ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 41 ออโรร่าน้อยกับวิชาแห่งนักสืบ
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 41 ออโรร่าน้อยกับวิชาแห่งนักสืบ
ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าผีไม้กวาดที่หน้าบ้าน ทำให้ผมเข้ามาข้างในได้อย่างง่ายดายเพราะแทบไม่มีใครมาขวาง ขนาดที่ว่าต่อให้ปลดเวทล่องหนไปก็ยังไม่มีใครเจอ
แต่จะประมาทไม่ได้!!!
ใช่ ถึงจะไม่มีใครขวางทางแต่อย่างไรนี่มันก็เป็นเขตอันแสนอันตรายเสียยิ่งกว่าที่ไหน มันคือพื้นที่ใต้การควบคุมของพวกผีบ้าพวกนั้นอย่างไรล่ะ!!!
ผมเดินเข้ามาข้างในเรื่อย ๆ พร้อมกันก็กวาดสายตามองรอบ ๆ ไปมา ซึ่งพบว่าเจ้าคฤหาสน์หลังนี้มันเปลี่ยนแปลงไปแบบสุด ๆ ราวกับหน้ามือกับหลังฝ่าเท้า
จากกำแพงห้อง ผุ ๆ พัง ๆ ตอนนี้ถูกปิดเรียบสนิทเป็นอย่างดี ส่วนพวกข้าวของเครื่องใช้ที่ก่อนหน้าแตกหักไม่ก็เต็มไปด้วยหยากไย่ถูกซ่อมและทำความสะอาดอย่างดีสมกับเป็นบ้านพักของนักบวชชั้นสูง
ไม่ต้องสืบเลย นี่ต้องเป็นผลงานน้ำพักน้ำแรงของเหล่าผีไม้กวาดที่ร้องไห้กลัวเจ้านายของพวกเขาอยู่หน้าบ้านแน่นอน
ดูจากสภาพ เจ้านายคงเฮี๊ยบน่าดู เฮี๊ยบขนาดตายแล้วพวกผีมันยังกลัวได้….นี่มันแรงงานทาสชัด ๆ
ผมเดินดูสภาพรอบ ๆ ของบ้านซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยผลงานอันยิ่งใหญ่ของเหล่าผีแรงงานทาสด้วยความชื่นชมปนสงสาร แต่สุดท้ายก็มาหยุดลงเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้….
แล้วต้องไปทางไหนต่อ?
คือตั้งแต่ผมมาเข้าบ้านหลังนี้ตั้งแต่คราวก่อน หลังจากหลุดมาจากเงื้อมมือพวกผีหมีได้ผมก็แทบไม่ได้กลับมาอีกเลย
แถมคราวก่อนที่มาก็วิ่งหนีพวกยมทูตกับผีมั่วซั่วซะจนไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน ทางเดียวที่ผมรู้วิธีไปคือห้องลับของเจ้าสองหน่อบ้าเด็กโลลิ….. เดินไปทางนั้นก็บ้าแล้ว!!!
ดังนั้น ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งมวล จึงสรุปได้อย่างชัดเจนหนึ่งอย่าง…
ผมหลงทาง!!!
ให้ตายสิ ใครมันจะไปนึกล่ะว่าบ้านของคุณหัวหน้านักบวชแกจะใหญ่โตปานนี้ ถึงมองภายนอกมันจะใหญ่อยู่แล้ว แต่พอเข้ามานี่ อย่างกับเดินในเขาวงกตยักษ์
ถ้าเป็นแบบนี้ ผมจะตามหาเจ้าชาร์ลเจอก่อนมันจะแสดงความเป็นมาโซทันได้อย่างไรเนี่ย เพราะขืนมันได้โชว์ออกมาจริง รับรองได้ขายขี้หน้าทั้งอาณาจักรแน่นอน และมิวายตัวผมคงได้โดนลากเอาไปเกี่ยวแบบแปลก ๆ แน่นอน
อยากร้องไห้สักสิบรอบ…. ที่จริงจะใช้เวทตามหาชาร์ลดูมันก็น่าจะได้เพราะพลังที่เจ้าพระเจ้ามันให้มาก็มากเกินพอที่จะใช้เวทแบบนั้น แต่ประเด็นมันก็อยู่ตรงนั้นด้วยล่ะ เพราะไอ้ความที่มันมากเกินพอนั้น อย่าได้ถามว่าใช้แล้วจะได้ผลไหม ควรไปถามว่าใช้แล้วมันจะเกิดเรื่องบ้าบออะไรบ้าง
ให้ผมเดานะ แบบผมขอใช้เวทค้นหาตำแหน่งของชาร์ล แทนที่มันจะบอกตำแหน่งมาง่าย ๆ แล้วให้ผมเดินไป มันจะต้องมีแสงสว่างพุ่งเป็นเส้นทางแบบเป็นประกายสวยงามดูศักดิ์สิทธิ์ให้ผมเดินตามไปแน่นอน ไม่สิ บางทีอาจมีละอองแสงหรือขนนกแถมมาด้วยก็ได้….คิดแล้วน้ำตาจะไหล
คือถ้าคนอื่นเห็นแสงพวกนั้นมันไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าพวกผีหมีสองตัวที่โดนพลังส่งวิญญาณไปยังไม่เป็นไร มันต้องรู้แน่ว่าผมมา และหากเป็นแบบนั้น ไม่วายตัวผมต้องโดนจับไปแต่งตัวใส่ชุดนอนลายหมีพร้อมพร๊อพสารพัดอย่างที่พวกนั้นจะคิดได้มาใส่แน่นอน และหากเป็นแบบนั้น…… ไม่อยากจะคิดสภาพ
ผมเดินมาเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นห้องที่ถูกเปิดเอาไว้ มันมีขนาดใหญ่กว้างขวาง ทั้งยังตบแต่งอย่างสวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงที่ถูกซ่อมเป็นที่เรียบร้อย
หากเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นโคมระย้าราคาแพงถูกห้อยเอาไว้ ซึ่งหากจ้องดี ๆ จะเห็นรอยแตกบางส่วนแต่เหมือนมันจะถูกเอาวัตถุบางอย่างอุดไว้เรียบร้อย
“ทำงานกันหนักน่าดูเลยสินะคะ เหล่าวิญญาณผู้น่าสงสารน่ะ”
ผมได้แต่ยิ้มแหะ ๆ พลางคิดถึงเหล่าผีไม้กวาดแรงงานทาสที่คงทำงานกันหามรุ่งหามค่ำแบบไร้ซึ่งเงินเดือนเพื่อซ่อมบ้านให้กับเจ้านายสุดโหดของพวกมันทั้งน้ำตา
“เอาล่ะ ทำไงต่อดีนะ”
ผมเอานิ้วชี้สัมผัสที่ปากเบา ๆ ทำท่าแบบพวกนักคิดเผื่อว่ามันจะบัฟให้ความคิดของผมมันพุ่งกระจายขึ้นมาบ้าง แต่ก็นั่นล่ะ….ได้แค่เผื่อ…. ใครมันจะไปทำไรแบบนั้นได้เล่า!!!
อืมมมม ดูจากสภาพแล้ว นี่น่าจะเป็นห้องโถงหรือห้องรับแขกใหญ่ล่ะมั้ง เพราะทั้งเตาผิง ทั้งโต๊ะขนาดใหญ่ ดูจะเหมาะกับการใช้รับแขกชั้นสูงหรือบุคคลสำคัญจริง ๆ
แต่เรื่องความสวยงามของห้องนั้นช่างมันไปก่อนละกัน ตอนนี้ผมควรสนความสวยงามในอนาคตของตัวเองและอาณาจักรมากกว่า!!! ว่าแต่สรุปเจ้าชายมันไปอยู่ไหนเนี่ย!
ให้ตายสิ แล้วแบบนี้ผมจะทำอย่างไรดี…..
อารมณ์ตอนนี้ผมช่างเหมือนกับตัวละครที่มาตามหาเพื่อนผู้โชคร้ายในบ้านผีสิงแต่ดันมาหลงเอง ซึ่งเป็นตัวละครที่….มีแววเละสูงสุด….
ไม่สิ ๆ นี่มันโลกแฟนตาซีนะ แถมผีที่ว่ามันก็ผีหมีที่ไม่มีวันจะทำอะไรออโรร่าน้อยที่เป็นดั่งดุจเทพธิดาจากสวรรค์ของพวกเขาแน่นอน!
เดี๋ยวนะ…. พูดถึงโลกแฟนตาซีก็ต้องพูดถึงนิยาย และสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมานึกถึงพวกหนังสยองขวัญแต่ต้องเป็นพวกนิยายสืบสวนสอบสวนสิ
ใช่ นิยายแนวนักสืบ เวลาที่เหล่านักสืบผจญกับทางตันไร้ซึ่งหนทางออก สิ่งที่พวกเขาทำนั้นก็คือการอาศัยความเงียบและคิด….
คิดได้แบบนั้น ผมก็ทำการหลับตาลงก่อนจะค่อย ๆ ตัดสัมผัสส่วนต่าง ๆ ลงแล้วเพ่งสติทั้งหมดไปที่หูของตัวเอง
ผมสัมผัสได้ สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของบ้านหลังนี้ที่แม้ข้างนอกจะแดดรุนแรงจนเหงื่อแตก ทว่าข้างในนี้มันกลับเย็นยะเยือก อีกทั้งพอความเงียบเข้าปกคลุม สิ่งที่ตามมานั้นก็คือ…
วีดดดด
เสียงลม…. เสียงของลมที่ลอดผ่านมาทางช่องหน้าต่างจนเกิดเป็นเสียงหวีดแหลมสูงราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณทาสที่ถูกใช้แรงงานมาอย่างหนัก
น่ากลัวไปแล้วโว้ย!!!
แบบนี้ใครมันจะไปมีสมาธิมาคิดกันเล่า! ได้หลอนตายก่อนคิดหาทางออกก่อนพอดี!
ไม่ไหวแล้ว! สถานการณ์แบบนี้ ออโรร่าน้อยจะไม่ทน งานนี้หากประสาทสัมผัสมันพึ่งไม่ได้ก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนแล้ว แน่นอนว่าที่ศักดิ์สิทธิ์สุดในนี่มันก็ผมที่เป็นนักบุญ!!!
โอมมม ขอเวทอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมคิดหาหนทางออกทีเถอะ!
ในเมื่อหัวมันตัน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมขอใช้เวทเสริมให้มันคิดออกหน่อยก็แล้วกัน เพราะใช้ใส่ตัวเองมันไม่น่าจะมีพลังอะไรแรง ๆ แปลก ๆ พุ่งมา
ว่าแล้วผมก็ทำการร่ายเวทให้เบาที่สุด
“ข้าแต่พระองค์ผู้อยู่เหนือสิ่งใด ขอปัญญาแห่งพระองค์ทรงเป็นปัญญาของข้า!”
ทันใดนั้นเอง สมองของผมก็เริ่มมีภาพต่าง ๆ ไหลเวียนเข้ามา ภาพที่ผมวิ่งออกจากปราสาท เหตุผลต่าง ๆ มากมายไหลเข้ามาไหนหัว ต่อด้วยภาพของเหล่าคนที่สู้กับผีไม้กวาดข้างหน้าซึ่งมีสมมติฐานอะไรต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในหัวราวกับนี่ไม่ใช่สมองของผม ภาพค่อย ๆ เป็นไปอย่างเชื่องช้า ข้อมูลการวิเคราะห์ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหว อารมณ์ต่าง ๆ นั้นเข้ามาในหัวผมและทำให้ผมเข้าใจอย่างง่ายดาย แต่ว่า……
มันจะย้อนไกลเกินไปแล้ว!!! เจ้าเวทพวกนี้ช่วยมีความพอดีหน่อยจะได้ไหม!
ให้ตายสิ จะอะไรก็พึ่งไม่เห็นได้เลยวุ้ย ถ้าอย่างงั้นเห็นทีผมคงต้องพึ่งอีกอย่างซะแล้วล่ะ…. ถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นดู!!!
ไหน ๆ มันก็ขึ้นชื่อว่าบ้านของนักบวชชั้นผู้ใหญ่ ถึงจะกลายเป็นผีหมีไปแล้ว แต่มันก็น่าจะหลงเหลือความศักดิ์สิทธิ์บ้างล่ะน่า!!!
“ข้าว่าสมองเจ้าท่าทางจะหนักแล้วล่ะ”
“โอ้ องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เสียงแห่งท่านคือแสงที่ข้าพึงอยากได้ยินในยามอันแสนขับขันเช่นนี้”
จะมาทำเพื่อ! ไอ้บ้าเอ้ยยยย ตกใจหมดเลยนะรู้ไหม ไอ้เราก็นึกว่าผะ…ผี
ร่างของผมสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงอันแสนคุ้นเคยดังมาที่ข้างในหัว พร้อมกันขาเล็ก ๆ ของออโรร่าน้อยก็สั่นพับ ๆ ไม่หยุด
“คือเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งคิดได้ว่าถ้าใช้เวทแล้วการพลางตัวของเจ้าน่าจะพังไม่เป็นท่าแต่ตอนนี้กลับใช้เป็นบ้าเป็นหลัง…. ข้าว่าเจ้าช่างย้อนแย้งจริงจังมาก”
ก็มันเพราะใครกันเล่า! ถ้าเวทของนายมันร่ายออกมาเป็นผู้เป็นคนได้เหมือนชาวบ้าน ผมคงไม่ต้องมายืนเครียดกลางบ้านผีสิงแบบนี้หรอก!!!
“พลังของพระองค์นำพาให้ข้าอยู่ในบททดสอบอันแสนน่ายินดี”
ขอปี๊ปถังสิ!
“เอาเถอะ มีคนมาหาเจ้าแล้วก็ระวังหน่อยละกัน”
ว่าไงนะ เมื่อกี้นายว่าอย่างไรนะ!
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เสียงของพระเจ้าก็เงียบหายไป งานนี้ไม่ได้ต้องสืบ เขาคงตัดการติดต่อแล้วนอนเหยียดกายสบายดูผมกรีดร้องอย่างสนุกสนานแน่ ๆ
“โอ้ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดอกไม้งามแห่งยุคสมัย!”
นี่มันหนักกว่าเมื่อกี้อีก!
“ไหน! เสียงที่ใสงดงามดุจแก้วใสกังวานแห่งความหวังของข้า ข้าได้ยิน!!! ท่านนักบุญอยู่ที่ไหน!”
ผีเดลอนพุ่งตัวออกมาจากกำแพงจนเอาตัวผมแทบสะดุ้งโหยงเหงื่อแตกปานอยู่กลางป่องภูเขาไฟลาวา
เขาหันหน้าซ้ายขวาด้วยสายตาที่เป็นประกายจนผมรู้สึกหวาดหวั่น ดวงตาของผีหมีได้พยายามสาดส่องไปทั่ว ๆ ห้องเพื่อพยายามตามหาที่มาของเสียงซึ่งก็คือผมที่ยืนขาสั่นพรึบ ๆ อยู่ตรงมุมห้อง
เจ้าผีหมีเดลอน!!!
จะผีตัวไหนผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะไหว เพราะพลังอำพรางที่พระเจ้ามอบให้ ทว่าไม่ใช่กับเจ้าผีหมีสองตัวที่แม้พลังส่งวิญญาณที่อัดอย่างเต็มที่ของผมก็ไม่อาจเอาชนะความคลั่งในสาวน้อยน่ารักของพวกบ้าพวกนี้
เพราะงั้นใครจะไปรู้ล่ะว่าด้วยความบ้าของพวกพี่แกทั้งสองจะเหนือขั้นจนมองเห็นสาวน้อยที่หลบซ่อนอยู่ได้ โดยเฉพาะกับออโรร่าน้อยผู้น่ารักน่ะ!!!
“ข้ารู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงท่านนักบุญที่เจิดจ้ายิ่งกว่าตะวัน ทว่าเหตุใดข้าถึงมิอาจมองเห็น หรือนี่คืออำนาจอันยิ่งใหญ่ที่แม้อยู่ไกลของท่านนักบุญกันนะ”
ความบ้าของแกล้วน ๆ เลยเฟ้ย
“ทว่าช่างน่าเสียดายที่ไอ้ตัวข้าก็รอมาตั้งเนิ่นนาน ท่านนักบุญไม่ยอมกลับมาสักที….. สงสัยเป็นเพราะทางโบสถ์ยัดงานให้ท่านแน่ ๆ โอ้ท่านนักบุญตัวน้อยที่ควรเพียงแค่พักผ่อนและเล่นกับเพื่อนพ้องเพื่อให้บังเกิดรอยยิ้มอันแสนงดงาม ต้องหมองหม่นเพราะงานอันหนักอึ้งจากพวกนักบวช….”
ก็เพราะแบบนี้ไง! สาเหตุมันก็ตัวแกล้วน ๆ อะ!!!
“ระเบิดทิ้งมันเลยดีไหม”
วางกาวในมือแล้วหยิบถุงสติขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!
“กับพวกที่ทำให้ใบหน้าของสาวน้อยต้องหมองหม่นน่ะ มันจะต้องโดนลงทัณฑ์!”
บอกกับตัวเองเถอะเจ้าผีสติไม่สมประกอบเอ้ย!
“ไม่สิ ๆ จะว่าไปนั่นมันก็ที่ของท่านฟรานซิสนี่นา ถึงมันจะน่าหงุดหงิดก็เถอะ”
ดูเหมือนถุงสติจะยังไม่ขาดตลาด เดลอนถอนหายใจออกมาก่อนหันซ้ายหันขวาแบบเหนื่อยหน่ายใจทำให้ผมโล่งใจยิ่งขึ้นว่าอย่างน้อยพลังบ้าของเขาก็ไม่ถึงขั้นทะลวงพลังล่องหนของพระเจ้า
“อีกอย่างตอนนี้ข้าก็มีธุระสำคัญอื่นอยู่ด้วยสิ เห้อ ให้ตายสิ เจ้าชายชาร์ลหลงมาบ้านท่านฟรานซิสได้ไงเนี่ย”
สวรรค์ช่วยผมแล้ว!
ได้ยินชื่อของคุณที่ผมอยากเจอที่สุดหลุดออกมาแบบนี้ก็ทำเอาหูผมแทบผึ่งกว้างยาวเป็นหูช้าง พร้อมกันดวงตาผมก็เป็นประกายจ้องไปที่เดลอน
โอ้สวรรค์ที่ไม่ใช่พระเจ้า อย่างน้อยท่านก็ไม่โหดร้ายกับออโรร่าตัว ๆ น้อยคนนี้เกินไป ถึงตัวช่วยมันจะดูโหดร้ายกับชีวิตไปหน่อย แต่ลูกขอขอบคุณแท้ ๆ
“ท่านฟรานซิสก็ติดฝึกวิชาปรับระดับแสงอยู่ ข้าก็เลยอาสาออกมาแทนแต่ว่านะ……”
พร้อมกันเดลอนก็ถอนหายใจออกมาแล้วหันซ้ายหันขวา อาการของเขาแบบนั้นทำเอาตัวผมเริ่มรู้สึกว่าตามันกระตุกแปลก ๆ
อย่าบอกนะว่า…. อย่าบอกผมนะว่า!!!
“ไอ้บ้านของท่านฟรานซิสมันจะกว้างไปไหม ไอ้ข้าก็ไม่ได้ออกข้างนอกมานานจนไม่รู้เลยว่าห้องไหนเป็นห้องไหนซะอย่างงั้น”
สวรรค์นอกจากไม่ช่วยลูกแล้วนี่ท่านยังช่วยเจ้าพระเจ้านั่นมารุมกระทืบผมอีกอย่างงั้นเหรอ โลกมันจะโหดร้ายเกินไปแล้วนะ
“สวรรค์ทรงเกื้อหนุนพระองค์ท่านให้ช่วยข้าในยามอันแสนยากเข็ญ”
“หือ!”
งานงอก! เผลอบ่นเจ้าพระเจ้าไปหน่อย คำสาปมันเลยดันทำงาน
ผมรีบยกมือขึ้นมาอุดปากของตัวเองอย่างเร่งรีบ พลางรีบมองเดลอนที่จ้องเขม็งมาทางผมด้วยสายตาจริงจังราวกับคนส่องเลขหลังเพิ่งขูดหวยเสร็จ
“คล้ายว่าข้าจะได้ยินเสียงอันอ่อนหวานใสยิ่งกว่าแก้วชั้นเลิศใด ๆ …”
“อืมมมมม”
โอ้งานงอกแล้วสิเรา แบบนี้รับรองออโรร่าน้อยได้โดนจับไปอยู่ในชุดอันแสนแปลกประหลาดเพื่อให้เจ้าพวกบ้านี่วาดภาพเหมือนแน่นอน ฮืออออ น้ำตาจะไหล
“แต่ก็ไม่ยักเห็นอะไร ไม่สิ….. ข้าได้ยินเสียงของท่านนักบุญที่กล่าวถึงสวรรค์…. ท่านนักบุญ… สวรรค์ นางฟ้า!!!!”
จู่ ๆ เดลอนก็ยกมือสองข้างของตัวเองข้าแล้วกรีดร้องออกมาราวกับพวกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องซึ่งยิ่งฟังเท่าไหร่ก็ขนลุกยาวไปยันไส้ติ่ง
“นี่ต้องเป็นเสียงบอกใบ้ของสวรรค์ในเสียงอันแสนสดใสราวกับยามเช้าของท่านนักบุญแน่ ๆ ใช่ ท่านนักบุญในชุดขาวราวกับนางฟ้าจากสวรรค์ ต้องเป็นภาพอันงดงามแน่นอน”
มันบ้าไปแล้วครับ เจ้านี่มันบ้าแบบสมองหลุดโลกไปแล้ว นี่ต้องคลั่งขนาดไหนถึงได้มโนไปไกลได้ขนาดนั้นกัน
ผมได้แต่มองเจ้าเดลอนที่ยกมือชูมือขึ้นฟ้าอย่างยินดี ถึงแม้บางส่วนจะน่ายินดีที่ผมรอดจากจุดนี้ไปได้แต่พอมาดูเหตุผลที่รอดแล้วก็แบบ…… อยากเอาหัวฟาดกำแพงสักสิบรอบ
“หึ ๆ ไว้เสร็จจากช่่วยองค์ชายแล้วท่าทางข้าจะต้องไปปรึกษากับท่านฟรานซิสแล้วล่ะ”
ขอยาดมสักสิบหลอดด้วยครับ ผมรู้สึกตัวเองหน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม
เอาเถอะ อย่างน้อยถึงมันจะบ้าไปหน่อยแต่ดูท่าทางเขายังจะนึกได้อยู่ว่าตัวเองต้องตามหาองค์ชายอยู่ ก็คงช่วยอะไรผมได้บ้างล่ะน่า
ว่าแต่คิดอีกทีแล้ว เจ้าบ้านี่มันก็หลงในบ้านไม่ต่างจากผมไม่ใช่เหรอไง แล้วมันจะเอาอะไรไปช่วยผมเนี่ย
“หึ ๆ ข้าน่ะมันนักปราชญ์แห่งยุคสมัย กับแค่บ้านยักษ์ใหญ่เอาชนะข้าไม่ได้หรอก”
เดลอนพูดขึ้นพลางดีดนิ้วหนึ่งที จากนั้นแสงในมือของเขาก็เริ่มเป็นประกายก่อนจะแตกเป็นละอองแสงพุ่งตรงผ่านประตูของห้องออกไป
“อืม องค์ชายชาร์ลอยู่ทางนั้นสินะ”
เดลอนพยักหน้าก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวของเขาไปแบบไม่เร่งรีบเท่าไหร่ ช่างสวนทางกับตัวผมที่ตอนนี้…..
กรี๊ดดด ใช่ มันต้องแบบนี้สิท่านนักปราชญ์สุดยอดของราชวงศ์ ท่านเดลอน นี่ล่ะเวทที่ผมต้องการ!!!
ผมชูมือขึ้นดีใจประดุจคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งคล้ายกับที่เดลอนทำเมื่อครู่ พร้อมน้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยความดีใจที่ถึงสวรรค์จะช่วยรุมกระทืบผมแต่อย่างน้อยท่านก็ยังมีเศษเสี้ยวแห่งความเมตตาส่งความหวังมาให้
“ขอขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาตัวข้า!”
ข้าไม่ถือหรอกนะ
ไม่ใช่เอ็ง!
“อันตัวข้าหาได้หมายถึงพระองค์ท่านที่ข้าศรัทธาเหนือสิ่งอื่นใดไม่”
โดยไม่สนใจคำพูดของทั้งพระเจ้าและตัวเอง ผมรีบวิ่งตรงดิ่งไปตามทางที่เวทของเดลอนนำทางไป ซึ่งก็สมกับที่เขาเป็นผีไปแล้ว ดังนั้นบางช่วงนั้นก็มีที่เส้นทางมันพุ่งชนอัดเข้ากำแพงจนผมต้องอ้อมไปมาจนเกือบหลงไปบ้างแต่ก็วิ่งมั่ว ๆ ตามมาถึงได้อย่างปลอดภัย
วิ่งไป ๆ มา ๆ สุดท้ายในที่สุดเส้นพลังนำทางของเดลอนก็มาถึงปลายทาง สิ่งที่ผมเห็นอย่างแรกคือแผ่นหลังอันโปร่งบางของเดลอนที่กำลังลอยอยู่ เขามองในทิศทางตรงหน้าส่งให้ผมพยายามมองตาม
ถึงแม้เขาจะบังอยู่ แต่ก็ด้วยร่างวิญญาณทำให้ผมพอจะเห็นภาพลาง ๆ ตรงหน้าได้เล็กน้อย และนั่นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเหงื่อของผมแตกพลักราวกับน้ำตก
ภาพที่ผมเห็นคือภาพของกลุ่มคนใส่ชุดดำกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธครบมือ ไม่ว่าจะเป็นมีด เชือก หรือเทียนกำลังยืนล้อมเด็กชายคนหนึ่งอยู่… เดี๋ยวนะ เทียน?
ตาผมแทบถลนออกนอกเบ้าเมื่อเห็นสภาพของเหล่าชายในชุดดำซึ่งพวกเขาอยู่ในชุดคลุมพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกมาตลอดเวลา ส่วนคนที่สามนั้นไม่แตกต่างกัน รังสีความน่ากลัวที่เขาปล่อยออกมานั้นช่างมีมากมายทว่าไม่ว่าจะมองมุมไหน สิ่งเดียวที่เขาถืออยู่นั่นคือ เทียน!!!
นี่ถ้ามากลางคืนผมจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่นี่มันกลางวันแสก ๆ แสงแรงขนาดทิ่มตาบอดได้ แล้วพวกนายจะพกเทียนมาเต็มสองมือทำเพื่อ!
ไอ้พวกลูกน้องขี้เก๊กที่ไปแพ้ผีไม้กวาดตรงหน้าบ้านว่าหนักแล้ว ไอ้พวกลูกพี่ข้างในยิ่งหนักกว่า ถามจริง นี่พวกนายคิดบ้าอะไรกันถึงพกเทียนมาเป็นอาวุธ หรือว่าทางเข้าบ้านของเจ้าพวกผีบ้ามันมีเครื่องย่อยสมอง สมองของพวกนายถึงได้มลายหายไปหมดแล้ว
ยัง ยังไม่พอ แค่นี้มันยังไม่พอที่จะทำลายจิตอันเข้มแข็งของออโรร่าน้อยคนนี้ได้ ที่หนักกว่านั้นคือเด็กชายที่ยืนอยู่กวางวงล้อมของเหล่าชายในชุดดำ
ชาร์ล! มิตรสหายที่ลากผมกลับมาบ้านผีหมีในครั้งนี้ เขานั้นยืนท่ามกลางวงล้อมของเหล่าบุรุษที่ตัวใหญ่กว่าเขาหลายเท่า ทั้งยังปล่อยรังสีอำมหิตออกมาใส่อย่างไม่หยุดหย่อน แต่ชาร์ลหาได้มีสีหน้าหวาดกลัวใด ๆ แต่กลับทำเพียง….หลับตาและอ้าแขนของตัวเองออกมา
ชาร์ล! นี่มันบ้าอะไรกัน ไหงนายถึงไปยืนอ้าแขนรับดาบ รับมีด และรับเทียนแบบนั้นเล่า ….เดี๋ยวนะ เดี๋ยว!
ผมรีบพยายามเรียบเรียงความคิดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น อย่างแรก เจ้าชาร์ลวิ่งมาที่นี่เพราะเป็นพวกมาโซ ซึ่งกำลังถูกล้อมรอบโดยเหล่าชายแปลกหน้าถืออาวุธและเทียนแถมยังกางมือกว้างราวกับอ้าแขนรับ…..
โอ้ ไม่จริง นี่ความคิดตอนแรกของผมก่อนมาที่นี่มันถูกจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย เจ้าชาร์ลมันอยากจะได้รับความเจ็บปวดจริง ๆ ด้วยสินะ!
“อืมกางแขนแบบนั้นหรือว่าจะเป็นท่านั่น”
ไม่แม้แต่จะช่วยชาวบ้านชาวช่อง ผีหมีเดลอนยกมือมองภาพตรงหน้าอย่าครุ่นคิด ยิ่งทำเอาผมเหงื่อตกเข้าไปใหญ่
หรือจะเป็นท่านั่น…. เมื่อกี้เจ้าผีตนนี้พูดออกมาแบบนั้นสินะ นี่พวกเขาไปรู้จักกันมาตอนไหน แล้วเจ้าผีนี่มันสอนอะไรไปให้เจ้าชาร์ลกัน!
แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ผมจะปล่อยให้เรื่องบัดสีที่จะทำลายราสเวนน่าให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“องค์ชาย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องเจอกับ….อะไรดี ๆ แล้วล่ะ แค่ครู่เดียว”
“มาเลย ผมพร้อมที่จะเผชิญแล้ว!!!”
ทางนี้ไม่พร้อมเผชิญอะไรทั้งนั้น!!!
ว่าแล้วขาเล็ก ๆ ของผมก็รีบพุ่งออกตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผมรีบแหวกผ่านร่างอันโปร่งบางของเดลอนก่อนจะอ้อมหลบเหล่าชายชุดดำออกไป
ในช่วงนี้เองผมรู้สึกได้ว่าพลังอำพรางตัวเองของพระเจ้าจะเริ่มหมดลง เพราะความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างกำลังไหลเวียนออกไปจากร่างกายเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชาร์ลเอ่ย ออโรร่าสหายของนายจะเป็นคนช่วยเหลือนายที่หลงทางให้กลับมาอยู่ในหนทางที่ถูกต้องเอง
มาเลย ไม่ว่าจะสวรรค์หรือพระเจ้าบ้าบออะไร ตอนนี้ช่วยเอาพลังอะไรก็ได้ที่ช่วยให้ผมหลุดพ้นจากสถานการณ์อันบ้าบอนี่ที!
“นั่นนักบุญ…. งั้นก็จัดการไปพร้อมกันเลย!”
ดาบของเขาฟันลงมาใส่ผม ทว่าผมไม่ได้สนใจ ยังคงพยายามทุ่มเทจิตใจของตัวเองเพื่อร่ายเวทต่อให้จบ
“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แลสวรรค์ที่ใหญ่ยิ่ง ขอพลังแห่งท่านทรงนำมาซึ่งหนทางอันแสนถูกต้องและชี้ทางอันถูกต้องให้แก่สหายผู้หลงทางของข้าผู้ต้อยต่ำด้วยเถิด”
เมื่อผมพูดจบ แสงสว่างอันเจิดจ้าก็เรืองรองออกจากมือ ละอองแสงจำนวนนับล้านได้พุ่งออกมาจากมือก่อนจะประกอบกลายเป็นกำแพงแสงขนาดใหญ่
วิ้งงงง
ทันทีที่ดาบสัมผัสเข้ากับเกราะแห่งแสงตรงหน้า ตัวดาบก็เริ่มเปร่งแสงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะถูกละอองแสงจากเกราะเวทแทรกซึมเข้าไปเรื่อย ๆ
มันได้ทอแสงออกมาพักหนึ่งก่อนจะระเบิดออกกลายเป็นขนนกเรืองแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังร่วงหล่นโปรยปรายไปทั่วอาณาบริเวณ
“สุดยอด!!! ฉากแบบนี้ช่างสุดยอดยิ่งนัก สมเป็นท่านนักบุญที่เป็นถึงสมบัติอันล้ำค่าที่สววรค์มอบให้กับโลกใบนี้ อ้า….. สวรรค์กำลังชี้ทางสว่างให้แก่ข้า!”
ไอ้เส้นทางวิปริตแบบนั้นน่ะ ให้มันมอด ๆ ไปเถอะ!
ผมเลิกที่จะสนใจเดลอนที่ตอนนี้กำลังกรี๊ดตัวแตกดีใจและคว้ากระดาษกับพู่กันของเขาขึ้นมาจากพื้นที่อันว่างเปล่าราวกับเขามีกระเป๋าสี่มิติ จากนั้นผมจึงหันไปที่เพื่อนชวนปวดหัวของผมที่ตอนนี้ยังคงยืนอ้าแขนมองผมอย่างไม่เข้าใจ
“ทะ..ทำไมกันล่ะ ทำไมถึงได้มาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ผม ทั้ง ๆ ที่ตัวผมน่ะ…มัน….”
ไม่ต้องห่วงนะพวก ไม่ว่านายจะเป็นพวกโรคจิตมาโซอย่างไรหรือสติหลุดจากกาวแค่ไหน แต่ว่าในฐานะมิตรสหายที่แสนดี ออโรร่าคนนี้จะยอมรับตัวตนอันหลงทางและพากลับมาเป็นผู้เป็นคนให้เอง
“ไม่ว่าตัวของคุณจะทุกข์ทนทรมานขนาดใด หรือจะอ่อนแอเช่นไร ฉันนั้นก็จะยอมรับตัวตนที่แตกสลายนั่นด้วยความยินดีค่ะ”
สิ่งที่ผมเห็นคือน้ำตา น้ำตาของเด็กหนุ่มที่ร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าสร้อย….. นี่หรือว่าเพราะผมไปขัดขวางเขาจากพิธีที่เขาชอบกันเนี่ย
ไม่ได้นะชาร์ล นายจะหลุดไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว! ไม่สิ…. ไม่ จำได้ว่าคนเราถ้าหักห้ามใจจากสิ่งที่ชอบมากไปมันจะระเบิดออกมาแล้วหนักกว่าเดิม เพราะงั้นที่ต้องทำก็คือลดมันอย่างค่อยเป็นค่อยไปสินะ!
ผมหันหลังกลับไปหาเขาที่ตอนนี้เริ่มที่จะมีน้ำตาเอ่อคลอมาอย่างน่าสงสาร ตัวผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายจิตพร้อมทั้งยื่นมือไปสะกิดหน้าเขาเพื่อเรียกสติ
“สิ่งที่คุณกักเก็บและปฏิเสธมาตลอดน่ะ ฉันคนนี้น่ะจะยอมรับมันเอง”
ใช่ แล้วค่อยจับนายไปเข้าคอร์สปรับลดระดับล่ะนะ
และแน่นอนด้วยคำพูดที่ยอมรับในตัวตนอันแสนรักความเจ็บปวดของเขาได้ ชาร์ลก็หยุดร้องไห้และยิ้มออกมาอย่างยินดี….นี่คงเก็บกดมานานสินะ น่าสงสารจริง ๆ
“ผมที่อ่อนแอคนนี้กลับถูกคนเข้มแข็งอย่างออโรร่าพูดแบบนี้เข้าใส่ ถึงมันจะดูแปลกแต่อย่างที่ออโรร่าพูดนั่นล่ะ…..”
ชาร์ลค่อย ๆ เงยหน้าของเขาขึ้นมาก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมาทีละเล็กทีละน้อย มันช่างคล้ายช่วงเวลายามรุ่งสางที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น แต่ก็ช่างน่าเสียดายที่ฉากอยู่เบื้องหลังเขานั้นเป็น….
“ไอ้พวกเวรตะไล บังอาจมาทำร้ายท่านนักบุญคนนี้เรอะ บินไปถึงดวงจันทร์ซะแก”
มันคือภาพของผีเดลอนดีดนิ้วใช้เวทส่งแขกชุดดำปลิวกระเด็นออกจากบ้านไปไกลสุดขอบฟ้านั่นเอง…. เจริญจริง ๆ
“ผมน่ะ จะยอมรับตัวตัวที่อ่อนแอนี้แล้วก้าวต่อไปอย่างภูมิใจเพราะฉะนั้น……”
น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมานั้นมันช่างเป็นน้ำเสียงของเด็กน้อยอันแสนสดใส ใช่ เป็นเสียงของเด็กน้อยที่สมกับเป็นเด็กจริง ๆ
“ออโรร่าเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ”
และแล้วชาร์ลก็ยิ้มออกมาอย่างเจิดจ้าด้วยใบหน้าอันแสนใสซื่อและสดใสจนราวกับเป็นพระอาทิตย์ยามเช้าอย่างแท้จริง มันช่างเจิดจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด ประกายอันแสนบริสุทธิ์ที่เจิดจ้า
แสบตา โอ้ย แสบตา ชาร์ล รอยยิ้มนายมันพลังรุนแรงเกินไปแล้วนะ! แบบนี้ระวังคุณป้าโรคจิตเห็นแล้วได้หามใส่กระเป๋าหนีไปต่างประเทศแน่!
ว่าแต่ ยอมรับตัวตนงั้นเหรอ…. ให้ตายสิ มันช่างเป็นคำพูดและรอยยิ้มที่งดงามจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่า….
ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนที่ยินดีในการเป็นมาโซล่ะนะ!
โธ่ โลกมันช่างโหดร้ายเสียจริง ๆ
——————————————————————————————-
หายไปนานเลย ขอโทษด้วยนะครับ เกิดเหตุอะไรหลาย ๆ อย่างเลยช้าไปนิด