ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 86 ภาค2 บทที่ 16 ออโรร่าและการสืบหาคนร้าย
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 86 ภาค2 บทที่ 16 ออโรร่าและการสืบหาคนร้าย
หลังผละออกมาจากหนอนหนังสืออลาริคได้ ผมรีบวิ่งตรงมายังห้องสมุดประดุจสิ่งหนีปอบ เวลาเริ่มเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเส้นแสงที่นำทางเริ่มริบหรี่ลง
จะทันไหมนะ
ผมผลักเปิดประตูออกอย่างเบา ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังวุ่นวายจนคนอื่นในห้องสมุดหันความสนใจมาที่ผมซึ่งนับว่าโชคดีมากที่เวลานี้ยังเป็นเวลาที่นักบวชหลายคนปฏิบัติกิจของตัวเองอยู่
ห้องสมุดของมหาวิหาร ถูกเรียกขานว่าห้องสมุดแห่งอเมร่า ซึ่งนั่นมันก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อยเพราะห้องสมุดแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ใหญ่ขนาดห้องโถงของราชวังยังสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มองไปเห็นแต่ชั้นหนังสือเรียงรายจนสุดขอบสายตา ทั้งผนัง กำแพงที่สูงเสียดฟ้าราวกับปัญญาที่มุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์ ทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยหนังสือมากมายหลากหลายภูมิปัญญา
กลิ่นจาง ๆ ของกระดาษเก่า ๆ และไม้ขัดมันจากพื้น ที่พาเอาให้รู้สึกจิตใจสงบ เงยหน้าขึ้นไปสิ่งที่พบคือจิตรกรรมภาพวาดชั้นสูงซึ่งแสดงภาพแห่งภูมิปัญญามากมาย เรื่องราวของมนุษย์ที่รอดพ้นภัยจากเหล่าปีศาจร้ายด้วยปัญญาแห่งเทพเจ้า
ที่ปลายสุดของกำแพงแต่ละมุม ประดับด้วยกระจกบานใหญ่หลากสีสันและหลากหลายเรื่องราวที่ถูกตกแต่งลงไป ส่งให้แสงหลากสีนั่นฉาบกำแพงสีขาวหินอ่อนให้มีสีสันสวยงาม
อะไรมันจะอลังการขนาดนี้เนี่ย!!
ผมได้แต่ทึ่งกับความยิ่งใหญ่ของห้องสมุดมหาวิหาร ซึ่งตลอดที่อยู่มาหลายปีผมไม่เคยเหยียบมาที่นี่เลยสักครั้งเพราะหากอยากได้ตำราอะไรก็มักจะให้คนอื่นไปเอามาให้จะเร็วกว่า
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการตามร่องรอยที่เหลืออยู่ของเวทติดตาม
‘รีบเร็วยัยหนู ข้าว่าเหลือเวลาไม่มากแล้วล่ะ’
อืม
ผมพยักหน้ารับคำเจ้าราสแล้วเดินจ้ำรัว ๆ ไปตามเส้นทางแสงสีฟ้าหมุ่นที่ริบหรี่ มันได้พาผมวกวนไปตามชั้นหนังสือที่ตั้งยาวสลับซับซ้อนดุจเขาวงกต แต่ด้วยพลังของผมทำให้ไม่ต้องกลัวที่จะหลง
‘ใกล้แล้ว!!!’
ความเข้มข้นของแสงแห่งเวทเริ่มเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงเวลาที่อีกฝ่ายเพิ่งจากไปไม่นาน ผมมั่นใจว่าที่ร่างกายของคนร้ายหายไปนั้นมันต้องเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพราะรู้ว่าถูกตรวจจับแน่ ๆ เพราะผมร่ายเวทพลางพลังซ้อนเอาไว้ หากไม่ใช่คนที่เก่งเวทมากจริง ๆ คงไม่น่ารู้
โอ้ย ใครใช้ให้สร้างหอสมุดให้มันใหญ่ขนาดนี้เนี่ย เดินมานานไม่เห็นอะไรนอกจากชั้นหนังสือ ถามจริงว่ามีใครหลงบ้างไหม
ผมได้แต่บ่นเมื่อเริ่มรู้สึกถึงขาทั้งสองข้างของตัวเองที่เริ่มล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพื่อให้การใช้พลังของผมไม่สูญเปล่าก็มีแต่ต้องฝืนเดินต่อไปเท่านั้น
ตึก ตึก แฮก ๆ
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงบริเวณที่มีพลังเข้มข้นที่สุด ที่บริเวณชั้นหนังสือเกือบในสุดอันถูกเขียนว่าหวงห้าม ซึ่งผมผ่านมาด้วยฐานะของนักบุญจึงไม่ต้องเสียเวลาอะไร แต่นี่ก็แสดงว่าคนร้ายน่าจะมียศสูงถึงเข้ามาในเขตนี้ได้
สิ่งที่พบคือพลังเวทมหาศาลที่กระจายไปทั่วแนวชั้นหนังสืออันยาวเหยียดคล้ายกับเจ้าของเวทกำลังเดินหาอะไรบางอย่าง แต่ด้วยที่พลังเวทมันฟุ้งกระจายไปหมดทำให้ยากต่อการมองหาจุดสุดท้ายของคนร้าย
‘ตรงนั้นออโรร่า ที่ชั้นหนังสือนั่น’
ราสบินพุ่งไปตรงหนึ่งของชั้นหนังสือ ที่ตรงนั้นเองมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยพลังเวทอันหนาแน่น ผมจึงรีบพุ่งตัวตามไป
“นี่มัน?”
ลักษณะของมันเป็นหนังสือปกสีขาวขนาดหนาเตอะ ที่ตัวเล่มยังพอสัมผัสได้ถึงเวทผนึกศํกดิ์สิทธิ์ แต่เหมือนมันจะเพิ่งถูกทำลายไปไม่นาน ทำให้เวทสีฟ้าหม่นยังคงตกค้างไปทั่วตัวเล่ม
‘ดูเหมือนนี่จะเป็นสิ่งที่มันหาอยู่นะ’
เนื่องจากไร้ซึ่งผนึกใด ๆ ปกคลุม ผมจึงรีบเปิดหนังสืออย่างไวเพราะนี่แม้จะไม่ได้เจอตัวคนร้ายโดยตรงแต่ก็นำไปสู่ตัวได้โดยการเข้าใจถึงจุดประสงค์และสิ่งที่เขาต้องการ
“มณีแห่งความไม่แน่นอน? คนร้ายนั่นกำลังหาสิ่งนี้อยู่งั้นเหรอ?”
‘ดูเหมือนว่าสองภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันจะเริ่มเกี่ยวกันแล้วล่ะยัยหนู’
หากจำไม่ผิด ราสเคยบอกผมไว้ว่ามีสองมณีที่สามารถเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ หนึ่งคือมณีแห่งการสอดประสานแล้วก็มณีแห่งความไม่แน่นอน
จริงอยู่ว่าอาจจะเป็นอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยหรือเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็ดูบังเอิญเกินไปที่จะเกิดพร้อมกันแบบนี้ ดังนั้นหากมองเป็นเรื่องเดียวกันแล้วนั้น คนร้ายคนนี้น่าจะขโมยพลังของตราเรสเวนไปแล้วกำลังหามณีแห่งความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งพวกผมเดาว่าสถิตอยู่ในคทาแห่งลูมินาเรส
แปลว่าหากหาคทาได้ก็เป็นอันจบสินะ
ถ้าเป้าหมายของเขาตรงกันกับผม นั่นหมายความว่าไม่ต้องหาตัวอะไรให้มากความ แค่ไปเอาของที่เป็นเป้าหมายของคนร้ายคนนี้ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะบังคับให้เขาปรากฏตัวออกมา
เอาล่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ยืมออกไปเลยน่ะจะดีกว่า เก็บไว้กับตัวถ้าคนร้ายมาเมื่อไหร่เตรียมเจอสาระพัดบาเรียในห้องของผมกับมาเรียได้เลย
‘หนังสือในเขตหวงห้ามปกติเขาให้ยืมงั้นเหรอ’
“บอกเป็นนักบุญก็น่าจะหยวน ๆ กันให้ล่ะค่ะ ถ้าไม่ได้ก็บีบน้ำตาอ้างพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่บนฟากฟ้าอา”
พูดแบบนี้ เจ้าราสได้แต่หรี่ตามองผมอย่างละเหี่ยใจและไม่พูดอะไรต่อ ราวกับมันเริ่มทำใจยอมรับถึงนักบุญสุดแสนจะประหลาดอย่างผมได้แล้ว
‘อ้า ข้าล่ะคิดถึงแคโรลีนเหรอเกิน ทั้งตั้งใจ ตั้งขยัน และจริงใจ ทำไมกันนะ ทำไมพอข้าหลับไปแล้วตื่นมากลับได้นักบุญเช่นนี้มาดูแลด้วย’
“คุณก็พูดเกินไปนะคะ ไม่เห็นเหรอ ทั้งปราบจอมปีศาจ ทั้งเรียกศรัทธาที่ล่มสลายคืนสู่ศาสนจักร แถมยังได้รับฉายานักบุญผู้เก่งกาจที่สุดในศตวรรษ ยังจะมีนักบุญคนไหนที่คู่ควรกับคุณอีกงั้นเหรอคะ?”
‘เดี๋ยวนี้ชมตัวเองก็เป็นด้วยวุ้ย ตามหลักการเขาไม่ได้ดูแค่ผลลัพธ์ มันต้องดูที่วิธีการด้วย ถึงผลลัพธ์เจ้ามันจะดีแต่เจ้าทำตัวเช่นนี้สักวันจะยุ่งเอาได้นะ’
“แต่เราก็รับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่นะคะ”
‘นั่นก็เป็นเรื่องน่าชื่นชมแต่ว่า…. ออโรร่ามีคนมา’
ผมรีบหยิบหนังสือไปซ่อนใต้เสื้อของตัวเองทันทีเมื่อได้รับเสียงเตือนของเจ้าราส พลันตัวเองก็เงี่ยหูฟังถึงตัวตนอีกฝ่าย ก็เป็นดั่งราสว่าเพราะผมได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ตึก ตึก
เสียงเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ สัมผัสของเวทเองก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาผมเริ่มกุมมือไปที่จี้ห้อยคอของตัวเองที่โลธ์ให้มาเพื่อเตรียมการหากมีอะไรจะมาทำร้ายตัวผม
“ในเขตหวงห้ามเช่นนี้เหมือนจะมีหนูแอบซ่อนตัวอยู่ด้วยสินะครับ…แนะนำให้เผยตัวออกมาจะเป็นการปลอดภัยกว่านะครับ”
เสียงของร่างปริศนาดังขึ้นมาพร้อมกับฝีเท้าที่ใกล้ขึ้น ทว่ากลับเป็นเสียงที่ทำให้ความกลัวของผมหายไปเพราะเสียงนี้มันช่างคุ้นเคย เสียงทุ้มต่ำที่พูดอย่างเป็นมิตรเช่นนี้ไม่ว่ากับใคร…
“ท่านอลาริค?”
“หืม ท่านนักบุญ?”
ผมร้องทักขึ้นก่อนเดินออกจากจุดที่ตัวเองหลบอยู่ แต่ยังคงเก็บซ่อนหนังสือที่เกี่ยวข้องกับมณีไว้อยู่กับตัว
เมื่อเขาเห็นหน้าผม มือที่ยกขึ้นอยู่ได้ลดระดับลง ละอองแสงของเวทมนต์ค่อย ๆ จางหายไป ซึ่งเวทนั่นในมือจากความเข้มข้นแล้วน่าจะเป็นเวทที่รุนแรงน่าดู
“ตกใจหมดเลยค่ะ นึกว่า…เอ่อ”
“ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องบอกว่าตกใจ อยู่ ๆ ก็มีพลังเวทแปลก ๆ คละคลุ้งอยู่ในเขตต้องห้าม… แต่ไม่นึกเลยว่าท่านนักบุญจะใช้เวทสายทำลายล้างกับเขาด้วย ตอนแรกเห็นบอกว่าใช้ไม่เป็น เห็นทีตัวข้าอาจต้องบัญญัติคำว่าไม่เป็นของท่านไว้ใหม่แล้วจริง ๆ”
อลาริคทำท่าคล้ายกับหมาดมกลิ่นก่อนที่เขาจะหันมาพูดยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง ทำเอาบรรยากาศกดดันเมื่อครู่นั้นคลายลงไป
“ไม่หรอกค่ะ เราเองก็เดินมาที่ตรงนี้ระหว่างหาหนังสือเพราะสัมผัสได้ถึงพลังแปลก ๆ เช่นกัน”
ผมใช้เหตุผลแบบเดียวกันกับเขาเพื่อให้โดนสงสัยน้อยที่สุด เพราะหากคนเก่งแบบเขาสามารถตรวจจับพลังของคนร้ายได้แบบนี้ การที่ผมซึ่งเป็นนักบุญจะตรวจจับได้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่จะให้รู้ไม่ได้เรื่องที่คนร้ายเล็งเจ้าหนังสือนี่อยู่ เพราะเรายังไม่รู้ว่าท่านอลาริคนั้นอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ… ความกังวลใจของราชาออสวัลด์กับท่านริเช่ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว
“เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นในนามแห่งพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้าขอให้ท่านนักบุญและพระเจ้าให้อภัยการกระทำอันล้วงเกินเมื่อครู่ของข้าด้วย”
ว่าเสร็จพ่อหนอนหนังสือก็คุกเข่าแล้วก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด ซึ่งนี่ก็ทำเอาผมตกใจสะดุ้งหน่อย ๆ แต่ก็พอนึกเหตุผลได้เพราะการชี้อาวุธหรือเวทจู่โจมใส่หน้านักบุญนั้นนับเป็นเรื่องผิดมหันต์ หากเอาไปบอกอินควิสตาร์ ลูดอร์ฟรับรองว่าชีวิตของอลาริคคงอยู่ไม่สุข
“ไม่หรอกค่ะ เมื่อครู่ท่านเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเรา ถือว่าอุบัติเหตุจากความไม่รู้ทั้งเราและพระเจ้าย่อมให้อภัย”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด แม้เมตตานี้ของท่านจะเป็นสิ่งล้ำลึกเกินกว่าที่จะปฏิเสธ ทว่าก็มิอาจเปลี่ยนความผิดที่ข้าล่วงเกินท่านนักบุญไป เช่นนั้นขอให้ข้าได้ทำอะไรเพื่อท่านล้างความผิดก็ยังดี”
ว้ากกก ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นเนี่ยท่านอลาริค ก็เข้าใจอยู่ว่าคนในศาสนามันจริงจังเรื่องนักบุญขนาดไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะปานนี้ เอาฟะ ถ้าเอาแต่ปฏิเสธคงไม่ได้เดินออกจากห้องสมุด เอาเป็นว่าตอบส่ง ๆ ไปแล้วกัน
“เช่นนั้นก็แนะนำหนังสือให้เราเป็นอย่างไรคะ เราอยากฝึกฝนเวทมนต์อยู่พอดี หากได้ท่านที่เป็นผู้นำแห่งนักปราชญ์ของศาสนจักร ย่อมแนะนำเล่มที่ตรงกับความต้องการของเราได้อย่างแน่นอน”
ผมพูดไปตามเนื้อผ้า และนั่นเองที่ผมจะมาตรัสรู้ทีหลังว่าผมนั้นคิดผิดมหันต์ที่เลือกตัวเลือกนี้ไป….
“เมตตาของท่านนั้นช่างลึกล้ำ แน่นอนข้าจะนำปัญญาอันยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าผู้สูงส่งมาให้แก่ท่านนักบุญเอง …จะเข้าใจเวทก็ต้องเข้าใจถึงจุดกำเนิด…เอาเป็นว่าเริ่มต้นจากหนังสือเวทเบื้องต้นของออกัสตินแล้วกัน มันเป็นหนังสือที่มีประวัติยาวนาน ถูกเขียนขึ้นมาระหว่างการเดินทางของท่านออกัสตินในขณะที่ท่านได้ร่วมรบกับท่านนักบุญคนที่ห้าแห่งราชอาณาจักรราสเวนน่า ตอนนั้นเอง…”
“คะ?”
นี่เองที่ผมกำลังจะได้รู้ซึ้งถึงพลังของสิ่งที่เรียกว่าหนอนหนังสือ..ไม่สิ เนิร์ดเลยมากกว่า
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจครับ