ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 68 ให้ฉันเป็นอัศวินผู้ปกป้องคุณเอง
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 68 ให้ฉันเป็นอัศวินผู้ปกป้องคุณเอง
ผมสีฟ้าทอแสงจาง ๆ โบกพลิ้วสะบัดไปมากับสายลมหนาวแห่งแดนเหนือ ประกายแสงอันเจิดจ้าตัดผ่านซึ่งความมืดแห่งวิญญาณร้ายที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า นั่นคือแสงของดาบในมือของเด็กสาว ซิลฟอร์เทีย
ดวงตาที่เคยสิ้นหวังบัดนี้ส่องสว่างด้วยเจตจำนงอันแรงกล้าที่เพียงแค่มองก็สัมผัสได้ถึงจิตใจอันมุ่งมั่น ปราศจากความลังเลใด ๆ
อากาศรอบข้างเริ่มแปรเปลี่ยน หมอกไอหนาวที่กระจัดกระจายทั่วทั้งบริเวณต่างเริ่มหมุนวนไปตามดาบผู้เป็นนายแห่งเหมันต์ มันตอบรับเข้ากับนายใหม่ของดินแดนไหลวนไปมารวมเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังให้แก่ซิลเวีย
“ฉันมาแล้วค่ะ ท่านออโรร่า… ไม่สิ อัล”
น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น กล้าหาญ แม้เพียงแค่ฟังก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟของความกล้าโดยไม่เหลือเค้าของเด็กสาวผู้หม่นหมองไร้ความมั่นใจอีกต่อไป
“ซิลวี่!!”
“ได้ยินมาอย่างชัดเจนเลยค่ะ คำขอความช่วยเหลือของอัล ด้วยเสียงนั่น ด้วยความเชื่อในตัวฉันจึงสามารถลืมตาตื่นได้ค่ะ!!”
หมอกความเย็นสีขาวดันต้านกับไอเย็นที่หมายมุ่งชีวิต สองพลังดันกันอย่างไม่ยอมกันและกัน รวมถึงเจ้าของพลังทั้งสองที่ตอนนี้จ้องตากันไม่วาง
“อ้าว ๆ ดูนั่นใคร ผู้ไม่เอาไหนของข้านี่เอง ถือดาบมาเช่นนี้คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้งั้นเหรอ แค่นอนหลับตาก็ไม่ต้องเจ็บปวดแล้วแท้ ๆ”
น้ำเสียงอันเยาะย้ายถากถางดูถูกออกมาจากปากของราชามารร้ายผู้อดีตเคยเป็นอาจารย์ของเธอ ทว่าสิ่งเหล่านั้นหาได้ส่งผลอะไรต่อจิตใจของเด็กสาวผู้สามารถชนะจิตใจของตนเองได้แม้แต่เพียงเล็กน้อย
ซิลเวียยังคงตั้งท่าดาบมั่น จิตของเธอยังคงแน่วแน่รับดันรับดาบของจอมปีศาจผู้นี้อย่างไม่แม้แต่สั่นไหวใด ๆ
“จริงอยู่ที่หลับตาไปไม่รู้อะไรนั้นคงทำให้ไม่ต้องเจ็บปวดกับโลกแห่งนี้”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นก็นอนต่อไปเถอะ นอนไปโดยไม่ต้องรับรู้อะไร…”
“แต่ถ้าการหนีความเจ็บปวดนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดของอัล… ตัวฉันจะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด”
น้ำเสียงที่แน่วแน่ของซิลเวียดังออกมาจนทำเอาแม้แต่ผมยังรู้สึกสั่นไหวถึงความเท่นี้ที่เธอได้แสดง นี่มันราวกับพวกพระเอกในนิยายที่ผมใฝ่ฝันอยากเป็นมาตลอด
เอลดรานใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความรังเกียจในตัวตนของซิลเวียที่เธอแสดงออกมา ไอพลังสีดำมืดเริ่มพุ่งกระจายออกมาจากร่างบ่งบอกถึงความคิดจะเอาจริง
“แล้วอย่างไรล่ะ แค่แกคนเดียวจะไปทำอะไรได้ซิลเวีย ไม่มีทางที่เด็กน้อยที่เจ็บดาบไม่กี่ปีจะมาสู้กับตัวข้าซึ่งต่อสู้สนามรบนับพันหมื่นได้อย่างไร”
“ใครว่าตัวคนเดียวกันล่ะ”
ผมพูดขัดมันขึ้น ก่อนที่ดวงตาของมันจะเหลือบหันมามองผมอย่างโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม มือของมันกำดาบในมือแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ข้างใน
“ช่างทำตัวน่ารำคาญจริง ๆ ยัยนักบุญของพระเจ้าที่น่ารังเกียจ!!”
ผมไม่สนใจคำใด ๆ ที่พูดออกมาจากปากของเอลดราน มีเพียงซิลเวียเท่านั้นที่อยู่ในดวงตาของผม ผมยิ้มไปให้เธอที่ตอนนี้เหลือมองมาที่ผมอย่างที่เป็นห่วง
“ซิลวี่อุตส่าห์กลายเป็นฮีโร่ทั้งที ฉันในฐานะนักบุญจะมานั่งเฉย ๆ อย่างไรจริงไหมคะ”
“อัล…”
ผมยิ้มออกมาก่อนจะเริ่มสวดวิงวอนขอพรจากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เมื่อไม่ต้องใช้ร่างกายเข้ารับมือทำให้สามารถทุ่มเข้ากับพลังปาฏิหาริย์ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นผมไม่แม้แต่จะถนอมพลังอะไรอีกต่อไป เพราะผมเชื่อในซิลวี่ เชื่อมั่นว่าเธอจะนำชัยชนะมาให้กับผม
“ข้าขอวิงวอนแด่องค์เทพผู้อยู่เหนือสรรพชีวิต ท่านคือผู้เป็นเลิศในทุกสิ่ง ขอปัญญาแห่งศาสตราวุธทั้งมวลของท่านทรงสถิตในผู้กล้าหายเบื้องหน้าข้าเพื่อขจัดมารร้ายผู้หวังช่วงชิงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์… เป็นดั่งตัวแทนเพื่อการลงทัณฑ์ปีศาจตรงหน้านี้ให้สิ้นไปด้วยเถิด!!”
เมื่อคำวิงวอนของผมสิ้นสุดลง ร่างของผมก็เกิดละอองแสงสว่างจำนวนมากไหลวนไปมาราวกับเกลียวคลื่นอันไร้สิ้นสุด มือทั้งสองข้างยื่นออกไปทิศทางของเพื่อนรักก่อนที่สติทั้งหมดจะเพ่งส่งพลังที่มี แสงสว่างพุ่งหมุนเวียนไปยังร่างของซิลเวียที่ยืนปะทะเข้ากับเอลดราน
ร่างของเธอเริ่มส่องแสงสว่างเจิดจ้ากว่าเดิม สอดรับเข้ากับแสงสีฟ้าที่ทอออกมาอ่อน ๆ ของดาบซิลฟอร์เทียนั่นยิ่งทำให้เธอราวกับร่างที่จุติของฟรอเซีย บรรพบุรุษคนแรกแห่งผู้ปกครองแดนเหนือ
“นี่มัน…”
“ด้วยพรนี้ที่ฉันส่งให้ ความสามารถในการใช้อาวุธทั้งหมดของซิลเวียเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือพละกำลัง เพราะฉะนั้น…”
ซิลเวียที่รู้ว่าผมส่งพลังให้กับเธอก็มองอย่างเป็นห่วงทว่าก็ชะงักไปเมื่อพบกับรอยยิ้มของผม รอยยิ้มของออโรร่าที่เยียวยาได้ทุกสิ่ง
“สู้ให้เต็มที่นะคะ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นเพราะระหว่างนี้ฉันจะสนับสนุนเต็มที่เอ” “
“ขอบคุณมากนะอัล”
หล่อ มันจะหล่อเกินไปแล้ว!!!
ซิลวี่ที่บัดนี้ประทับร่างทรงของพระเอกในนิยายได้ระเบิดพลังที่ผมส่งให้ออกมา คลื่นพลังสีฟ้าครามพุ่งทะลุตัดออกกับฟากฟ้าและตอนนั้นเองที่การร่ายรำดาบของศึกแห่งเหมันต์ที่หายไปนานนับหลายร้อยปีก่อนบังเกิดขึ้นอีกครา
เสียงสะเทือนดุจสายฟ้าดังขึ้นอย่างถี่รัวไม่ขาดสาย ดาบแห่งมารและดาบศักดิ์ฟาดฟันเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทุกครั้งที่พวกมันฟันกระแทกเข้าใส่กัน คลื่นพลังมหาศาลก้ระเบิดออกมาจนพื้นที่รอบ ๆ ต่างปกคลุมได้ไอเย็นของน้ำแข็ง
ความเย็นที่คร่าชีวิตของเอลดรานยามผ่านเข้ากับสิ่งชีวิตมันได้แช่แข็งและแตกสลาย ส่วนของซิลเวียยามที่ทุกสิ่งสัมผัสต่างหยุดนิ่งลงชโลมด้วยสีขาวของหิมะ
“บ้าน่า ๆ แกไม่มีทางที่จะเก่งขนาดนี้ได้ คนที่แม้แต่ท่าดาสักท่าก็ไม่มีวันสำเร็จอย่างแกจะสู้กับข้าคนนี้ ข้าผู้ที่…”
“ผู้ที่แพ้ให้กับนักบุญของฉันน่ะเหรอคะ…. ตอนนี้ด้วยพลังของอัล ศาสตร์ทั้งหมดที่ท่านบรรพบุรุษไม่สิ ทั้งตระกูลได้สั่งสมมาได้รวมอยู่ในตัวฉันแล้ว เพราะฉะนั้นฉันน่ะไม่ใช่คนอย่างที่คุณคิดอีกต่อไปค่ะ”
ทุกย่างก้าวของซิลเวียราวกับดินแดนเหนือทั้งมวลต่างพร้อมที่จะสยบยอมให้กับผู้พิทักษ์ของมัน อากาศได้ไหลเวียนเกื้อหนุน ผืนดินได้อ่อนตัวรองรับ ทั้งหมดทำให้การเคลื่อนไหวของเธอยิ่งรวดเร็วกว่าเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ กลับกันเอลดรานนั้นกลับถูกต่อต้านจากดินแดน สายลมได้ดันกระแทก ผืนดินได้ยุบตัวอย่างไม่ยอมให้จอมปีศาจสัมผัสจนจังหวะทั้งหลายได้สูญเสียไป
“ข้าคือวอร์สเธน ปีศาจผู้เป็นเจ้าแห่งความเยือกเย็นทั้งมวล ไม่มีทางที่จะมาแพ้เด็กอย่างแกหรอกน่า”
“พลังเวทสินะคะ… ขอพลังให้ฉันด้วยซิลฟอร์เทีย”
ร่างกายสีดำสลับขาวนั่นยกมือขึ้นมา มันได้รวบรวมพลังเพื่อสร้างน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นมา ส่วนซิลเวียได้ย่อขาของตัวเองลงพร้อมกับพูดกับดาบของตน ตอนนั้นเองที่ดาบคริสตัลได้ส่องสว่างออกมาตอบรับนายของมัน
รอบ ๆ ตัวของซิลเวียเริ่มถูกปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะ ดาบสีใสกระจ่างเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นเรื่อย ๆ แสงของมันได้เจิดจ้าจนไม่ว่าใครในเมืองกลอริเอลต่างมองเห็นถึงแสงที่ตัดซึ่งขอบฟ้าของดินแดน
“จงถูกความแค้นของฝังถมไปกับกาลเวลาซะเถอะ!!”
มันได้ยกไพลินสีฟ้าหม่นในมือขึ้นมาอีกครั้ง ไพลินสีหม่นที่ถูกพลังแห่งความมืดครอบงำบัดนี้ได้ระเบิดพลังออกมาอย่างปั่นป่วน กาลเวลาอันบิดเบือนได้ผสมเข้ากับพายุหิมะอันเหี้ยมโหดของปีศาจบนฟ้า เอลดรานกำลังฝืนใช้พลังของมณี
หากปล่อยให้พลังนั่นตกลงมา ไม่รู้ว่าชีวิตทั้งหลายจะต้องถูกกาลเวลาคร่าชีวิตขนาดไหนกัน เรื่องนั้นจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“ดาบเล่มนี้และตัวของฉันแบกความหวังและความเชื่อมั่นของอัลอยู่ มันไม่มีทางที่จะแพ้ให้กับสิ่งที่เรียกว่าความแค้นเป็นอันขาด ลุยกันเลยค่ะ ซิลฟอร์เทีย”
ผมบอกแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็จะสนับสนุนตัวเธออย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนผมก็จะใช้มัน ต่อให้ร่างของตัวเองจะต้องสลบเหมือด ต่อให้จะต้องแบกรับความเจ็บปวดขนาดไหน แต่เพื่อเพื่อนของผมแล้ว ไม่มีทางที่ผมจะยอม
ใช่แล้ว ขนาดซิลเวียเองยังต่อสู้อย่างเต็มที่ ผมเองก็จะน้อยหน้าไม่ได้
มือทั้งสองของผมยกขึ้นมา แสงสว่างเริ่มถูกรวบรวมขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ผมทุ่มทุกอย่างไว้กับพรที่ตัวเองจะร่าย
“อสูรร้ายกล้ำกรายดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้าของวิงวอนด้วยพลังของพระองค์ผู้อยู่เหนือทุกชีวิต ขอพลังแห่งท่านผนึกอสูรร้ายผู้อหังกาผู้นี้ และเปิดทางให้แก่ผู้กล้าหาญในการขจัดมันด้วยเถิด!!!”
แสงในมือของผมกระจายออกเป็นลำแสงแปดเส้น ทั้งหมดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วก่อนกลายร่างเป็นโซ่ขนาดใหญ่พุ่งรัดตรึงร่างของเอลดรานที่กำลังจะปลดพลังในมือ
“นี่แก!!! ยังจะมาขัดขวางข้าอีกงั้นเหรอ!!”
“สัญญาไว้แล้วนี่คะว่าจะช่วยอย่างเต็มที่.. เอาชนะเจ้าคนน่าหงุดหงิดนี่ให้ได้นะคะซิลวี่”
“อืม.. ไว้ใจได้เลยอัล ชัยชนะนั่นน่ะ ฉันจะนำมาให้เอง”
พริบตานั้นเองที่ซิลเวียพุ่งร่างของตัวเองเข้าใส่ เอลดรานพยายามฝืนจะปล่อยพลังของตัวเองแต่ผมก็ไม่ยอมแพ้พยายามต้านพลังของเขาที่กระชากไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่มันขยับราวกับพลังเวทและพลังกายถูกสูบหาย มันบอกว่าร่างกายที่ฝืนใช้มานานนี่กำลังมาถึงที่สุดแล้ว
แต่ใครสนกันล่ะ ขอเพียงแค่ช่วงนี้ ขอเพียงแค่สร้างโอกาสนี้ให้กับซิลวี่ได้ จะให้สลบเป็นสัปดาห์หรือเดือนก็ไม่เป็นไร และอีกอย่างถ้าคนเดียวไม่ไหวก็ใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังมิตรภาพก็ยังได้
“ทุกคน ขอร่วมกันสวดวิงวอนส่งพลังให้กับวีรสตรีแห่งแดนเหนือนี้ด้วยค่ะ”
ผมตะโกนออกมา หันไปหาเหล่าชาวลัทธิผู้กลับใจ พวกเขาที่ได้ยินแบบนั้นไม่มีแม้แต่ท่าทีอิดออดหรือต่อต้าน ต่างรีบคุกเข่าลงทันทีทันใด
“นี่คือโอกาสชีวิต ที่ได้ร่วมสวดกับท่านนักบุญ ใครจะพลาดกันได้”
“จะพลังกายหรือพลังใจ พวกข้าก็จะร่วมส่งให้กับท่าน”
“ปาฏิหาริย์ นี่ล่ะคือปาฏิหาริย์ที่พวกเราจะได้ร่วมสร้างกับท่านนักบุญ!!”
ด้วยพลังแห่งศรัทธาจากผู้คนหลายพัน โซ่แห่งแสงที่ตรึงรัดจอมปีศาจได้ขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อำนาจของมันรุนแรงมากขึ้นจนแม้แต่ปีศาจร้ายผู้นี้ยังต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“พวกแก!!! นอกจากทรยศข้าแล้วยังจะใช้พลังที่น่ารังเกียจนี่ด้วยเหรอ ข้าจะทำให้พวกเจ้าหายไปกับซากแห่งเวลาพร้อมกับยัยนักบุญทั้งสองนี่เอง!!!”
พริบตานั้นเองก่อนที่เอลดรานจะปล่อยพลังของตัวเองออกมา แสงสว่างสีฟ้าพุ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว ซิลเวียที่ถือดาบซิลฟอร์เทียที่บัดนี้ส่องสว่างประดุจแสงของดาบตกถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็วหมายสังหารจอมปีศาจที่ถูกตรึงร่างภายในดาบเดียว
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นเหรอโว้ย!!”
ร่างใหญ่ยกมือของตัวเองขึ้นมาป้องกัน มันได้อาบแขนทั้งหมดของมันด้วยน้ำแข็งเพื่อสร้างเป็นเกราะป้องกันทว่าคมดาบแห่งซิลฟอร์เทียที่เสริมพลังแห่งศรัทธาเต็มที่ก็ตัดแขนนั่นขาดสะบั้นลง
แขนของเอลดรานที่สัมผัสเข้ากับซิลฟอร์เทียได้เริ่มถูกน้ำแข็งสีขาวพิสุทธิ์แช่แข็ง ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ผสมเข้าไป ไม่ว่ามันจะพยายามสร้างรูปใหม่ด้วยน้ำแข็งอันแปดเปื้อนขนาดไหนก็ไม่อาจทำได้ ความเจ็บปวดทั้งหลายนั่นทำให้มันร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
พริบตานั้นเองดวงตาสีฟ้าครามของซิลเวียได้ส่องสว่างขึ้น ดวงตานั่นจ้องไปที่จุด ๆ หนึ่งก่อนที่ร่างกายอันรวดเร็วจะยื่นมือของตัวเองออกไปยังเป้าหมาย
ควับ
“นี่แกเล็งนี่เอาไว้งั้นเหรอ!!!”
ในมือของซิลเวียคือไพลินสีฟ้าซึ่งเคยอยู่ในมือของจอมปีศาจ บัดนี้สีอันมืดหม่นได้สลายหายไปเรื่อย ๆ ไพลินแห่งกาลเวลาเริ่มส่องสว่างสีบริสุทธิ์ออกมาส่องตอบรับกับยอดนักรบแห่งแดนเหนือ
“มันคือหน้าที่ของฉันค่ะ”
“ด้วยตัวแกน่ะ ไม่มีวันที่จะใช้มันจัดการข้าได้หรอก”
“ไม่ใช่แค่ฉัน แต่เป็นพวกเรา.. ใช่ไหมคะอัล?”
“อืม พวกเราจะจัดการคุณเองวอร์สเธน.. ไม่สิ เอลดราน!!!”
ไพลินสีฟ้าได้ถูกโยนส่งมาทางผม ผมยื่นมือออกไปเพื่อรับหนึ่งในพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อมันสัมผัสเข้ากับผม ภาพอันหลากหลายได้เกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มของบุคคลผู้หนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นแต่ช่างรู้สึกคุ้นเคย ผู้หญิงผมสีขาวเช่นเดียวกับตัวผม
พลังแห่งมณี ช่างยิ่งใหญ่แต่ก็อันตราย จะใช้มันจริง ๆ งั้นเหรอคะ
ถ้าเพื่อตัวเธอล่ะก็ ไม่ว่าอันตรายขนาดไหนข้าก็ยินดี
ภาพเหล่านั้นได้หายไปก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลเวียนภายในร่าง มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับร่างกายอันหนักอึ้งได้ถูกปลดปล่อย พลังมากมายมหาศาลซึ่งกำลังกลายมาเป็นของผม พลังแห่งกาลเวลา
ผมสสลัดความคิดที่สงสัยก่อนหน้าแล้วมุ่งควบคุมมณีที่ได้รับมา มันมีความรู้สึกปั่นป่วนมากมายที่อยู่ข้างใน ราวกับมันกำลังสบสน ผมจึงส่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเข้าไปเชื่อมต่อเข้ากับมณีแห่งพระเจ้านี่
กาลเวลาที่บิดเบือนอย่างผิดแปลกเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง ทุกสิ่งที่เคยสูญสลายจากมันเริ่มหวนคืนกลับมา ใบหญ้าที่แห้งเหี่ยวเริ่มกลับมามีชีวิต หินที่พุพังเริ่มประกอบรูปใหม่ สนิมที่เกรอะกรังตามอาวุธได้สลาย… เวลากลับมาเป็นปกติแล้ว
กลับกันร่างกายของเอลดรานที่เริ่มกลายเป็นสภาพปีศาจเริ่มย้อนกลับมาเรื่อย ๆ ผิวหนังที่ปกคลุมด้วยเงามืดและเกล็ดน้ำแข็งเริ่มค่อย ๆ จางหาย เนื้อหนังของมนุษย์ที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ ไม่ ไม่เอาร่างที่อ่อนแอนี่อีกแล้ว ไม่เอา!!!”
เรี่ยวแรงมหาศาลที่ดึงต้านกับโซ่ตรวนแห่งสวรรค์เริ่มหมดไป ร่างที่สั่นไหวไปมาเริ่มนิ่งลงเรื่อย ๆ จากการที่ไม่สามารถต้านพลังของโซ่แสงศักดิ์สิทธิ์
พายุหิมะที่ปกคลุมทั่วทั้งอาณาบริเวณเริ่มอ่อนแรงลง ความมืด วิญญาณร้ายทั้งหลายเริ่มถูกลำแสงของผมและซิลวี่ชะล้างหายไปเหมือนกับแสงตะวันที่ขึ้นยามเช้าที่สาดส่องสลายความมืดทั้งมวลให้หมดไป
“พลัง พลังของข้า พลังแห่งปีศาจมันกำลังหายไป”
“หวนคืนสู่สิ่งที่ท่านควรจะเป็น อาจารย์เอลดราน….. ซิลฟอร์เทีย!!!”
ตรงหน้าของเอลดรานที่กำลังกลายสภาพกลับเป็นมนุษย์สามัญธรรมดา ร่างเล็ก ๆ ของซิลวี่กำลังง้างดาบของเธอที่ตอนนี้ทอแสงวาวเรืองรองสีฟ้าอันงดงามประดุจดั่งดวงดาวที่ประดับท้องฟ้า เธอพุ่งดาบเข้าใส่เอลดรานที่ถูกตรึงกลางอากาศจนร่างของทั้งสองพุ่งลงสู่พื้นประดุจดาวตกที่ร่วงหล่นจากท้องนภา
ตู้มมมม
แรงกระแทกมหาศาลที่เกิดขึ้นทำเอาฝุ่นตลบไปทั่วสนามรบ บดบังทุกการมองเห็นทำให้ผมรีบพยายามพยุงตัวรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
“ซิลวี่!!”
ผมตะโกนเรียกชื่อของเพื่อนรักอย่างเป็นห่วง ในใจมันเริ่มคิดภาพแย่ ๆ จำนวนมากที่จะเกิดกับเพื่อนคนนี้ ทั้งสองขาของตัวเองพยายามฝืนวิ่งต่อไปแม้ตอนนี้มันจะหนักอึ้งราวกับแท่งเหล็กขนาดใหญ่
ที่ตรงนั้นเองเริ่มมีเงาลาง ๆ ของสองร่าง โดยร่างเล็ก ๆ กำลังถือดาบจ่อไปที่อกของร่างใหญ่ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นมนุษย์เฉกเช่นเดิม เขากำลังนอนพลางยิ้มให้กับซิลเวีย
“อา ไม่ว่าจะครั้งไหน ๆ นักบุญอย่างพวกแกก็ยังคงเป็นตัวน่ารำคาญเสมอ… รออะไรอยู่ล่ะ ฆ่าข้าสิ นี่คือสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเจ้าจะเป็นวีรสตรีผู้กล้าหาญไม่ใช่เหรอไง”
กึก
ดาบในมือของซิลวี่ได้ถูกกำแน่น มือของเธออสั่นเทาพร้อมจ่อเข้าที่อกของเขาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาที่สว่างสดใสนั่นมีความลังเลและความหม่นหมองขึ้นมา
นั่นสินะ ต่อให้เจ้านี่มันจะหลอกลวงหรือใช้เธอเป็นเครื่องมือขนาดไหน แต่ก็ปฏิเสธความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนไม่ได้ กับซิลเวียที่เป็นเด็กนี่มันคงหนักหนาเกินไป
“ไม่กล้าเหรอไง สุดท้ายเจ้าก็ยังคงไม่เหมาะสมอยู่ดี”
“เงียบไปนะคะ ซิลวี่น่ะกำลังแสดงความกล้าอยู่ต่างหาก”
“อัล?”
ไม่ได้แด็ดขาด ผมจะยอมให้เจ้าปีศาจนี่มันปั่นประสาทของซิลวี่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงอยากให้ซิลวี่ฆ่ามันหนักหนา หรือมันอาจจะสร้างความมืดในจิตใจของเธอและแอบซ่อนข้างในแบบพวกตัวร้ายเกรดบีทำ แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ยอมให้มันทำให้ซิลวี่ที่น่ารักคนนี้ต้องมัวหมองเด็ดขาด
“ซิลวี่น่ะแสดงความกล้าของนักบุญอยู่นะคะ ความกล้าที่จะให้อภัยและเมตตา นั่นคือสิ่งที่ทำให้นักบุญเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่”
“ความกล้าที่จะให้อภัยสินะคะ…”
“อ่อนแอ ความคิดเช่นนั้นมันอ่อนแอจริง ๆ คิดเหรอว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้ด้วยเมตตาน่ะ”
“แล้วไม่เห็นเหรอคะว่าคนเหล่านี้ คนที่ตามมาด้วยการหลอกลวงของคุณนั้นได้รับเส้นทางใหม่ก็เพราะพลังความเมตตาและการให้อภัย มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เลยไม่ใช่เหรอคะ”
ผมพูดสวนเอลดรานไปพลางผายมือไปทางเหล่าคนลัทธิผู้กลับใจ พวกเขาต่างเรียบคุกเข่าและยกมือสวดอ้อนวอนต่อผมกันยกใหญ่
“ใช่แล้ว พลังแห่งเมตตาของท่านนักบุญเนี่ยล่ะที่ทำให้ข้าตาสว่าง”
“ด้วยการให้อภัยที่ท่านนักบุญสอนเรา จะไม่มีสงครามอีกต่อไป!!”
ดีมากหน้าม้าทั้งหลาย ทำได้ดีขนาดนี้เดี๋ยวจะส่งยิ้มให้เป็นรางวัลแล้วกันนะ
“ตามที่อัลบอก…. ฉันให้อภัยคุณค่ะ อาจารย์”
เมื่อได้รับความมั่นใจและคำสอนชีวิตจากสุดยอดไลฟ์โค๊ซออโรร่า ดวงตาของซิลเวียก็กลับมาเป็นประกายของความมุ่งมั่นอีกครั้ง ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างยินดีในความเติบโตของเธอนี่เอง
“อ่อนหัดจริง ๆ”
“มันคือความแข็งแกร่งต่างหากล่ะคะ ท่านอาจารย์”
และตอนนั้นเองที่ร่างของเอลดรานได้นอนแน่นิ่งไป แต่ก็ยังหายใจอยู่ น่าจะแค่สลบจากพลังหมดร่างก็เท่านั้น
“จบแล้วนะคะ ซิลวี่”
“นั่นสินะ อัล”
ซิลวี่มองดาบในมือของตัวเองที่ค่อย ๆ กลายเป็นแสงสีฟ้าอ่อน ๆ ซึ่งกระจายออกแล้วไปร่วมที่ร่างของเธอก่อนจะหันมาหาผมแทน
“ด้วยสิ่งนี้ ซิลวี่ก็ได้กลายเป็นนักบุญแบบที่หวังแล้วนะคะ”
“ไม่หรอกตอนนี้ฉันน่ะมีความฝันอย่างอื่นแล้วล่ะ”
“เอ๋ งั้นเหรอ อะไรล่ะคะ”
ซิลวี่ที่พูดแบบนั้นทำเอาผมตกใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันได้ทำให้เธอยังคงสับสนหนทางตัวเองไหม แต่แววตาอันมุ่งมั่นที่เธอมองมามันก็ทำให้มั่นใจว่าคงไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแต่ทำไมกันนะ ทำไมถึงมันดูร้อนแรงกว่าปกติล่ะ
ตุบ ตุบ
ร่างของเด็กสาวผมสีฟ้าตอนนี้เดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อย ๆ รอยยิ้มกว้างถูกส่งออกมาจากใบหน้าขาวนวล เธอยังคงกล่าวไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่มาหาผม
“ฉันน่ะคิดมาตลอดว่าความสำเร็จที่เป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตคือเป็นคนที่ยอดเยี่ยมได้แบบอัล”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันน่ะไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอกค่ะ… อย่างตอนนี้ถ้าไม่มีซิลวี่ล่ะก็ คงไม่สามารถชนะได้หรอก”
“อืม เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ฉันได้พบแล้วถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ใช่แล้วค่ะ มันเหมือนกับเสียงที่ดังกังวานซึ่งดังออกมาจากในนี้ มันได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยค่ะ”
มือของซิลวี่เลื่อนขึ้นมาชี้ที่หน้าอกของตัวเอง น้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ที่ไม่จางหายราวกับนักรบที่สาบานตนเองกับพระเจ้าซึ่งจะไม่มีวันสั่นคลอนต่อคำสาบานของตัวเอง
“คืออะไรเหรอคะ….อ๊ะแย่แล้ว”
ตอนนั้นเองที่เหมือนร่างกายของผมจะเริ่มส่งเสียงประท้วง ขาที่ฝืนมาอย่างเนิ่นนานบัดนี้ได้ทรุดลงไปจนร่างของผมเสียสมดุลและกำลังล้มลงกับพื้นหน้าจิ้มกับพื้น
แย่แล้ววววว มาเป็นอะไรตอนนี้เนี่ย
ควับ
ร่างเล็ก ๆ ถูกมือหนึ่งข้ามาประคองจนผมรอดจากการหน้าไปจูบพื้นได้ เมื่อลืมตาขึ้นมาสิ่งที่พบคือใบหน้าขาวนวลและรอยยิ้มอันอ่อนโยนของซิลวี่ที่อยู่แทบจะเรียกว่าประชิดหน้าชนหน้าเลยก็ว่าได้
ซิลวี่ที่ตอนนี้ร่างกายได้ปลดล็อคพลังจากพลังนักบุญที่ตื่นขึ้นทำให้มีพละกำลังระดับยอดมนุษย์ ช่วงเวลาที่ผมกำลังล้มตัวลง เธอได้พุ่งตัวมาคว้าเอวผมเอาไว้อย่างทันท่วงทีทำให้หน้าผมไม่ต้องจุ่มกับพื้น
“อะ..เอ่อ คือ คือ…”
พอเจอเข้ากับใบหน้าสวยแบบนี้ จิตวิญญาณของหนุ่มน้อยวัยมัธยมซึ่งไม่ได้พูดคุยกับผู้หญิงก็ตื่นขึ้น หัวใจผมเต้นรัว ๆ ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับเลือดทั้งร่างได้มารวมกันอยู่ที่เดียว
“คือ..คือว่า..แบบ”
ด้วยความสับสนทั้งหลายทำให้ผมเริ่มพูดออกมาไม่เป็นภาษา ก็แน่นอนสิชีวิตที่แล้วไม่เคยเจอสาวจีบหรือจีบสาวเลยนี่นาแบบนี้มันก็ทำตัวไม่ถูกสิ!! หัวใจเล็ก ๆ ของออโรร่าน้อยมันจะรับไม่อยู่เอานะ!!!
“ความปรารถนาของฉันในตอนนี้ก็คือเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องนักบุญ… ไม่สิ คนสำคัญเช่นออโรร่าไงคะ”
กรี๊ดดดดดดด หล่อเกินไปแล้วววว
แต่เดี๋ยวก่อนนะซิลวี่ นี่มันบทบาทของอัศวินพระเอกที่ผมอยากได้มานานเลยนะ แล้วไหงบทของพวกเรามันสลับกันล่ะ บทของผมมันควรเป็นอัศวินผู้กล้าปกป้ององค์หญิงสิ แล้วไหงผมถึงถูกประคองแบบเจ้าหญิงกันล่ะ ตำแหน่งของเรามันต้องสลับกันนะซิลวี่!!
“เพราะฉะนั้นจากนี้ไป ฉันจะปกป้องคุณเองค่ะ อัล”
และสุดท้ายผมก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ทำตัวบิดงอไปมาหนักยิ่งกว่าเชือกแน่น ๆ ด้วยความเขินอายกับความรู้สึกร้อนผ่าวอยู่เต็มใบหน้าที่ราวกับมีคนเอากองไฟมาตั้ง ไม่พอยังซ้ำเติมด้วยยกพลคนทาสีแดงเต็มใบหน้านี้อีกต่างหาก
ไม่ไหว แบบนี้หัวใจของออโรร่าน้อยมันรับไม่ไหวแล้ว… ชิงสลบก่อนดีกว่า!!!
คร๊อก
“อัล.. ตื่นก่อนสิคะ อัล!!!!”
—————————————————————————————————————–
เอาล่ะครับตัวละครหลักก็ออกมาครบกันหมดแล้ว ก็ติดตามกันต่อไปนะครับ
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า