ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 65 ออโรร่าน้อยกับการเล่นใหญ่ไฟกระพริบ
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 65 ออโรร่าน้อยกับการเล่นใหญ่ไฟกระพริบ
ปั่นเข้าไป มีอะไรปั่นได้ต้องปั่นให้หมด
ร่างของราสพุ่งทะยานเข้าหาขอบเขตอันบิดเบี้ยวของเอลดรานอย่างไม่มีความลังเล รอยยิ้มอันสยดสยองที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“ฮ่า ๆ ขอข้าดูหน่อยเถอะ ว่าความล่มสลายของสัตว์เลี้ยงของพระเจ้ามันเป็นอย่างไร”
“เช่นนั้นเหรอคะ ถ้างั้น… ตัวข้าขอวิงวอนด้วยอำนาจของพระผู้ยิ่งใหญ่ ขอประกายแสงของท่านจงเจิดจรัส ส่องประกาย สิ่งใดที่ขวางขอให้มันถูกแสงแห่งศรัทธาของท่านสาดส่องจนจางหาย โอ้ ตัวข้าขอวิงวอน”
มั่นหน้ามา ก็มั่นหน้ากลับ ไม่รอช้าผมร่ายเสกละอองแสงและเวทส่องสว่างให้มันระเบิดออกจากร่างของทั้งผมและราสเพื่อให้เหมือนกับพวกผมพร้อมระเบิดพลังไม่ต่างจากเขา
เอาเลย นายระเบิดพลังให้เต็มที่เลย เอลดราน!!!
“ช่างโง่เขลา ไม่ว่าพลังอำนาจใดก็มิอาจรอดผ่านความเสื่อมสลายของกาลเวลาได้!!!”
เอลดรานตัวบิดไปมา มือของเขากำที่ไพลินแน่น เขาถ่ายเทพลังจำนวนมากของตัวเองเข้าไปสู่ไพลินสีฟ้าครามที่หม่นหมอง ยิ่งพลังสีดำพุ่งเข้าไปในไพรินมากเท่าไหร่ ขอบเขตและความบิดเบือนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“ราสเวน จงกางปีกแสงแห่งปาฏิหาริย์ของเจ้าซะ!!!”
ยามปีกแห่งแสงสว่างพุ่งเข้าสัมผัสเข้ากับอาณาเขตอันบิดเบือน ในตอนแรกรอยยิ้มอันบ้าคลั่งของเอลดรานกำลังจะได้เผยออกเมื่อแสงของตัวราสเริ่มหรี่ลงอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีสิ่งใด ชนะกาลเวลา…บ้าน่า นี่มันอะไรกัน!!”
เพียงแค่ชั่วพริบตา ใบหน้าอันแสนมั่นใจของเอลดรานเริ่มแปรเปลี่ยน ดวงตาสีแดงที่จดจ้องอย่างเหยียดยามเริ่มเอ่อล้นไปด้วยความสับสน รอยยิ้มแสยะแห่งความชั่วร้ายได้บิดเบี้ยวอย่างบ้าคลั่งเมื่อแสงของราสที่ควรจางหายกลับส่องสว่างขึ้นมากอีกครั้ง และยิ่งเจิดจ้าขึ้นไปเรื่อยดุจดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ไม่มีวันจางหาย
“อย่าได้ฝันไปเลย.. เร่งพลังเข้าอีก เวลาเอ๋ยจงหมุนเร็วขึ้น หมุนเร็วขึ้น!!!”
ทว่าไม่ว่ามันจะเร่งแค่ไหน แสงของราสไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับไปอย่างที่เอลดรานหวัง และหากนั่นยังไม่ทำให้จอมมารผู้นี้หงุดหงิดมากพอ
“โอ้ท่านวิหคสวรรค์ แม้แต่กาลเวลาก็ทำอะไรท่านไม่ได้”
“สมเป็นสัตว์เทวะ!!”
ได้ยินคำสรรเสริญเยินยอราสมันซ้ำเติมเข้าไปอีกด้วยการชะลอตัวลงตรงหน้าของเอลดรานก่อนสยายปีกออกกว้างราวกับอยากอวดเกียรติภูมิของตน
เล่นเกินกว่าบทนี่หว่าราส นี่เจอคนชมแล้วเหลิงใช่ไหมเนี่ย แต่ช่างเถอะ แบบนี้แหละดีแล้ว ยิ่งทำอะไรเวอร์เท่าไหร่ เอลดรานก็ยิ่งหลอนมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น มีอะไรใส่ได้นายใส่หมดเลยราส!!!
แน่นอนว่าโคตรได้ผล ตอนนี้สีหน้าของเอลดรานเริ่มอยู่ไม่สุขประดุจผีโดนน้ำร้อนลวกใส่ ยิ้มที่มั่นใจไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว มีเพียงความสับสนเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่
“ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านนั้นไร้ซึ่งกาลเวลา คุณได้ประจักษ์มันแล้วหรือไม่จอมมารแห่งแดนเหนือ”
เห็นมาแบบนี้ผมก็รีบตามน้ำโดยพลัน สาระพัดประโยคสรรเสริญพระเจ้าถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีหยุดเพื่อทำให้สมองที่ปั่นป่วนอยู่แล้วของเอลดรานยิ่งปั่นป่วนหนักยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าโกหก ไม่มีวันที่เจ้าจะรอดพ้นจากกาลเวลาได้ เจ้าเล่นลูกไม้อะไรแน่นอนเจ้านักบุญผู้เสแสร้ง!!”
อู้ววว รู้สึกเจ็บขึ้นมาเลย แต่ก็นะ ไอ้ที่พูดน่ะมันถูกหมดเลยนั่นล่ะแต่ก็เพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะอันที่จริงพลังของเขานั้นได้ผลอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้
ให้พูดคือตอนที่ทดลองครั้งนั้นไป ตอนผมกับเจ้าราสรุมถล่มปล่อยสารพัดเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเข้าใส่ มีเพียงแสงสว่างกับเวทบางเวทเท่านั้นที่ยังเหลือไปถึงร่างของเขาโดยจางลงไป
ดังนั้นวิธีการมันก็ง่ายมาก เขาชะลอความเร็วจากระยะเวลาลงแต่เร่งการ เสื่อมถอยของสิ่งที่อยู่ข้างใน เวทหรือพลังงานทั้งหลายก็ไม่หลุดพ้น แต่นั่นมันต่างกันกับเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ผมมี หลายอย่างนั้นถูกส่งผ่านจากพระเจ้าผ่านผมก่อนปล่อยออกมา นั่นทำให้พลังของมันบริสุทธิ์และต่อเนื่องอย่างไม่มีหมดตราบใดที่ผมยังสามารถแปลงพลังงานเหล่านั้นไหว
ดังนั้นกับแค่เวททำให้ร่างกายส่องแสงหรือสร้างออร่านั้นต่อให้ใช้ทั้งวันทั้งคืน ร่างกายของผมถือว่ามันสบายมาก จะเร่งพลังให้สว่างกว่าเดิมอีกเท่าตัวก็ยังไม่เป็นปัญหา
ดังนั้นต่อให้พลังงานมันเสื่อมถอยไปอย่างไร แต่สุดท้ายก็มีพลังงานมาเติมอย่างไม่รู้จบ ภาพก็เลยออกมาเหมือนกับว่าเจ้าราสไม่ได้รับผลของไพลินไปโดยปริยาย
“ความเมตตาขององค์ท่านคือความอบอุ่นเหนือสิ่งอื่นใด เหมันต์ผ่านพ้น ใบไม้ผลิมาเยือน ความหวังใหม่บังเกิด ด้วยพลังนี้ขอให้ภัยร้ายสลายไปและคืนชีวาสู่แดนดิน”
ตอนนั้นเองที่อากาศอันหนาวเย็นเริ่มเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอีกครั้ง ความเย็นที่เอลดรานปล่อยออกมาเริ่มราวกับไร้ผลไปจนเหล่าลัทธิกลับใจที่ยืนตะโกนร้องเป็นหน้าม้าอยู่ข้างหลังต่างตะโกนสรรเสริญออกมารัว ๆ
“ท่านนักบุญยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด แม้แต่อำนาจของปีศาจยังต้องพ่าย”
“ดูสิ พลังแห่งเหมันต์ของมันแพ่แสงอันอบอุ่นของท่านนักบุญ นี่ล่ะคือทางที่ถูกต้องของพวกเรา”
“หุบปาก!! หุบปาก ๆ พวกแกทุกคนมันโง่เขลาที่เชื่อเด็กน้อยผู้หลอกลวงผู้นี้ ข้าจะแสดงให้ดูเองถึงพลัง…”
“ยังไม่ยอมอีกเหรอคะ ตอนนี้ไม่รู้สึกเหรอคะว่าความอบอุ่นของเรากำลังทำลายความหนาวเย็นของคุณไป ความอบอุ่นที่แม้แต่กาลเวลาอันบิดเบี้ยวก็ไม่สามารถทำลายมันได้ มันคือแสงศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่คุณไม่อาจทำให้สั่นคลอน!!”
แน่นอนที่ทำไปทั้งหมดก็แค่เวทแสงผสมเวทปรับอุณหภูมิแบบที่ผมใช้ไปตอนห้องผนึกซิลฟรอเทีย ไม่เปลืองเวทแถมได้ผลสุด ๆ พอมาประกอบกับความสับสนของเอลดรานตอนนี้เขาน่าจะเริ่มคิดไปแล้วแน่ ๆ ว่าพลังของผมเริ่มเจาะม่านกาลเวลาของเขามาได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“ออกไปซะ เดรัจฉานของเทพเจ้า เจ้าไม่มีวัน… ไม่มีวันที่จะมาหยุดความแค้นนับหลายร้อยปีของข้า!! ข้าจะย้อนคืนกาลเวลาที่ถูกชิงไปกลับมา!!”
เอลดรานสติแตกเป็นที่เรียบร้อย เขาทุ่มพลังเวทททั้งหมดที่ตัวเองมีอย่างไร้สติ ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดต่างถล่มเข้าใส่ราสอย่างไม่มีหยุดยั้ง ทั้งกาลเวลาที่บิดเบือน ทั้งพายุหิมะ แต่ทั้งหมดก็ไร้ผล เป็นการกระทำอันแสนสูญเปล่า
“ข้าอุตส่าห์ได้พลังนี้มา พลังที่เคยใช้ผนึก.. เคยใช้แย่งชิงพลังของข้าไป กาลเวลาที่ย้อนและเปลี่ยนข้ากับเป็นตัวตนอันไร้ค่า.. ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาชิงมันไปได้!!”
อาณาเขตที่กางรอบตัวของเขาเริ่มเปลี่ยนไปพยายามครอบตัวของราสอย่างเจาะจง นี่คงทำให้เขาควบคุมความบิดเบือนของเวลาได้มากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็สูญเปล่า ด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัดประดุจต่อสายเข้าโรงงานนิวเคลีย ไม่มีวันที่เขาจะทำให้แสงของผมและราสมอดได้เด็ดขาด
จังหวะนี่ล่ะนะ
เมื่อความสนใจของเอลดรานถูกดึงไปที่ราสทั้งหมด มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะทำตามจุดประสงค์แต่แรกเริ่มของตัวเอง คือการช่วยเหลือซิลวี่
“รอหน่อยนะ ซิลวี่”
ผมค่อย ๆ เดินไปอย่างระมัดระวัง เพราะแม้ความบ้าคลั่งจะทำให้เขาไม่สนใจผมอีกต่อไป แต่พื้นที่รอบ ๆ ซิลวี่ถึงจะจางแต่ก็ยังหลงเหลือพลังของไพลินแห่งการเปลี่ยนแปลง
เหล่าต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายยังคงเปลี่ยนแปลง บรรยากาศทั้งหลายยังคงอึดอัด ผมจำเป็นต้องอาศัยพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าคุ้มกันตัวเองจากความบิดเบือนเหล่านั้น
โชคยังดีที่มันจางมาก ๆ ทำให้ร่างกายของผมไม่ต้องแบกรับภาระจนล้มลงไป แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังกินแรงจนทำเอาผมรู้สึกหอบเหนื่อยไม่ใช่เล่น
ผมเดินก้าวไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกได้ถึงว่าร่างกายของผมมันกำลังหายใจลำบาก ผิวของเด็กน้อยบางครั้งก็เปลี่ยนอายุไปมาก่อนถูกซ่อมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ เรี่ยวแรงที่หายไปสลับกลับคืนมาจากกาลเวลาที่ยืดหดอย่างสับสนทำเอาสติแทบดับ
“องค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ ท่านคือผู้เป็นนิรันดร์ ยามท่านจ้องมองเวลาทั้งหลายนั้นไร้ค่า เช่นนั้นขอท่านตรึงเวลานี้ของข้าให้ยาวนานเฉกเช่นท่านด้วยเถิด”
แต่เพื่อช่วยเหลือซิลวี่แล้วผมจะต้องพยายามต่อไป ผมเร่งฝืนใช้พลังของตัวเองตรึงเวลาให้ไพลินไม่ส่งผล
อีกนิดเดียว
ผมจ้องมองภาพตรงหน้า ที่ใจกลางของวงเวทโลหิต ร่างของซิลเวียกำลังเปล่งแสงสีฟ้านอนนิ่งสงบอยู่
ไม่ต้องห่วงนะ… ผมจะช่วยเธอเองซิลวี่ เพราะเราคือเพื่อนกันไงล่ะ!!!
ราสที่รู้แล้วว่าผมเริ่มก้าวออกเดิน มันยิ่งพยายามเรียกความสนใจของเอลดรานอย่างหนัก ทั้งบินโฉบไปมาอย่างกวนประสาท ทั้งสยายปีกรับพลังทั้งหมด หรือแสร้งทำแววตาดูถูกเรียกอารมณ์ของจอมมารให้ใช้ความโกรธาทุ่มใส่มัน
ใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะมาถึงข้างตัวของซิลวี่ แต่ในท้ายที่สุดเข่าของผมก็ทรุดลงข้างแท่นซึ่งมีร่างของสาวน้อยผมสีทองนอนอยู่ แต่หากสังเกตดี ๆ ยามนี้ผมของเธอเริ่มกลายเป็นสีฟ้าทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย
ตอนนั้นเองที่มีเสียงบางอย่างดังเข้ามาในหูของผม เรื่องราว ความจริงและหนทางการตัดสินใจทั้งหลายได้ปรากฏ ผมตอบรับกับสิ่งนั้นอย่างง่ายดาย เพียงแค่ยิ้มแล้วยืนยันไปอย่างมั่นใจ
‘เจ้าจะทำเยี่ยงไร’
“แน่นอนไม่ใช่เหรอ มอบสิ่งที่เด็กคนนี้ต้องการ… ความหวังอย่างไรล่ะ!!”
ผมยื่นมือทั้งสองของตัวเองออกไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างเริ่มทอแสงสีขาวนวลออกมาจาง ๆ พลังเหล่านั้นค่อย ๆ แผ่ออกไปยังร่างของซิลวี่ก่อนจะปกคลุมไปทั่วร่าง
เพียงแค่พลังของผมเชื่อมเข้ากับเธอ พลังของไพลินแห่งกาลเวลาที่พยายามใช้เธอเป็นตัวปลดปล่อยเริ่มออกอาการต่อต้าน ร่างของซิลวี่เริ่มเปลี่ยนไปมา มันสลับไปมาระหว่างร่างของเด็กและผู้ใหญ่
พลังนี่มันกำลังพยายามต่อต้านงั้นเหรอ… โดนเอลดรานดึงไปเป็นพวกเรียบร้อยแล้วสินะ แต่อย่าฝันเลยเพราะผมน่ะคือนักบุญที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อย่างไรล่ะ!!!
“ฉันมาปลดปล่อยเธอออกจากคำสาปแล้วนะ ซิลเวีย”
แต่งมันส์มือไปหน่อยแอบยาวขึ้นกว่าที่คิด ไม่เป็นไร ถือซะว่าเข้าเครื่องปั่นตราออโรร่าและราสไปกันแล้วกันนะ