ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 34 ราชากับเรื่องน่าปวดหัว
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 34 ราชากับเรื่องน่าปวดหัว
“เป็นเรื่องยุ่งยากแล้วสิ”
ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อได้รับฟังรายงานของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ไม่ว่าใครได้ยินต่างก็ต้องกุมขมับถอนหายใจแบบข้ากันทั้งนั้น
“นั่นสิท่านออสวาร์ล เรื่องมันยุ่งยากมากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
เสียงสนับสนุนความเห็นของข้าดังมาจากริชเชอริแอร์ ที่ปรึกษาคนสนิทของข้าที่ก็มองกระดาษรายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
ทันทีที่เกิดเหตุการณ์วิหคทองคำ การประชุมฉุกเฉินที่เร่งด่วนที่สุดในรอบสิบปีก็ได้ถูกจัดขึ้น ขุนนางชั้นสูงหลายคนต่างถูกเรียกตัวกันมาเพื่อหารือเรื่องนี้ ทำให้บรรยากาศของที่ประชุมแห่งนี้ดูกดดันมากกว่าการประชุมครั้งไหน ๆ โดยเฉพาะลูกข้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของริชเชอริแอร์ นั่งหน้าเครียดอย่างกับเพิ่งได้ยินคำประกาศสงครามจากจักรวรรดิมาซะอย่างงั้น
“เห้อ ข้าเข้าใจอยู่นะคาร์ลว่าเจ้ากำลังเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่เจ้าดูจะเครียดเกินไปหน่อยไหม?”
“เครียดเกินไป? ท่านพ่อ ข้าว่าท่านนั่นล่ะที่วางใจมากไป ท่านไม่เห็นหรือว่าเด็กคนนี้เริ่มเผยโฉมหน้าออกมาแล้ว”
“เผยโฉมหน้า? เจ้าเอาอะไรมาพูด ที่ข้าได้ยินมา ท่านนักบุญก็แค่ไปสำรวจรูปปั้นของวิหคเพลิงตามความสนใจของเด็กทั่วไปไม่ใช่รึ?”
อันที่จริงรายงานไม่ได้ว่าอย่างงั้น เพราะมันเขียนมาด้วยคำให้การของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งทำเอาข้ารู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลย เพราะไม่ว่าจะคนไหนต่างก็บอกว่าเธอคนนี้มาด้วยคำชี้นำแห่งพระเจ้าบ้างล่ะ มีเสียงของพระเจ้ากระซิบบอกให้ปลุกวิหคศักดิ์สิทธิ์บ้างล่ะ หนักหน่อยก็ถึงขั้นเห็นวิญญาณของวิหคศักดิ์สิทธิ์บินมาพาตัวท่านนักบุญไปปลดผนึกเลยก็มี
ข้าว่าเรื่องพวกนั้นน่าจะมาจากพวกที่ไม่ได้เห็นตั้งแต่ต้นจนจบ แถมถ้าลองคิดดู ๆ ดี จากสิ่งที่ชาร์ลเล่าให้ข้าฟังมา ก็แค่เรื่องบังเอิญระหว่างการเดินเที่ยวเล่นของเด็กสองคนก็เท่านั้น เพราะอันที่จริงเด็กน้อยนักบุญคนนี้ไม่รู้จักวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่ตำนานของท่านแคโรลีนเลยด้วยซ้ำ
“เด็กทั่วไป? เด็กทั่วไปที่สามารถเรียกเสียงสนับสนุนของมวลชนให้กับศาสนจักรที่กำลังเสื่อมสลายจนแทบจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนสงครามครั้งใหญ่ เด็กทั่วไปที่พลิกสถานการณ์ที่เป็นต่อมาตลอดของเราให้กลายเป็นของศาสนจักรแทน เด็กแบบนั้นข้าไม่เห็นว่าจะธรรมดาตรงไหนเลยนะขอรับ ท่านพ่อ”
เห้อ… ลูกข้าก็พูดเกินไป เสื่อมสลายอะไรกัน พวกเขาก็แค่เสียอำนาจทางการเมืองหลายส่วนไปก็เท่านั้นเอง แต่เรื่องศรัทธาของประชาชนที่มีต่อทางศาสนจักรน่ะก็แค่ลดนิดหน่อย เด็กสาวคนนั้นแค่ทำให้มันกลับเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิมก็เท่านั้น
“บางทีข้าก็รู้สึกว่าเจ้าอาจจะมองเด็กสาวคนนั้นด้วยแง่ลบเกินไปหน่อยมั้ง คาร์ล อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นการกระทำของเจ้าที่ผิดมรรยาทต่อสาวน้อยนักบุญคนนั้นที่งานพิธีนะ”
“เรื่องนั้นลูกต้องขออภัยจริง ๆ แต่นั่นเพราะสิ่งที่เธอทำต่างหาก”
“สิ่งที่เด็กคนนั้นทำ? ที่ข้าเห็นก็แค่ว่าท่านออโรร่ากำลังอวยพรให้กับพวกเราไม่ใช่รึ?”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ถูกหลอกโดยอายุอันแสนน้อยนิดและใบหน้าอันแสนใสซื่อของเธอเลย ข้าเห็นมาแล้ว เห็นโฉมหน้าของนางน่ะ ท่านไม่เห็นหรือว่าคำพูดของเธอนั้น คำร่ายที่เหมือนดั่งคำอวยพรแต่แฝงไว้ด้วยจุดประสงค์อื่น”
ฟังแบบนี้แล้วข้าถึงกับกุมขมับ ลูกข้าคนนี้มันเอาอะไรมาคิดกันเนี่ย? เด็กห้าขวบที่ไหนจะไปคิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้นได้ นี่แค่พูดคำสวดแสนยากเย็นก็ถือว่าเกินกว่าที่ใครคาดไว้แล้วนะ ถ้าจะให้นักบุญคนนี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงระหว่างอวยพรด้วย เห็นทีคนต้องเอาวิญญาณผู้ใหญ่มาใส่ในร่างเด็กถึงจะเป็นไปได้… แต่เรื่องนั้นคงดูเกินจริงไปเสียหน่อย
“ตอนนั้นข้าเห็น แสงสว่างที่นางร่ายออกมาตอนสิ้นสุดช่วงแห่งการอวยพร แสงเหล่านั้นมันไม่ได้พุ่งแบบไร้ทิศทาง แต่มันมีจุดหมายอย่างชัดเจน”
“เห้อ แล้วจุดหมายที่เจ้าว่าชัดเจนนักหนาเนี่ย มันที่ไหนกันล่ะ?”
“เหล่าองครักษ์เงาที่ข้าให้ซ่อนตัวดักหน้าประตูทุกบานเอาไว้เผื่อว่าพวกศาสนจักรคิดจะก่อเหตุ”
ได้ยินแบบนี้อารมณ์ข้าล่ะเกือบจะขึ้น ให้ตายสิเจ้าลูกคนนี้ ไม่รู้รึไงว่าถ้าทางนั้นทราบว่าพวกเรา…
“เจ้าเนี่ยนะ…จะให้ข้าพูดอย่างไรดีเนี่ย นี่ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนกัน”
ให้ตายสิ เลือดตระกูลมันเข้มข้นเกินไปหรืออย่างไรกัน? ถึงได้จงเกลียดจงชักศาสนจักรถึงขนาดนั้น จะไม่ว่าเลยถ้าเจ้าลูกบ้านี่มันเกิดในยุคสงครามเมื่อร้อยปีก่อน แต่ว่าตั้งแต่เกิดมาเจ้าคาร์ลมันก็อยู่ในยุคที่ศาสนจักรแทบไม่มีพิษภัยอะไรแท้ ๆ แล้วไหงมันถึงได้ไม่ไว้วางใจศาสนจักรได้ถึงขนาดนั้นกัน
“ข้าเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ขอรับท่านพ่อและประวัติศาสตร์ได้สอนข้าไว้ พวกเขายังคงจ้องรอคอยโอกาสอยู่เสมอ รอคอยที่จะใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเด็ดปีกปักษาของพวกเรา”
เลือดมันจะข้นอะไรขนาดนั้น ทำเอาข้านึกถึงท่านพ่อของข้าขึ้นมาเลย ท่านก็เกลียดศาสนจักรพอ ๆ กับคาร์ลเนี่ยล่ะ แต่ว่าถึงขั้นระแวงเด็กอายุห้าขวบมันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ
“เอาเถอะ แล้วสรุปว่าเจ้าเห็นอะไรบ้างล่ะ? ถึงคิดว่านางกำลังใช้พลังเล็งใส่ลูกน้องของเจ้าอยู่น่ะ”
“แสงขอรับท่านพ่อ ข้าเห็นว่าแสงเหล่านั้นมันพุ่งตรงไปยังเหล่าองครักษ์เงาทุกคน ราวกับนางกำลังส่งสัญญาณเตือนพวกเขาว่านางเห็น…ไม่สิ บางทีนักบุญคนนั้นอาจจะส่งสัญญาณให้นักฆ่าของทางศาสนจักรก็เป็นได้ และนั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องหลบออกมาก่อนเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ”
เอาเข้าไป ๆ ชักจะไปกันใหญ่แล้วมั้ง ขนาดแสงก็ยังเอามาคิดเป็นตุเป็นตะได้ ข้าว่าลูกข้าเป็นหนัก
ถึงเจ้านี่มันจะเก่ง ฉลาดรอบด้านก็เถอะ แต่ดันโตมากับความกดดันทางการเมืองมากไปเมื่อมาบวกกับเรื่องความคิดลบ ๆ ต่อศาสนจักรแล้วพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางฝั่งนั้นเมื่อไหร่ ตรรกะแทบจะพังหมดซะอย่างงั้น
“ท่านไม่เชื่อข้าอย่างงั้นเหรอครับ?”
จะให้เชื่อได้อย่างไรเล่า ไอ้ที่เจ้าพูดมาน่ะ มันโคตรจะเหลือเชื่อจนแม้แต่เด็กน้อยสิบขวบมันยัง…
“องค์ชายช่างชาญฉลาดยิ่งนัก”
“จริง ๆ ด้วย ข้าล่ะนึกไม่ถึงเลยว่าพวกศาสนจักรมันจะเจ้าเล่ห์เช่นนั้น”
….
ขอถอนคำพูดก็แล้วกัน ให้ตายสิพวกบ้านี่มันเป็นอะไรกันหมดเนี่ย นี่เรื่องที่ลูกข้าพูดมันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ไม่ถึงหนึ่ง แต่พวกมันเล่นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างกับว่าถูกต้องทั้งร้อยส่วนซะอย่างงั้น เห้อ ไปหมดแล้วสติ ก็ยังดีที่มีริชเชอริแอร์ที่ดูจะไม่เป็นไปกับเขาด้วย ไม่งั้นข้าคงได้ลงจากบัลลังก์ก่อนวัยอันควรแน่ๆ
“ไม่ใช่ว่าแสงที่เจ้าเห็นมันพุ่งไปหาห้องน้ำหรือยังไง คล้าย ๆ ว่าข้าจะเห็นหน้าของท่านนักบุญตัวน้อยไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ บางทีนางอาจอยากทำธุระส่วนตัวก็ได้”
พอเห็นพวกบ้านี่สติหลุดข้าก็เริ่มชักจะเครียดตาม เลยพูดออกไปขำ ๆ เผื่อมันจะลดแรงตึงเครียดที่ชักจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิด ดูสิ คาร์ลมันจ้องข้าเขม็งเชียว
“ข้าจริงจังนะขอรับ ท่านพ่อ”
“ข้าก็จริงจัง”
อันที่จริงก็ใช่ว่าข้าจะพูดเล่นไปเสียหมด เพราะตอนในงานข้าเห็นกับตาเลยว่าท่านนักบุญตัวน้อยหน้าซีดเปลี่ยนสีไปพร้อมเอามือไปกุมที่ท้อง ข้าก็เลยรีบปิดงานเพื่อให้นางสามารถไปทำธุระส่วนตัวได้เร็วขึ้น
ก็นะ บังคับเด็กห้าขวบให้มาทำพิธียาวยืดใช่ว่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่ แค่นักบุญตัวน้อยสามารถยืนทนได้ขนาดนั้นข้าว่าก็เก่งจนต้องยกนิ้วให้แล้วหล่ะ
“ไหนจะยังเรื่องของชาร์ล นางกำลังล่อลวงน้องชายของข้า ข้าเห็นชัดเลยว่านางเกาะติดกับชาร์ลไม่ยอมปล่อย นางต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจแน่นอน”
“นั่นน่าจะกลับกันมากกว่านะ น้องเจ้าต่างหากที่เกาะติดซะจนข้ายังเป็นกังวล ไหนจะยังเรื่องหมั้นที่ทำเอาข้าต้องปวดหัวเป็นอาทิตย์อีก”
คิดแล้วก็ยังปวดหัวจนอยากได้ยามาทานไม่หาย ข้าล่ะยังจำได้ดีถึงตอนที่ชาร์ลมาบอกข้าเรื่องหมั้นกับท่านนักบุญ ทำเอาข้าเกือบหน้าคว่ำเก้าอี้ต้องรีบไปคุยกับท่านสังฆราชว่านี่มันเรื่องอะไรกัน และสุดท้ายก็รู้ว่าเจ้าชาร์ลมันเข้าใจผิดไปเอง
“เรื่องนั้นก็ด้วย นางหลอกล่อให้น้องข้าคิดจะหมั้นหมายกับนาง ต้องเป็นแผนการของพวกศาสนจักรที่คิดจะรวบอำนาจจากทั้งข้างในและข้างนอกเป็นแน่”
“องค์ชายพูดมีเหตุผล”
“นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าพวกนั้นมันคิดถึงขั้นหลอกใช้องค์ชายชาร์ล”
เห้อ พวกขุนนางที่ร้องสนับสนุนเจ้าคาร์ลพวกนี้ มันมาอยู่ตำแหน่งนี้กันได้อย่างไร ข้าล่ะสงสัยจริงๆ
เหตุผลบ้าเหตุผลบออะไรกัน ขนาดข้าปิดตาข้างเดียวก็ยังเห็นเลยว่านักบุญตัวน้อยปฏิเสธเจ้าลูกชายคนเล็กของข้าซะยิ่งกว่าอะไรดี จนข้าล่ะนับถือให้กับความพยายามของชาร์ลมันจริง ๆ ที่ถูกปฏิเสธรัว ๆ ขนาดนั้นแล้วยังไปตามตื๊อสาวเขาต่อได้
เอาเหอะ พูดไปก็คงไม่มีผลอะไร ไว้ผ่านไปเดี๋ยวก็คงจะเริ่มคิดกันได้เองล่ะมั้ง
“ถ้าท่านพ่อยังคิดว่านางคนนั้นเป็นอย่างที่คิด ถ้างั้นสิ่งที่ข้าได้ยินในวันที่นางก้าวออกจากห้องคืออะไรกันเล่า นางบอกว่านางกำลังเตรียมการเพื่อ “ภารกิจ” บางอย่าง นี่มันยังไม่เป็นสิ่งยืนยันอีกอย่างงั้นเหรอ?”
ภารกิจ? โอ้ยลูกข้า ภารกิจออกจากปากเด็กก็เหมือนบอกว่ากำลังไปเล่นซนนั่นล่ะ เจ้าชาร์ลยังมาบอกข้าอยู่บ่อย ๆ ว่าจะไปทำภารกิจอันสำคัญทุกครั้งที่ขอไปหาท่านนักบุญออโรร่าอยู่เลย นี่ให้เดานางคงหมายถึงจัดเก็บห้องมากกว่าล่ะมั้ง เพราะส่วนใหญ่คนในโบสถ์มักจะต้องทำอะไรเอง พอมาอยู่นี่มีคนจัดการให้หมดนางคงรู้สึกไม่ชินล่ะมั้ง
“สำหรับเด็กอายุห้าขวบ จัดผ้าห่ม เปลี่ยนผ้าปู จัดเรียงเสื้อมันก็เป็นภารกิจได้หมดนั่นล่ะคาร์ลลูกข้า ข้าว่าเจ้าควรเปิดใจให้กว้างลดทิฐิลงหน่อยอาจจะทำให้เจ้าเห็นอะไรมากขึ้นก็ได้นะ”
“ไม่ท่านพ่อ ท่านอย่าลืมสิว่าครั้งนี้ที่นางมาหาเรา มันดูแปลกไปหน่อย ท่านพ่อยื่นคำขอไปหลายต่อหลายครั้งแต่พวกเขากลับปฏิเสธ มาคราวนี้กลับพาตัวมาอย่างง่ายดายโดยเรายังไม่ได้ยื่นคำเชิญไปอีกครั้ง แค่มองผ่าน ๆ ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วนะว่ามันง่ายเกินไป แถมท่านพ่อก็รู้นี่ขอรับว่าตอนนี้ผู้ใดคือผู้กุมอำนาจศาสนจักรอยู่น่ะ เพราะงั้นข้า…”
“องค์ชาย ข้าว่าวันนี้เราพอแค่นี้ดีกว่าหรือไม่?”
หลังทิ้งให้ข้ารับมือกับเจ้าลูกชายตัวดีคนเดียว ในที่สุดท่านก็ช่วยข้าจนได้ ข้าล่ะซึ้งใจจริง ๆ นี่จะดีกว่านี้ถ้าท่านช่วยหยุดเขากับพวกขุนนางตั้งแต่แรก ๆ นะ ริชเชอริแอร์
“ท่านดยุคโบอาร์? แต่ว่าเรื่องนี้!”
“องค์ชาย ข้าเข้าใจว่าท่านเป็นกังวลเรื่องอะไร แต่ได้โปรดขอท่านอย่าเพิ่งวู่วาม จะรับมือกับชายคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกอย่างควรค่อยเป็นค่อยไป”
“แต่ว่า!”
“องค์ชาย ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด ใช่หรือไม่?”
คาร์ลเหมือนอยากทักท้วงแต่ด้วยแรงกดดันทางสายตาของดยุคผู้มากประสบการณ์ ในที่สุดลูกชายของข้าก็ยอมแพ้ เยี่ยม!
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพ่อ ท่านดยุคโบอาร์ ต้องขออภัยที่ข้าเสียมรรยาท แต่สิ่งที่ข้าทำ ทั้งหมดก็เพื่อราสเวนน่า ทั้งหมดก็เพื่อปักษาแห่งเรสเวน”
“ไม่เป็นไรลูกข้า ข้าเข้าใจว่าเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก สำหรับตอนนี้ข้าว่าถึงเวลาที่เราควรปิดการประชุมนี่เสียที”
หลังสิ้นคำสั่งของข้า ขุนนางทั้งหลายต่างก็ทยอยแยกตัวกลับโดยที่การประชุมได้ข้อสรุปเพียงแค่ให้รอดูท่าทีของฝ่ายตรงข้ามไปก่อน
ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงแค่ข้ากับริชเชอริแอร์สองคน พวกเราได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“เห้อ ริชเชอริแอร์ข้าล่ะอยากจะบ้า ทำไมกันนะทำไม ลูกข้าก็ออกจะเก่งแถมฉลาด แต่ไหงตรรกะกลับเพี้ยนพอมามีศาสนจักรเกี่ยวข้องทุกที”
“องค์ชายยังหนุ่มยังแน่น จะเลือดร้อนก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอก ท่านออสวาร์ล”
“แล้วท่านคิดไงกับเรื่องที่ลูกชายข้าพูดล่ะ ท่านคิดว่าท่านนักบุญออโรร่าคนนี้จะเป็นภัยเฉกเช่นเดียวกับที่คาร์ลคิดไหม?”
“เรื่องนี้ตัวข้าคงไม่ขอออกความเห็น”
ริชเชอริแอร์ตอบกลับมาด้วยสายตานิ่งสงบตามแบบฉบับประจำตัวของเขาซึ่งพบเห็นได้มาตั้งแต่สมัยที่ข้าเป็นองค์ชายและเขาเป็นอาจารย์ของข้า
“ข้าล่ะอิจฉาท่านจริง ๆ ที่ทำแบบนั้นได้ ไอ้ข้าล่ะต้องมานั่งรับฟังความเห็นแปลก ๆ จากลูกข้าทุกที หัวข้าหล่ะจะระเบิดเอา”
ริชเชอริแอร์ไม่ตอบกลับกับคำแซวของข้า เขายังคงมัววุ่นกับการจ้องเอกสารตรงหน้าซึ่งนั่นก็สมกับเป็นเขาล่ะนะ เป็นขุนนางที่ไม่สนอะไรนอกจากงาน
“วิหคเพลิงแห่งเรสเวน….พระองค์มีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
จู่ ๆ ริชเชอริแอร์ก็ยิงคำถามซึ่งยังไม่ได้คำตอบจากที่ประชุม สำหรับข้า คำถามนั่นก็ถือว่าตอบยากพอสมควรเพราะอันที่จริง เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วนั่นล่ะคือปัญหา เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร
“นั่นสินะ หากให้ข้าพูดมันก็ยากที่จะตอบอย่างเต็มปาก แต่ท่านก็รู้นี่ว่าการที่วิหคตอบรับกับนักบุญคนนี้มันหมายความว่าอย่างไร”
“พันธสัญญาที่ค้างคาเอาไว้กำลังจะถูกสานต่อ….สมดุลอำนาจกำลังผิดเพี้ยน ความศรัทธาและอำนาจกำลังไปรวมอยู่ที่คนเพียงคนเดียว…”
“นี่ต้องเป็นสัญญาณบางอย่างของพระเจ้าที่กำลังจะบอกอะไรพวกเราอยู่เป็นแน่ สัญญาณของสิ่งที่เกินกว่าปัญญาของพวกเราจะเอื้อมถึง”
นั่นสินะ อย่างที่ริชเชอริแอร์พูด เรื่องทั้งหมดมันดูประจวบเหมาะเกินไป ราวกับเป็นสัญญาณที่พระเจ้าผู้รู้ทุกสิ่งกำลังพยายามบอกกับพวกเรา หรือหากให้คิดอีกทาง…มันคือคำเตือน
“แล้วแบบนี้ท่านคิดว่าเราควรจัดการอย่างไรดี ริชเชอริแอร์?”
“ข้าว่าเราคงต้องทำอะไรรัดกุมกว่าเดิมเสียแล้วโดยเฉพาะภารกิจของท่านนักบุญที่เราคิดจะมอบให้กับนาง”
จู่ ๆ ริชเชอริแอร์ก็หยิบใบกระดาษมายื่นส่งมาให้ข้า ข้าก็กลอกตามองเนื้อหาภายในอย่างละเอียด พอเห็นแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“อย่างที่ท่านบอก เห็นทีพวกเราคงจะต้องจริงจังกับเรื่องนี้เสียแล้ว”
——————
เอาล่ะครับ จบไปแล้วกับราชาและดยุคผู้ปรกติที่แสนน่าสงสารถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนแสนจะจริงจัง