ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 62 ออโรร่า นักบุญผู้เป็นที่รักของพระเจ้า
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 62 ออโรร่า นักบุญผู้เป็นที่รักของพระเจ้า
สุดยอด นี่มันสุดยอดเกินกว่าที่คิดจริง ๆ ด้วย
ผมมองดูราสที่ตอนนี้ได้กลายเป็นวิหคในสวรรค์ในตำนานดั่งที่หนังสือได้บรรยายเอาไว้ไม่มีผิด ทั้งร่างสีแดงเพลิงที่มีประกายสีทองอันเจิดจ้า หรือดวงตาสีฟ้าสวยดุจหยดน้ำ
ความยิ่งใหญ่ของมันประกอบกับแสงสว่างอันเจิดจ้าที่สาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเอาให้รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และความศักดิ์สิทธิ์เหมาะสมกับการจุติของสัตว์เทวะในตำนานอีกครา
ปีกของราสที่สยายออกสร้างละอองแสงสีทองจำนวนมากให้กระจายไปทั่วทั้งสนามรบ ไม่ว่าจะเมืองหรือเหนือกองทัพคลื่นมนุษย์ของเหล่าคนเถื่อน ยามที่เหล่าวิญญาณร้ายต้องแสงสว่างแห่งสัตว์เทวะพวกมันส่งเสียงกรีดร้องและสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่เงา
การจุตินี้เรียกขวัญและกำลังใจให้กับเหล่าทหารทั้งหลายของกลอริเอลได้เป็นอย่างดี พวกเขาต่างตะโกนโห่ร้อง บ้างก็สวดขอบคุณกับพระเจ้าที่มอบปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ บ้างก็ชื่นชมผมที่เป็นนักบุญซึ่งอัญเชิญความหวังนี้มา
“วิญญาณร้ายมลายสิ้น พระเจ้าอยู่ข้างเราเสมอ!!”
“วิหคสวรรค์ราสเวน… ไม่นึกฝันว่าพวกเราจะได้เห็นสัตว์เทวะแห่งเรสเวนน่า”
“สมกับเป็นนักบุญผู้เป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า ปาฏิหาริย์ใดนางก็สามารถสร้างได้”
“ความหวัง นี่คือความหวังแห่งเรสเวนน่า.. ไม่สิ นี่คือความหวังของมวลมนุษย์!!”
เอาเลย ชมมาอีกเยอะ ๆ แค่ได้ยินผมก็ยิ้มแกล้มปริ่มยินดีกับแผนแรกที่สำเร็จแบบนี้ สิ่งแรกคือความหวัง ผมจะต้องเป็นความหวังให้กับทุกคนในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นความกลัวด้วย
ผมหันไปมองภาพของพวกคนเถื่อนที่ตอนนี้ต่างตะโกนร้องอย่างหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของราส พวกมันพยายามยิงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีเข้าใส่วิหคแห่งสวรรค์ หอก ธนู เวทมนตร์ ทุกอย่างที่มีถูกงัดมาใช้หมดกรุเพื่อต่อการกับปาฏิหาริย์ตรงหน้า
ทว่ามันช่างเปล่าประโยชน์ ไม่ใช่เพราะพลังของราสมีมากมายมหาศาล หรือมีเกราะวิเศษอะไรป้องกันตัวเองทั้งนั้น แต่เพราะเจ้านกนี่มันเป็นเพียงภาพลวงตา
ใช่แล้ว พวกเขาถล่มทุกอย่างใส่เจ้านกบ้าที่เป็นเพียงภาพลวงตาซึ่งเสริมเอฟเฟคสารพัดอย่างไม่ว่าแสงหรือสีด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของผม
แน่นอนเจ้าราสเองก็ไม่ใช่ภาพที่ผมสร้างมาทั้งหมด ทั้งเจ้านกตัวใหญ่หรือขนสีแดงงดงามนั่นน่ะเป็นตัวตนเก่าของเจ้าราสแน่นอน ติดแค่ว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นภาพรางๆ ให้พอเห็น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ใส่ใจเพราะอย่างอื่นนั้น ออโรร่าน้อยคนนี้จัดการให้หมดแล้ว
อย่างแรกก็ร่ายแสงไว้เป็นฉากเปิดตัวทำให้มันยิ่งใหญ่ แค่นี้ขวัญของศัตรูก็เริ่มพังไปพอสมควร นอกจากนั้นเพื่อให้เจ้านกนี่มันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นผมก็จัดการโปรยทั้งละอองแสง ทั้งรัศมีเจิดจรัส ไม่พอยังแถมการสังหารหมู่พวกวิญญาณร้ายบนฟ้าเป็นของประกอบอีกต่างหาก
มองจากมุมมองคนภายนอกอย่างไรเสียพวกเขาก็เห็นเป็นวิหคสวรรค์ตัวจริงเสียงจริง มีอำนาจจริงมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าไม่มีผิดแน่นอน
เจ้าราสบินโฉบไปเรื่อย ๆ คล้ายอยากโชว์พลังตัวเอง ผมก็จัดการเสริมให้โดยไม่ว่ามันบินไปตรงไหน พลังศักดิ์สิทธิ์สำหรับการระเบิดวิญญาณร้ายก็ตามไป เจ้าพวกผีตัวประกอบพวกนี้มันอ่อนแอจะตาย ถ้าไม่ประกอบร่างกันก็ไม่เก่งหรือถึกอะไรมาก ใช้เวทศักดิ์สิทธิ์เบา ๆ ก็ระเหิดหมดแล้วดังนั้นต่อให้เจ้าราสจะบินเปิดตัวจัดเต็มขนาดไหนร่างกายผมก็ไม่เป็นภาระ
ยิ่งพวกคนเถื่อนสติแตกเลิกสนใจผมแล้วไปสนใจเจ้าราสแทนนี่ยิ่งทำให้ผมสบาย เดินตรงแบบไม่มีใครคิดจะโจมตีใส่เพราะทุกอย่างมันพุ่งหาเจ้าราสหมด สบายโคตร ๆ
‘ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้ข้าวิหคสวรรค์จะได้มาโชว์ปาหี่แบบนี้’
ไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีบาดแผล ไม่เปลืองแรง แบบนี้ยังจะมีอะไรให้บ่นอีกล่ะราสเอ๋ย
‘เห้อ เอาเถอะถือว่าครั้งนี้ให้ยกให้เจ้าละกัน’
อยากชมก็บอกมาเถอะน่า
‘หึ ฝันไปเถอะ’
ราสบินโฉบไปโฉบมาเพื่อเรียกความสนใจของพวกคนเถื่อน โดยส่วนมากเขาจะเน้นบินไปแถววิญญาณร้ายเพื่อแสดงพลังอำนาจปลอม ๆ ให้พวกคนเถื่อนตกใจเล่น จากนั้นก็บินมั่วไปมาเพื่อล่อความสนใจศัตรูออกจากผม
ส่วนถามว่าอีกฝ่ายปาอาวุธใส่แล้วมันไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมอาวุธมันทะลุ ง่ายมาก เพราะทุกครั้งที่อาวุธหรือเวท มันกำลังจะโดนเจ้าราส ผมก็จัดการตั้งระบบพลังให้ร่างของราสมันเรืองแสงจ้าคล้ายใช้พลังบางอย่างก็พอ แถมมีอีกอย่างมาช่วยหนุนอีกด้วย…
“ไงล่ะไอ้พวกนับถือปีศาจ เห็นพลังของวิหคศักดิ์สิทธิ์ไหม พวกแกทำอะไรท่านราสเวนไม่ได้หรอกโว้ย!!”
“โอ้สวรรค์ พลังชั่วร้ายใดก็มิอาจแตะต้องตัวท่านราสเวนได้ดั่งตำนานจริง ๆ”
“ท่านออโรร่าเป็นคนเรียกวิหคสวรรค์มาด้วยตัวเอง พวกแกน่ะทำอะไรสัตว์อัญเชิญของนักบุญอันเป็นที่รักของพระเจ้าไม่ได้หรอกนะ ไอ้พวกนอกรีต!!”
เสียงเชียร์จำนวนมากที่อยู่ด้านหลัง ไม่ต้องบอกเลยว่ามันต้องทำให้เจ้าพวกคนเถื่อนคิดไปตามนั้นแน่ ๆ ดังนั้นต่อให้มันจะเห็นหอกหรือเวททะลุร่างของราสไปก็คิดว่าเป็นเวทบางอย่างแน่นอน
“ท่านนักบุญจัดการพวกมันให้หมดเลยครับ”
“เผามันด้วยเพลิงแห่งสวรรค์!!!”
อะไรมันจะคึกกันขนาดนั้น นี่พวกคุณพี่เก็บกดกันมาจากไหนไม่ทราบ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นแบบนี้ จะไม่ขอบ่นอะไรแล้วกัน
ขั้นต่อไปก็เป็น…..
“เหล่าผู้หลงทางทั้งหลายเอ๋ย จงหยุดความรุนแรงนี่ซะ”
คำพูดของผมเป็นสัญญาณ เจ้าราสหักบินหมุนตัวตีลังกา วกตัวกลับมาอยู่ข้างผม ละอองแสงสีแดงทองโปรยปรายลงมาประกอบส่งให้ผมดูเด่นชัดเจนและดูศักดิ์สิทธิ์มากราวกับศาสดาลงมาโปรดมากกว่าเดิม
ผมรวบรวมสมาธิก่อนพยายามทำให้เสียงของตัวเองดังกังวานออกมา ตัวเสียงก็พยายามให้ทุ้มต่ำลงเหมือนคำสอน ใบหน้าปั้นเผยยิ้มอย่างอ่อนโยนให้มากที่สุดระดับที่ใครมองก็คิดว่านางฟ้ามาประทานพร
“ลูกหลานแห่งแดนเหนือ ขอจงเฝ้าดู ราสเวน วิหคศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์แห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งชี้นำและปกป้องพวกเรา เรามิได้ยืนอยู่ตรงหน้านี้อย่างผู้พิชิต แต่เป็นผู้ส่งสารแห่งความหวังและการปลดเปลื้อง เส้นทางที่พวกท่านเดินอยู่นั้นมืดมิดและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง เส้นทางแห่งโลหิตแลความเศร้า…. แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะหันหน้าเข้าหาแสงสว่าง”
ผมค่อย ๆ ยื่นมือของตัวเองออกไปอย่างช้า ๆ ใบหน้าที่ทำให้อ่อนโยน แววตาอันเปล่งประกายล้นไปด้วยความเมตตา เรียกได้ว่ามีอะไรให้ปั้นได้ผมก็ปั้นมันหมด จนแม้แต่ดาราในละครยังต้องอาย
“พระเจ้ามิได้ทอดทิ้งเจ้า เพราะความเมตตาของท่านลึกล้ำไร้ขอบเขต ในสายตาของท่าน บรรดาสรรพวิญญาณล้วนมีค่า บรรดาหัวใจล้วนเป็นภาชนะแห่งการเปลี่ยนแปลง ตัวเราขอมอบโอกาสแก่ท่านทั้งหลาย โอกาสที่จะโอบกอดความเมตตาอันยิ่งใหญ่กว่าตัวท่าน ร่วมกันกับผองชนผู้ศรัทธาในภารกิจแห่งสันติและความสงบ”
ใบหน้าของพวกเขาเริ่มดูลังเลมากขึ้นทุกทีที่ได้ยินคำของผม หลายคนเริ่มมีพูดคุยกัน บ้างเริ่มก้มคุกเข่า บ้างเริ่มพยายามห้ามเพื่อนของตัวเอง ความสับสนได้ปกคลุมพวกเขาทั้งกองทัพ
ตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อน ๆ ความสับสนนี่นับเป็นสัญญาณที่ดีให้ผมเล่นจัดใหญ่ไฟกะพริบ ผมรีบมองตาราส ก่อนส่งสัญญาณให้เขาเริ่มแสดงตามที่ตกลงกันเอาไว้
“สัตว์ผู้สง่างามนี้ไม่ใช่เพียงผู้พิทักษ์ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นคืนชีพ เช่นเดียวกับราสเวนที่ผงาดขึ้นจากกองเถ้า เช่นนั้น เจ้าก็สามารถผงาดขึ้นจากกองเถ้าแห่งอดีตของอันผิดพลาดของพวกท่านได้ แม้อดีตจะจะเลือกเดินทางผิดพลาดทว่าตอนนี้ท่านสามารถเลือกชะตากรรมใหม่ให้กับตัวเองได้”
ราสสยายปีกของตัวเองออกมาเบื้องหลังของผม พร้อมกันผมก็รีบร่ายเวทให้เกิดประกายอันเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ขึ้นที่ด้านหลังของราสเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ผมพูดไป
“วางอาวุธลงเถิด แล้วหยิบยกเอาความศรัทธาขึ้นมา เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ความเมตตาชนะความรุนแรง โลกที่ความสามัคคีลบล้างความแตกแยก โลกที่พวกท่านจะอยู่ได้โดยไร้ซึ่งความเกลียดชัง ขอร่วมทางศักดิ์สิทธิ์นี้กับเรา แล้วหนทางแห่งชีวิตใหม่ของพวกท่านทุกคนจะเปิดขึ้น”
สนามรบนิ่งเงียบสงัด มีเพียงแสงสว่างอันเจิดจ้าที่ยังคงส่องประกายมาจากผม ผมค่อย ๆ ยกมือที่ยื่นออกไปของตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับเป็นการเชิญชวนพวกเขาให้มาร่วมในหนทางแห่งสันติ
แกร้ง ๆ
เสียงอาวุธจำนวนมากเริ่มถูกวางลงกับพื้น เหล่าคนเถื่อนมากมายวางอาวุธของตนและคุกเข่าลง มือทั้งสองยกขึ้นพลางเริ่มสวดวิงวอนกับพระเจ้า
หลายคนตอนแรกมีท่าทีต่อต้าน แต่เมื่อกระแสของมวลชนทั้งหลายเริ่มหันเหไปทางเดียวกัน สุดท้ายคนเหล่านั้นก็เริ่มโดนจิตวิทยามวลชนเล่นงานก่อนจะยอมแพ้ไปในที่สุด
ชื่อของผม ราสเวนและพระเจ้าเริ่มดังผสานกันไปมาอย่างไม่รู้จบ เสียงสวดทั้งจากฝั่งของคนเถื่อนผู้กลับใจและเมืองกลอริเอลดังออกมาจนมั่นใจได้เลยว่าสิ่งนี้ที่เกิดขึ้นจะต้องถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
‘ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้ข้าจะได้เห็นเจ้าทำหน้าที่นักบุญกับเขาจริง ๆ สักที’
ผมทำได้ดีเลยใช่ไหมล่ะราส
‘อืม เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าทำได้สมกับเป็นความหวังดั่งที่เด็กคนนั้นกล่าวไว้จริง ๆ’
ใครหวังเจอฉากบู้ดุเดือดจากเรื่องนี้ เสียใจด้วยนะไม่มีให้หรอกครับ มีแต่ความกาวและความแถให้