ซวยจริง กลายเป็นสาวน้อยไม่พอยังเจอเหล่าเจ้าหญิงของโรงเรียนมาจีบอีก - ตอนที่ 4
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว เหมือนสมองของผมก็แทบจะหมดสภาพ ผมลากร่างกายตัวเองออกจากโรงเรียนแบบหมดแรง เหนื่อยชะมัด… อะไรกันนะ วันแรกของการเรียนในโรงเรียนหญิงล้วน มันช่างหนักหน่วงเกินกว่าที่คิดไว้อีก ถ้าคิดย้อนไป…การโดนล้อมรอบด้วยสาว ๆ ทั้งวันแบบนี้มันช่างหนักหนาสาหัสจริง ๆ
“เฮ้อ… อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกใช่ไหมนะ?”
ขณะที่ผมกำลังเดินดุ่ย ๆ เพื่อกลับบ้านของตัวเองที่ทางบริษัทจัดไว้ให้ อยู่ดี ๆ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นมาจากทางข้างหลัง
“ฟุ่บ!”
จู่ ๆ ก็มีใครบางคนพุ่งมาชนไหล่ของผมแบบเต็มแรง ทำเอาผมเกือบล้ม แต่พอเงยหน้าขึ้นดู…เด็กสาวคนหนึ่งที่มีผมสั้นสีดำยาวถึงคอ กำลังหอบหายใจถี่ ๆ เหมือนกับว่าพึ่งวิ่งหนีอะไรบางอย่างมาอย่างดุเดือด ท่าทางของเธอดูรีบร้อนจนไม่มีเวลามาหยุดดูว่าเธอชนใคร
…..!
ขณะที่ผมกำลังเดินดุ่ย ๆ กลับหอพักเอง อยู่ดี ๆ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นมาจากทางข้างหลัง
“ฟุ่บ!”
จู่ ๆ ก็มีใครบางคนพุ่งมาชนไหล่ของผมแบบเต็มแรง ทำเอาผมเกือบล้ม แต่พอเงยหน้าขึ้นดู…เด็กสาวคนหนึ่งที่มีผมสั้นยุ่ง ๆ สีทอง กำลังหอบหายใจถี่ ๆ เหมือนกับว่าพึ่งวิ่งหนีอะไรบางอย่างมาอย่างดุเดือด ท่าทางของเธอดูรีบร้อนจนไม่มีเวลามาหยุดดูว่าเธอชนใคร
“ขอทางหน่อย”
เธอพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมหันมามองผมด้วยสายตาตื่นตระหนก เหมือนเธอจะเร่งด่วนมาก
“เอ๋?”
ผมเอ่ยออกมาแบบมึน ๆ มองไปยังเด็กสาวตรงหน้าที่ตอนนี้พุ่งตัวหลบเข้าไปในซอยข้าง ๆ ผมเรียบร้อย ตอนนั้นเองที่เริ่มมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากอีกทางหนึ่งตามมาติด ๆ นั่นทำให้ผมหันไปหาต้นเสียงและสิ่งที่พบก็ทำให้ผมตกใจสุด ๆ
นั่นคือเหล่าชายในชุดดำโดยหน้าก็บังไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำสุดน่าสงสัย แถมบรรยากาศที่ปล่อยออกมาก็หาความเป็นมิตรใด ๆ ไม่ได้เลย
อ่า ชุดสูทดำกับแว่นกันแดดงั้นเหรอ? ทรงนี้นี่มันบอกยี่ห้อคนชั่วสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอไง… ใช่แล้ว นี่มันมาเฟียชัด ๆ!
และเจ้ามาเฟียที่ว่านั่นก็กำลังเดินมาหาผมอย่างช้า ๆ ทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ ทุกย่างก้าวที่มันใกล้ผมเข้ามา
“นี่เธอตรงนั้นน่ะ”
“ผม…เราเหรอ?”
“ใช่ จะมีใครที่ไหนอีกล่ะ!”
มาเฟียหมายเลขหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดังจนทำเอาผมสะดุ้งโหยงอย่างหวาดกลัว ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าตอนนี้ขาของตัวเองสั่นสุด ๆ แต่ก็ยังพยายามตั้งสติของตัวเองเอาไว้ให้ได้
“มี..มีอะไรงั้นเหรอ…คะ?”
ผมถามกลับไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยที่มาเฟียทั้งสี่คนที่เดินมาหาก็จ้องเขม็งมาที่ผม นั่นยิ่งทำให้ผมที่กลัวอยู่แล้ว ยิ่งสั่นใหญ่ประดุจลูกนกที่กำลังถูกอสรพิษจ้องจู่โจม
“เห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นประมาณนี้ บ้างไหม”
มาเฟียทำมือของตัวเองมาอยู่แถว ๆ บริเวณคอซึ่งมันตรงกับเด็กผู้หญิงที่วิ่งหลบเข้าไปในซอยหลังผมอย่างพอดิบพอดีจนไม่ต้องสืบเลยว่ามาเฟียพวกนี้ไล่ตามเธอคนนั้นมาอย่างแน่นอน
นี่มันวันอะไรของชีวิตเนี่ย เช้าก็เจออ่าวไทย เย็นมาก็เจอมาเฟีย แค่วันแรกของโรงเรียนก็เจอแต่อะไรไม่รู้แบบนี้ ผมจะอยู่โรงเรียนมันได้ครบเดือนไหมมมม ซวย ชีวิตมันจะซวยอะไรขนาดนี้!!!
“ว่าไง สรุปเห็นหรือไม่เห็น”
แน่นอนว่าตามหลักการแล้วต้องตอบว่าไม่เห็นเพื่อปัดเลี่ยงไม่เกี่ยวข้องไป แต่ลองคิดดูดี ๆ แบบนี้พวกนั้นอาจคิดว่าผมให้ความร่วมมือกับเธอจนอาจจะแบกผมไปขายไต ขายอวัยวะที่ไหนก็ได้ ดังนั้นเราต้องมองมุมกลับและกลับมุมมอง บอกว่าเห็นแต่ชี้ทางมั่วไปเลยแล้วกัน
“หะ…เห็นค่ะ”
ผมพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยในใจก็พยายามรวบรวมความกล้าอย่างสุดความสามารถ ซึ่งตอนนี้บอกได้เลยว่าขาผมสั่นประดุจผีเข้า
“อยู่ไหน เธอคนนั้นไปทางไหน!!”
“อึ๋ยยยย”
“ใจเย็นก่อนหน้า เด็กมันกลัวหมดแล้ว”
“ใจเย็นบ้าอะไร นายก็รู้ว่าถ้าเธอหายไป เราจะซวยกันขนาดไหน”
“เอาน่า อย่าเอาไรกับเด็กมันมากเลย เอาล่ะแม่หนู พอรู้ไหมว่าเด็กสาวคนนั้นไปทางไหน”
โอ้โห มาแบบตำรวจดีตำรวจเลวซะด้วย แบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
“เอ่อคือ…เอ่อ”
“เด็กคนนี้ดูสั่นแปลก ๆ นะ…?”
เจอมาเฟียสี่คนล้อมหน้าแบบนี้ คุณพี่จะให้ผมยิ้มต้อนรับยินดีเหรอครับ แค่ยังยืนอยู่ได้ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว!!! แต่ไม่ได้นะณัฐ อย่าไปกระตุกต่อมอารมณ์ของมาเฟีย
“เอ่อ…หนูเป็นคนกลัวคนแปลกหน้าค่ะ… เอ่อ…นั่นแหละค่ะ! เธอเพิ่งวิ่งไปทางโน้นเมื่อกี้เลย! ทะ…ทางขวาน่ะค่ะ”
เพราะแบบนั้นผมเลยหาเหตุผลบ้า ๆ บอ ๆ ตอบไปด้วยสติที่กำลังหลุดลอย มือก็พลางชี้ไปมาอย่างมั่ว ๆ ไม่รู้ทิศรู้ทาง
พวกมาเฟียหันไปตามทิศที่ผมชี้ไป แต่ดันเงียบไปสองวินาทีก่อนที่จะหันกลับมามองผมอีกครั้ง
“แน่ใจนะว่าไปทางขวา?”
“แ…แน่ใจสิ! จะโกหกไปทำไมล่ะคะ?!”
ผมตอบแบบเกร็งสุดชีวิต เหงื่อแตกพลั่กไปหมดแล้วตอนนี้
“หึม… งั้นรีบไปเร็ว!”
มาเฟียคนหนึ่งตะโกนสั่งคนอื่น ๆ ทุกคนหันไปวิ่งออกไปทางที่ผมบอกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก…
รอดแล้วเรา…
“เดี๋ยวก่อนนะ”
ยังอีกเหรอ!!!
มาเฟียตัวใหญ่มากที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้ยืนมองผมด้วยสายตาจับผิด
“แต่ฉันก็จำได้ว่าเด็กคนนั้นน่าจะวิ่งเลี้ยวซอยแถวนี้นะ หรือว่าฉันมองผิดไป?”
“เอ่อ… คือ… เอ่อ…ลมค่ะ!”
ผมตอบออกไปอย่างไม่รู้จะหาคำแก้ตัวอะไรแล้ว งั้นก็ใช้ฟ้าใช้ฝนมันเลยแล้วกัน
“ลม?” มาเฟียตัวใหญ่ย่นคิ้วอย่างสงสัย “ลมเกี่ยวอะไรกับเด็กผู้หญิงที่เราตามหาวะ?”
ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่…..ปากพาซวยแล้วไงล่ะ แต่การแสดงมันยังต้องดำเนินต่อ เพราะฉะนั้นมาแล้วก็ไปให้สุดซะณัฐเอ๋ย
“ค่ะ…ลมมันพัดแรงมากเลยค่ะ ตอนที่เธอวิ่ง! ผ้าเช็ดหน้าของเธอก็เลยปลิว…แบบแรงสุด ๆ เลย พัดไปทางขวา! พัดซะจน…หนูคิดว่าเธอต้องวิ่งตามผ้าเช็ดหน้าไปทางขวาแน่ ๆ ค่ะ!”
โอ้โห! นี่ผมพูดอะไรออกไปฟะเนี่ย!!
มาเฟียตัวใหญ่ทำหน้าสงสัยหนักกว่าเดิม ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ไอ้เหตุผลบ้าบอแบบนี้มันจะไปน่าเชื่อถือได้ที่ไหน แต่ว่านี่มันเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดสำหรับสมองของผมที่กำลังจะเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านแล้วนะ
“ใช่ค่ะ! ปลิวแรงมาก! พัดไปจนเหมือนเป็นพายุเลยค่ะ! หนูเลยคิดว่าเธอวิ่งตามผ้าเช็ดหน้าไปทางนั้นแน่นอน!”
มาเฟียคนข้างหลังเริ่มทำหน้างง ๆ
“พายุพัดผ้าเช็ดหน้า?ฟังดูแปลก ๆ ว่ะลูกพี่”
“ไม่หรอก ถ้าเป็นผ้าเช็ดหน้านั่นก็อาจเป็นไปได้”
“หรือว่า… แย่แล้วไง แบบนี้จะมัวเสียเวลาไม่ได้”
เฮ้ย เหตุผลบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้มันได้ผล แม่เจ้าช่วย สงสัยฟ้าจะเป็นใจ ปลอบใจฟ้าผู้นี้หลังจากโดนชีวิตมันเล่นงานอย่างชอกช้ำแน่ ๆ เลย
ไม่รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าที่ผมมโนมามันสำคัญมากอย่างไร แต่นั่นก็ทำให้พวกนั้นรีบวิ่งกันไปตามทางที่ผมชี้แบบไม่คิดจะถามอะไรอีกต่อไป นั่นมันทำให้ผมรู้สึกว่าความกลัวทั้งหมดกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา
ตุ๊บ
“เฮ้อ รอดแล้วเรา”
ขาของผมทรุดลงกับพื้นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนที่จะหันไปด้านหลังแล้วพูดกับถังขยะที่อยู่ด้านหลัง
“ปลอดภัยแล้วล่ะ ออกมาเถอะ”
“ขอบใจมาก ๆ”
เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้ผมหมุนตัวไปมอง เด็กสาวคนที่พึ่งชนผมเมื่อกี้ยืนออกมาจากมุมมืดที่หลบด้วยสีหน้าที่โล่งใจ แต่ดวงตาของเธอกลับเป็นประกายขี้เล่นเล็กน้อย
ตอนแรกก็ไม่ทันได้สังเกตอะไรชัดเจน จนเมื่อเธอหลบออกมาจากที่ซ่อนจึงเห็นเธอได้อย่างถนัดตา
เธอเป็นเด็กสาวที่มีผมสั้นสีดำยุ่ง ๆ ที่ดูไม่ค่อยใส่ใจในการจัดแต่งสักเท่าไหร่ ตัดสั้นแค่ระดับคอ บวกกับรูปร่างที่ดูแข็งแรงเหมือนคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผิวเธอค่อนข้างคล้ำเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะดูแลไม่ดี แต่เป็นเพราะคงใช้เวลาอยู่กลางแดดมากทีเดียว
“ต้องขอบคุณเธอที่ช่วยนะ ว่าแต่เป็นอะไรมากไหม ยืนไหวเหรอเปล่า”
เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยื่นมือออกมาแล้วพูดต่อ
“ถ้าไม่มีเธอช่วย ฉันคงโดนจับไปแล้วล่ะ”
“เอ่อ…งั้นเหรอ…ดีใจที่ได้ช่วยนะ”
ผมยิ้มแหย ๆ ทำตัวไม่ถูก เพราะจริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจช่วยอะไรขนาดนั้น…แค่กลัวว่าตัวเองจะโดนจับไปถ่วงอ่าวมากกว่า
“ดูจากชุดแล้วมาจากโรงเรียนเดียวกันนี่นา…ฉันชื่อบีม” เธอพูดขึ้นมาทันที ทำเอาผมอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ฟ้า..ค่ะ”
“ดีใจที่ได้เจอเธอนะ ฟ้า ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือ พอดีตอนนี้กำลังรีบ ถ้าเจอที่โรงเรียนเดี๋ยวเลี้ยงข้าวตอบแทนนะ ลาล่ะ”
บีมเหรอ… รู้สึกชื่อคุ้น ๆ คล้ายได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ….