ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 87 ภาค2 บทที่ 17 ออโรร่ากับรอยยิ้มไล่ผี
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 87 ภาค2 บทที่ 17 ออโรร่ากับรอยยิ้มไล่ผี
“ให้ตายสิ กว่าจะหลุดออกมาได้ เหมือนกับหลุดไปอยู่ต่างมิติอันยาวนานเลยค่ะราส”
‘ข้าก็เหมือนกัน เหมือนกับถูกดูดไปอยู่ในโลกแห่งหนังสืออันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด… ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่สามารถจำหนังสือได้ทุกตัวอักษรเช่นนี้’
การพัฒนาแห่งเวทศักดิ์สิทธิ์อันผสมผสานนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เป็นความบังเอิญ แต่ด้วยความจริงและความศรัทธาแห่งท่านออเรเรี่ยนผู้ตั้งใจและแสวงหาถึงความเข้าใจอันถ่องแท้ ทำให้จุดเริ่มต้นนี้ก้าวไปสู่การพัฒนาการครั้งสำคัญ พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงแค่เยียวยาแต่ยังปกปักษ์ การปกปักษ์ไม่ได้เป็นแค่การตั้งรับแต่ยังเป็นการรุกเข้าใส่ เช่นนั้นเมื่อประสานมวลธาตุเข้ากับเวทศักดิ์สิทธิ์ก็จะนำมซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่มีใครเคยคิด ยามที่ค้นพบสิ่งนี้ ท่านออเรเรี่ยนได้กล่าวเอาไว้ว่า……
ผมกับราสเดินกลับห้องมาด้วยสภาพห่อเหี่ยวหลังเจอพลังของสุดยอดหนอนหนังสือที่ทำเอาพวกเราย้ายไปต่างมิติครู่ใหญ่ มิติที่เต็มไปด้วยคลังหนังสือแห่งปัญญาที่พร้อมดูดกลืนทุกชีวิตที่ผ่านเข้าไปแลกกับข้อมูลความรู้อันไร้ที่สิ้นสุด และเมื่อออกมา เสียงอันหลอกหลอนของอลาริคก็ยังไม่หาย
‘ข้าขอแนะนำนะออโรร่า ถ้าเป็นไปได้เลี่ยง ๆ เจ้านั้นเถอะ ถึงมันจะเก่งแล้วน่าจะสอนเวทเจ้าได้ดี แต่ข้าว่ากว่าเจ้าจะเรียบจบในหัวเจ้าได้กลายเป็นสารานุกรมแน่ ๆ’
“เห็นด้วยค่ะ ขืนเรียนจบล่ะก็ ต้องได้กลายเป็นนักบุญหุ่นยนต์ที่พ่นที่คำออกมาเป็นตำราชัวร์ ๆ”
ตุบ
ผมทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่ม ๆ ปล่อยให้ความเมื่อยล้าทั้งหมดสลายไปกับฟูกชั้นเยี่ยมที่ทางศาสนจักรได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ เจ้านี่นับว่าเป็นของชั้นเยี่ยมเลยก็ว่าได้ ผมเอาหัวจุ่มลงกับหมอนจนเริ่มรู้สึกว่าสติค่อย ๆ พร่าเรือนขึ้นทุกที
“เห้อ ข้อมูลล้นหัวทำเอาไม่อยากอ่านหนังสือที่ยืมมาเลยอ่ะราส”
“งั้นให้ฉันอ่านให้ฟังไหมคะ”
เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมกับลมอุ่น ๆ ทำสติของผมที่พร่าเลือนก็ถูกกระชากกลับมาเข้าร่าง ไม่ใช่แค่นั้น เลือดลมทั้งหลายได้สูบฉีดอย่างรุนแรงจากทั่วทั้งร่างมารวมกันที่หน้า พลันสติที่กลับมาก็กระเจิงออกมาส่งให้ผมพลิกตัวดีดอออกอย่างรวดเร็วจากทิศทางเสียงนั่น
“กรี๊ดด ว้าย มาเรียทำอะไรกันคะ!!”
ตรงนั้นเองคือมาเรียที่ยืนยิ้มอย่างน่ารักราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกันตอนนี้แม้จะมองไม่เห็นแต่ผมรู้ได้เลยว่าตัวเองทำหน้าตาตื่นสุด ๆ
“เห็นท่านออโรร่ามีน้ำเสียงกังวลเลยอยากช่วยน่ะค่ะ”
“กระซิบข้างหูเนี่ยนะคะ? ตกใจหมดเลย!!”
“กลัวท่านออโรร่าไม่ได้ยินไงคะ”
“ไม่สิ ถ้าพูดใกล้ ๆ ยังไงก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว… มาเรียแค่อยากแกล้งเราไม่ใช่เหรอไงคะ”
ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน จิตใจที่ยังไม่สงบทำให้ผมไม่กล้าสบเข้ากับดวงตาสีเขียวที่จ้องมองมาอย่างขี้เล่นราวกับปีศาจตัวน้อย
ให้ตายสิ ทำไมมาเรียถึงได้โตมาเป็นแบบนี้เนี่ย เอาจริงเด็กน้อยขี้อายในอดีตยังน่ารักกว่าอีก!!!
“แต่ก็หายกังวลแล้วใช่ไหมล่ะคะ?”
“มันก็..จริงอยู่ค่ะ”
คำสวดสารพัดจากอลาริคหายไปและแทนที่ด้วยความเขินอายจากการกระทำอันอุกอาจของมาเรีย ให้พูดแล้วมันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจผมดีขึ้นเลย หายสับสนแต่มาเขินแทน นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ
“แต่ว่าแบบนี้มันก็ยัง….”
“ยังอะไรเหรอคะ?”
ไม่ ไม่ได้การ เราจะพูดมากกว่านี้ไม่ได้ ไม่งั้นมาเรียได้แอบรุกเข้าใส่เพิ่มแน่นอน ให้ตายสิ นี่มาไม้ไหนกันนะ ไม่ใช่ว่าเธอจะจับคู่ผมกับพี่ชายของเธอเหรอไง แล้วไหงมารุกเองเล่า!!!
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีแค่กำลังวางแผนอ่านหนังสือที่ยืมมาน่ะค่ะ พอดีรู้สึกเหนื่อย ๆ เลยว่าต้องพักไว้ก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกควรรีบจัดการให้เรียบร้อยน่ะ.. เอ่อว่าแต่มาเรียถอยออกไปก่อนได้ไหมคะ สภาพแบบนี้มันเอ่อคือ… ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่น่ะ”
ตอนนี้มาเรียเริ่มก้มตัวเข้ามาใกล้ตัวผมที่หมดหนทางหนีหลังชิดกำแพง เธอโค้งมาเรื่อย ๆ ซึ่งหากปล่อยให้โค้งมากกว่านี้รับรองพวกเราได้หายใจรดต้นคอกันแน่นอน ซึ่งนั่นมันคงทำให้จิตใจที่สับสนอยู่แล้วของผมคงแตกกระเจิงหาทางลากกลับไม่ได้
“อ๊ะ ขอโทษด้วยค่ะ พอดีเป็นห่วงท่านออโรร่ามากไปหน่อยเลยเผลอตัว…”
“เหมือนจงใจมากกว่าค่ะ.. จู่ ๆ เป็นอะไรขึ้นมากันคะเนี่ย”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…. ก็แค่ได้ข่าวว่าผู้พิทักษ์ซิลเวีย…..อ๊ะ หนังสือเกี่ยวกับมณีแห่งนักบุญ กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่งั้นเหรอคะ?”
คล้าย ๆ เมื่อครู่มาเรียเหมือนจะพูดถึงซิลวี่ แต่เสียงมันเบาเกินจนผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ สุดท้ายเธอได้หันความสนใจไปทางหนังสือที่วางไว้ที่โต๊ะของผมแทน.. แย่แล้วไง
เจ้านี่มันหนังสือจากเขตต้องห้ามด้วยสิ ให้มาเรียรู้ไปจะมีปัญหาไหมนะ? แต่ดูแล้วเธอก็เป็นเด็กดีไม่น่าเอาความลับไปเพล่งพลาย เพราะฉะนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง
“อืม พอดีหลังอายุสิบห้าก็ต้องทำกิจของนักบุญเต็มที่ ดังนั้นคิดว่าศึกษาล่วงหน้าไปคงจะดีกว่า”
เนื่องจากไม่สามารถอธิบายเรื่องภารกิจของพระเจ้าได้ การอ้างเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้จึงเป็นอะไรที่ดูสมเหตุสมผลกว่า
“สมเป็นท่านออโรร่าเลยค่ะ แต่มณีนี่นอกจากหนึ่งที่อยู่จักรวรรดิ กับอีกหนึ่งที่อยู่กับราชวงศ์แล้วนั้น ที่เหลือได้กล่าวว่าสูญหายไปตามกาลเวลานี่คะ”
เป็นแบบนั้นเองเหรอ.. ว่าแต่ราชวงศ์ก็มีอยู่กับตัวงั้นเหรอเนี่ย ก็นะ เป็นถึงขั้นผู้สืบชื้อสายมาจากนักบุญที่ยิ่งใหญ่ จะมีมรดกแบบนั้นก็คงไม่แปลกหรอก แต่จักรวรรดิงั้นเหรอ ยังไม่เคยได้ศึกษาเลยแหะ
“หรือว่าท่านออโรร่าวางแผนตามหามันอยู่งั้นเหรอคะ”
รู้ได้ไงเนี่ย!!!
“ไม่หรอก ๆ เราแค่อยากศึกษาเอาไว้จะได้ไม่เป็นที่ครหาว่าไม่เหมาะสมน่ะ ดังนั้นเลยคิดว่า…”
“ใครกล้าพูดเช่นนั้นดิฉันจะจัดการให้เองค่ะ”
หือ???
จู่ ๆ น้ำเสียงของมาเรียก็เย็นเยียบไปจนผมหนาวสันหลังไปชั่วขณะ เมื่อมองดวงตาของเธอ สิ่งที่พบคือดวงตาสีเขียวหม่นไร้แวว ยิ่งจ้องมองไปก็เหมือนจิตใจจะถูกดูดเข้าไปในหลุมดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด
น่ากลัว
ใจเย็นก่อนนะมาเรีย นี่แค่พูดเล่น ๆ ขำ ๆ ไหงเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น แล้วทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะไปจกตับใครออกมากินด้วยล่ะ!! ตั้งสติ มาเรีย ตั้งสติ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ด้วยอำนาจของดิฉันตอนนี้ รับรองว่าไม่เหลือแม้แต่หลักฐานแน่นอน”
เธอจะทำอะไร๊!!! แล้วอำนาจนั้นมาจากไหน ได้ข่าวยังโดนคนในตระกูลกดหัวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วไหงมาอวดอำนาจกันล่ะ
“ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแต่ว่านะ เมื่อครู่มันแค่เรื่องสมมุติน่ะ เป็นแค่คนในจินตนาการ”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เช่นนั้นก็จะทำให้ไม่เหลือแม้แต่ตัวตนให้ท่านออโรร่าจินตนาการเรื่องร้าย ๆ เองค่ะ”
กับคนในจินตนาการเธอก็เอาด้วยเหรอ จะจัดการยังไงไม่ทราบ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ปล่อยนานไปเดี๋ยวเธอได้กลายเป็นฆาตกรโรคจิตจริง ๆ แน่ เพราะงั้น
ผมยื่นมือทั้งสองของตัวเองไปจับที่หน้าของมาเรียที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรังสีทะมึนก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนใช้ท่าไม้ตายที่ไม่ว่าครั้งไหนมันก็ใช้ได้ตลอด
หนึ่ง สอง สาม
ออโรร่าสไมล์!!!
“ดูนี่สิคะ มาเรีย”
ความน่ารักทั้งหมดของออโรร่าถูกส่งผ่านรอยยิ้มพุ่งตรงไปยังมาเรียเต็ม ๆ เมื่อภาพอันแสนสดใสของผมสะท้อนออกมาจากดวงตาสีเขียวคู่นั้น ความมืดทั้งหลายที่ก่อตัวก็เริ่มค่อย ๆ จางหายก่อนที่ใบหน้าขาวนวลของเธอเริ่มขึ้นสีแดงจาง ๆ และทวีความความเข้มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เอ่อ…อะ ท่านน..ท่านออโรร่า น่ารักมาค่ะ”
บู้มมม
คล้ายได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรระเบิดออกมา ก่อนร่างของมาเรียที่ตอนนี้แดงเป็นมะเขือเทศจะล้มลง เธอพูดออกมาไม่เป็นภาษา ส่วนใหญ่มีแต่ชื่อของผมที่วนเวียนไปมาจากปากของเธอ… ก็จบลงได้ด้วยดีล่ะมั้ง
เหตุการณ์อันวุ่นวายได้ผ่านไปสักพักจนมาเรียได้สติอีกครั้ง ผมก็เล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้เธอฟังถึงเหตุการณ์วันนี้ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เธอหายกังวล
“ท่านไมซ์เตอร์ อลาริค ได้ยินชื่อเสียงท่านว่าเป็นผู้ศึกษาที่เยี่ยมที่สุดของมหาวิหาร ก็ไม่แปลกที่จะจำได้ทุกบทความของหนังสือน่ะค่ะ จำไม่ผิดท่านได้ถูกเชิญไปสอนที่โรงเรียนของอาณาจักรอาร์เลนด้วยนะคะ”
ช่างน่าสงสารนักเรียนพวกนั้นจริง ๆ จบออกมาได้กลายเป็นหุ่นยนต์แน่นอน…
“งั้นเหรอคะ เป็นคนที่สุดยอดมากเลยนะคะ… ในหลาย ๆ เรื่องน่ะ”
ได้แต่หวังว่าตอนไปสอนเขาคงไม่ได้พูดยาวเป็นหุ่นยนต์อ่านคำจากหนังสือร้อยเปอร์เซนต์หรอกนะ
“เขาว่ากันว่านักเรียนทุกคนที่ท่านอลาริคสอน ล้วนจบไปเป็นนักเวทศักดิ์สิทธิ์มือฉมังทั้งนั้นเลยนะคะ”
เอาจริงดิ?
“งั้นเหรอคะ สงสัยเราคงต้องไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับเขาบ่อย ๆ แล้วมั้งคะเนี่ย”
“แต่ถ้าเป็นพื้นฐานล่ะก็ ดิฉันสอนท่านออโรร่าได้บ้างอยู่นะคะ”
“หือ มาเรียเรียนเรื่องเวทพวกนี้ด้วยเหรอ”
“ค่ะ พยายามศึกษาด้วยตัวเองแล้วก็ขอให้อาจารย์หลาย ๆ ท่านสอนให้ คิดว่าสำเร็จถึงขั้นกลางแล้วน่ะค่ะ”
สุดยอดไปเลยแหะ ก็ว่าอยู่ว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมาช่วงเวลาว่างมักหายตัวไปบ่อย ๆ ที่แท้ก็ไปฝึกฝนเวทมนต์นี่เอง ทำเอารู้สึกอายเลยนะเนี่ย
“ถ้างั้นฝากด้วยนะคะ”
“จริงเหรอคะ จะให้ดิฉันสอนท่านออโรร่าจริง ๆ งั้นเหรอคะ!!”
มาเรียพูดออกมาอย่างตื่นเต้นคล้ายเก็บอาการของตัวเองไม่ค่อยอยู่ ดูท่าเมื่อครู่เธอคงพูดตอบรับเล่น ๆ ไม่ก็อยากแค่ให้ผมชมในความพยายามของเธอก็เท่านั้น แต่พอผมตอบตกลงแบบนี้ไปเธอจึงทำตัวไม่ค่อยถูก
“ตะ แต่หากเทียบกับท่านอลาริคแล้ว ฉันคงไม่…เอ่อ..”
“ไม่หรอกค่ะ เรียนกับเพื่อนมันสบายใจกว่าจริงไหมคะ”
คิดดูแล้ว ให้มาเรียสาวน้อยน่ารักสอนอย่างไรมันก็ดีกว่าโรงงานผลิตหุ่นยนต์อย่างอลาริคไม่รู้กี่ล้านเท่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้ผมต้องปฏิเสธเรื่องที่มีแต่ได้กับได้ไร้ข้อเสียเช่นนี้
“จะ…จะไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ”
นั่นสินะ ฝึกเรื่องเวทไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะยิ่งรู้เวทมากเท่าไหร่ การประยุกต์ใช้กับพลังปาฏิหาริย์ของนักบุญก็จะยิ่งพลิกแพงได้มากขึ้นเท่านั้น จะมาหวังพึ่งการหลอกลวงแบบตอนนั้นก็คงไม่ดีเท่าไหร่ เสี่ยงตายสุด ๆ
“อืม จะรอนะ… เอถ้างั้นเราควรให้ซิลวี่ฝึกดาบให้ด้วยดีไหมนะ เป็นนักดาบเวทอะไรแบบนี้ดูท่าจะเข้ากันดี..หือ?”
กริ๊ก
คล้ายกับเหมือนผมได้ไปเหยียบอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรเหยียบเข้าโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นเองที่หน้าของมาเรียเริ่มกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
“ท่านออโรร่าคะ… ได้ข่าวท่านผู้พิทักษ์จะมาอยู่ที่มหาวิหารเหรอคะ”
รู้สึกแปลก ๆ เหมือนงานจะเข้า
“เอ่อใช่ พอดีมีภารกิจที่ต้องทำ ซิลวี่เลยมาคุ้มกันเราน่ะ”
“งั้นเหรอคะ เป็นแบบนั้นเองสินะคะ….”
…..
“แล้วแบบนี้ดิฉันต้องย้ายออกไปไหมคะ… นั่นสินะคะ ก็เพื่อให้ผู้พิทักษ์ปกป้องท่านออโรร่าได้ อย่างไรก็ต้องย้ายอยู่แล้ว นั่นสินะ นั่นสินะ… ดิฉันมันไม่แข็งแกร่งพอสินะคะ… ต้องออกไป ต้องอยู่คนเดียว ห้องที่ไม่มีท่านออโรร่าอยู่…”
กรี๊ดดดด ผีเข้ามาสิงมาเรียอีกแล้ว!!! ใครก็ได้ ช่วยด้วย!!!
“ใจเย็นก่อนสิคะ มาเรีย ยิ้มนี่ไงคะ ดูยิ้มของเราสิ”
ผมรีบคว้ามาเรียเข้ามาตรงหน้าและใช้พลังแห่งรอยยิ้มเช่นเดิมเพื่อเรียกสติของเธอให้กลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าครั้งนี้ดูจะได้ผลไม่เต็มที่
“รอยยิ้มของท่านออโรร่า…”
“ใช่ค่ะ นี่ไงดูแล้วทำใจให้สบายนะคะ”
“จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว จะเป็นผู้พิทักษ์ทที่เป็นคนได้มันไป ไม่นะ ไม่นะ”
กรี๊ดดด ไม่ได้ผลเลยแม้แต่นิดเดียวเลยนี่นา งานงอกแล้วไง นี่ชื่อของซิลวี่กลายเป็นคำต้องห้ามของมาเรียแล้วงั้นเหรอ ได้ไงกัน ก็ตอนนั้นจับมือถือแขนเป็นมิตรกันแล้วไม่ใช่เหรอไง
“ไม่ค่ะ ไม่ มาเรียไม่ต้องไปที่ไหนเลยค่ะ อยู่กับเรานี่ล่ะค่ะ”
“..จริงเหรอคะ”
“จริงค่ะ เมื่อครู่ซิลวี่ก็ไปยื่นขอห้องส่วนตัวของผู้พิทักษ์ ดังนั้นจะไม่มีการย้ายห้องเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ”
“จริงนะคะ ดิฉันยังอยู่กับท่านออโรร่าได้ต่อไปใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ไม่ได้ไปไหนแน่นอนค่ะ”
“ดีจัง”
จู่ ๆ มาเรียก็ทิ้งตัวลงมาที่ร่างของผมทำเอาผมตัวเซล้มลงไป เธอยังคงไม่ขยับไปไหน มีเพียงกอดผมแน่นและตัวสั่นราวกับลูกนกที่คิดถึงแม่
ให้ตายสิ ถึงจะดูโตมากแค่ไหน แต่แท้จริงแล้วก็ยังเป็นเด็กขี้เหงาที่กลัวจะเสียเพื่อนไปอยู่สินะ เอาเถอะ ท่าทางคงต้องปลอบอีกยาวสินะ
หลังจากนั้นสถานการณ์ในห้องก็มีแต่ความเงียบ มีเพียงแค่มาเรียที่สั่นเทาอย่างเหงาหงอยและผมที่คอยปลอบเธอด้วยการลูบหัวไปมาก่อนที่เวลาจะผ่านพ้นไปถึงยามค่ำคืน
ให้ตายสิ เหนื่อยเป็นบ้าเลย!!!
ไม่นึกว่าการปลอบเด็กสาวมันจะเหนื่อยขนาดนี้ ทำเองหมดแรงสุด ๆ เตียงจ๋าผมมาหาแล้ว
ผมทิ้งตัวลงนอนกับเตียงอีกครั้งหนึ่ง ก่อนมุดตัวเข้ากับฟูกแล้วขดตัวไปมาอย่างขี้เกียจ ความนุ่มของเตียงทำเอาสติของผมเริ่มหลุดลอยไปกับความสบายนั่น
เห้อ… พรุ่งนี้ค่อยไปหาซิลวี่แล้วปรึกษาว่าจะเอาไงต่อแล้วกัน
คลุก ๆ แกร๊ก ๆ
ตอนนั้นเองที่ผมกำลังจะเริ่มเคลิ้มหลับ จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลก ๆ ที่ฟ้าเพดาน ไม่พอแค่นั้น หน้าต่างห้องก็เริ่มสั่นเบา ๆ
หือ??? หลอนไปเองไหมนะ
ผมลืมตาขึ้นมาเพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นและอยากยืนยันให้แน่ใจ แต่เอาจริงตอนนี้รู้ได้เลยว่าขนแขนหลายส่วนเริ่มจะลุกตั้งขึ้นมาอย่างหวาด ๆ
คงไม่ใช่หรอกมั้ง คงไม่ใช่หรอก…. นี่เราอยู่ในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปพระเจ้าตั้งรับร้อยเลยนะ….
“โอมพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดพิทักษ์ปกปักษ์ ช่วยเหลือ ป้องกันตัวเราผู้นี้ด้วยเถิด”
ผมเริ่มพูดคำสวดไม่เป็นภาษาขึ้นทุกที ความกลัวที่เริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจทำเอาสมองเริ่มคิดคำต่าง ๆ ไม่ทันปาก
แกร๊ก ๆ
หน้าต่างเริ่มสั่นสะเทือนหนักขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนั้นเองที่เมื่อตาของผมมองไป…
วูบ
งะ..เงา เงาใช่ไหม เมื่อกี้มีเงาวิ่งผ่านไปใช่ไหม ไม่สิ อาจจะเป็นนกก็ได้ นกบินเกาะหน้าต่าง เรื่องโคตรปกติน่า
ก๊าซซซซซซ
ตอนนั้นเองที่เจ้าเงาตรงริมหน้าต่างได้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมานโหยหวน เมื่อโสตประสาทของผมรับเข้ากับเสียงร้องนั่น ปฏิกิริยาสุดท้ายที่ได้ก็คือ…
“กรี๊ดดดดด ผีบุกห้อง ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!!!”
ตึงๆๆๆๆ
“ท่านนักบุญมีภัย พวกเราลุย!!!”
“ใครมันกล้าทำร้ายท่านนักบุญ ชีวิตนี้อย่าหวังว่าจะได้เห็นแสงของรุ่งเช้า”
——-
เอาแล้ว ๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ผีจะมีจริงหรือไม่ แล้ววิหารมันจะวุ่นขนาดไหน มารอติดตามกันตอนต่อไปนะครับ