมิใจจริง ๆ เหรอเนี่ยยายหนู’
มันต้องมีบ้างอะไรบ้างน่าราส อย่าลืมสิ แมวมันจะสีอะไรก็ได้ ขอจับหนูปิดปัญหาได้ก็พอ เพราะฉะนั้น นักบุญจะจริงใจหรือตอแหลก็ได้ ขอจบปัญหาได้สง่างามเป็นพอน่ะ
‘ข้าว่าคนคิดประโยคนี้ไม่ได้พูดออกมาให้เจ้าเอามาทำแบบนี้หรอกนะ…’
และแล้วความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นก็จบลงไป โดยก็ใช้เวลาปรับความเข้าใจกันนิดหน่อยแต่ดูเหมือนพวกเธอสองคนน่าจะเริ่มเข้ากันได้และไม่คิดจะชักมีดเสียบกันอีก…. ต่อหน้าผมน่ะนะ
“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่กันล่ะคะ?”
ผมพูดขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนผู้หนึ่งที่ตอนนี้เดินมาหาผมจากทางด้านหลัง โดยตอนนี้ผมได้ออกมาพักสูดอากาศหนีความวุ่นวายจากงานเลี้ยงฉลอง
“โลธ์?”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาใกล้ ๆ เขาคนนี้น่าจะมาแสดงความยินดีในฐานะทูตแห่งจักรวรรดิซึ่งผมเองก็ไม่ได้พบเขามานาน ใบหน้าของเขานั้นเรียกได้ว่าเปลี่ยนไปไม่มาก แม้จะดูมีอายุขึ้นและหล่อขึ้น แต่รอยยิ้มที่ชวนหวาดระแวงนั้นยังคงประดับไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ได้ข่าวว่าออโรร่ามีเรื่องสำคัญที่ตามหาอยู่ ให้ผมช่วยไหมล่ะ ถ้าจำไม่ผิด…กำลังตามหาปีศาจที่หลบซ่อนอยู่ใช่ไหมล่ะ”
มันรู้ได้ไงฟะ?
นับวันยิ่งโตก็ยิ่งไหลลื่นจริง ๆ นะน้องออโรร่าของพวกเรา วันนี้รอดไปได้แต่จะรอดกันไปได้สักกี่น้ำ มาติดตามดูกันนะ
เอาล่ะ เหลืออีกแค่สองคนเท่านั้นก็จะครบทีมอเวนเจอรแล้ว
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจครับ