ซวยจริง กลายเป็นสาวน้อยไม่พอยังเจอเหล่าเจ้าหญิงของโรงเรียนมาจีบอีก - ตอนที่ 10
ชีวิตของคนเรานั้นมันก็ช่างเต็มไปด้วยเรื่องที่ชวนกังวลอยู่เต็มไปหมด ปัญหาหนึ่งจากไป อีกปัญหาใหม่ก็ตามมา
ใช่ ตอนนี้ผมเองก็กำลังเผชิญกับปัญหาที่ว่านั่น…..
หลังจากที่คุณน้ำตกปากรับคำเรื่องการสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับด็อคเตอร์เฟรย์ให้ ความกังวลใจของผมก็หายไปพอสมควร ทำให้ผมกลับมามีสมาธิกับการเรียนอีกครั้งหนึ่ง ทว่าเมื่อเราพยายามสู้ชีวิตเมื่อไร ชีวิตนั้นมันก็จะสู้เรากลับ
และตอนนี้ไอ้ชีวิตที่เรียกว่าการเรียนนั้นมันกำลังพยายามสู้กับผมอยู่….
“แย่แล้วไง…แย่สุด ๆ”
“ฟ้าเป็นอะไรไปน่ะ ดูกังวลใจนะ”
เสียงอันคุ้นเคยถามอย่างเป้นกังวลใจเมื่อเจ้าของเสียงได้ยินเสียงถอนหายใจหลายครั้งหลายคราของผมอย่างไม่หยุดหย่อน
“พลอยเพื่อนรัก….. คือว่าเรา…เอ่อ”
ผมหันไปหาพลอย อดีตคนที่เคยทำลูกบอลลอยอัดหน้าผมมาเมื่อไม่นานนี้ ทว่ายามนี้นั้นพวกเราเริ่มที่จะสนิทกันขึ้นมาทีล่ะเล็กทีล่ะน้อยจนพอที่คนไม่เก่งการเข้าสังคมอย่างผมสามารถเรียกเธอว่าเพื่อนได้
พูดถึงเรื่องเพื่อน ก็ไม่รู้ว่าทำไมนอกจากคุณเจ้าชายและเจ้าหญิงของโรงเรียนแล้ว คนอื่น ๆ ถึงไม่กล้าเข้าใกล้ผมเลยสักนิด ส่วนใหญ่ก็มีแต่มองอยู่ห่าง ๆ แล้วกระซิบกระซาบจนผมเริ่มหลอนว่าทำอะไรผิดเหรอเปล่านะ
แต่ของแบบนี้ใครมันจะกล้าไปถามกันล่ะ!!สุดท้ายก็เลยได้แต่ปล่อยเบลอแล้วคุยเฉพาะกับคนที่มาคุยกับเราก็เท่านั้น…… น่าเศร้าจริงเชียวผม
“เรา…. เราทำอาหารไม่เป็น..”
ผมหันไปพร้อมทำหน้าตาราวกับอยากร้องไห้กับพลอยซึ่งเธอก็ได้แต่เอียงคอแล้วมองมาอย่างสงสัย
“แปลกจัง ดูแล้วนึกว่าฟ้าจะทำอาหารเก่งนะเนี่ย”
“ใช่อะไรในการตัดสินเนี่ย”
“ก็คนน่ารักมักทำอาหารเก่งไม่ใช่เหรอ”
“อึยยยยยย….”
แค่เจอชมนิดชมหน่อยก็หน้าแดง ไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหน ให้แต่สิจิตใจชายหนุ่มนี่มันช่างบอบบางเสียจริงเชียว แต่นั่นล่ะ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในวิชาทำอาหารซึ่งเป็นวิชาเลือกของโรงเรียนแห่งนี้
ใช่แล้ว วิชาเลือก… สิ่งที่โรงเรียนทั่วไปมักไม่ค่อยมีให้กัน จะมีก็เฉพาะกับแต่โรงเรียนบางส่วนเท่านั้นที่มีวิชาที่สนับสนุนตามความสนใจของเหล่านักเรียน ไม่ว่าจะเป็นสายวิทย์หรือศิลป์ ทั้งหมดสามารถแต่งแต้มได้ด้วยมือของเรา
เพียงแต่ในเคสของผม คนที่แต่งแต้มนั้นดันไม่ใช่ตัวผมเองแต่กลับเป็นพี่อีฟ ที่เป็นคนจัดสรรเลือกทุกอย่างให้ตั้งแต่ตอนลงทะเบียนเรียนที่แห่งนี้ซะนี่ แล้วนั่นล่ะคือประเด็น… ทำไมกันนะ ทำไมกัน ทำไมถึงต้องเป็นวิชาทำอาหารด้วย!!!
“การเป็นกุลสตรีที่ดีควรทำอาหารเป็นนะคะ”
“แต่เราเป็นผู้ชายนะ…”
“นี่ก็เพื่อการฝึกตนให้ชินเพื่อป้องกันความลับแตกค่ะ ต้องเป็นสาวน้อยที่ดีจนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบสูตรยา”
ตอนแรกก็อยากจะเถียงกลับไปอยู่หรอก แต่เมื่อเจอสายตาเพชรฆาตระดับที่ทั้งผมและท่านประธานต้องรีบวิ่งไปหลบหลังเก้าอี้ก็เลยได้แต่ตอบรับทั้งน้ำตาไปว่า…
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ….พี่สาว”
พี่อีฟนะพี่อีฟ กับเด็กชายน่าเศร้าที่วัน ๆ แค่ทำมาม่าประทังชีวิตได้ก็หรูมากพอแล้ว ส่งมาเข้าร่วมวิชาแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ไข่ไปประดับเกรดหรอก
“เอาน่า ๆ ฟ้าก็อย่าไปคิดมากเลย นี่มันวิชาลงเพื่อเอาเกรดนะ อาจารย์เขาไม่จริงจังอะไรขนาดนั้นหรอก”
วิชาเอาคะแนน ส่วนใหญ่ก็คือวิชาอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกที่ต้องเอาไปสอบเข้ามหาลัย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้เกรดกันง่าย ๆ นี่คือสิ่งที่พลอยบอกผมมา
“ทำมาม่าไปส่งมันจะได้คะแนนไหมนะ”
ผมเริ่มปลงใจกับชะตาชีวิตของตัวเอง ส่วนพลอยที่ได้ยินแบบนั้นก็เหงื่อตกพลางเกาหัว
“แบบนั้นมันก็เกินไปหน่อยนะ”
“ฮืออออ พลอยช่วยเราด้วยยยยย”
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี…อ๊ะ.. แย่แล้วสิ”
มือทั้งสองของผมได้จับชายเสื้อของพลอยก่อนจะเขย่าไปมาคล้ายกับเป็นการอ้อนเพื่อนคนนี้ ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มและยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบา ๆ แต่ว่าเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นมือของเธอก็ชะงักไป
“เป็นอะไรเหรอพลอย?”
ผมเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างสงสัย ก็พบกับใบหน้าของคุณเพื่อนที่ตอนนี้เริ่มเหงื่อตกและยิ้มแบบแห้ง ๆ ตอนแรกก็จะถามอยู่ว่าเป็นอะไรแต่ไม่นานผมก็รู้สาเหตุ
รังสีอันเย็นยะเยือกได้พุ่งตรงมายังพวกเราทั้งสองคนจนรู้สึกหนาวสันหลังวูบ ๆ พอจะหันไปหาต้นเหตุก็พบกับเด็กสาวผมทองที่ยืนยิ้มให้ด้วยใบหน้าอันงดงามประดุจเทพธิดาลงมาจุติ ทว่าไอสังหารที่ถูกปล่อยออกมานั้นมันช่างย้อนแย้งกับสีหน้าของเธอเหลือเกิน
ดวงตาสีฟ้าทะเลที่จ้องมาสะท้อนภาพของผมกับพลอยที่กำลังเล่นกันไปมาเหมือนเพื่อนสนิท รอยยิ้มที่มุมปากนั่นก็กระตุกเล็ก ๆ พร้อมกับมือบางที่กำกระทะในมือแน่น ทำเอาเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คุณเจ้าหญิงถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ดูเหมือนจะเล่นมากไปหน่อยเลยไปกระตุ้นต่อมหวงเข้าแล้วสิ….”
“ต่อมหวง?”
“เห้อ สงสารฟ้าจริง ๆ”
“เอ๋?”
พลอยถอยมือของตัวเองกลับก่อนค่อย ๆ ถอยห่างจากผมไปนิดหน่อย ส่วนผมก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น ทว่าช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวก็จบลงไปเมื่อมีเสียงของอาจารย์แทรกเข้ามา
“เอาล่ะค่ะทุกคน! ได้เวลาลงมือทำอาหารแล้วนะคะ”
เสียงคุณครูประจำวิชาทำอาหารดังขึ้นพร้อมกับบรรยากาศในห้องที่เริ่มครึกครื้น หลายคนเริ่มพูดคุยกันซึ่งอาจารย์ก็เป็นกันเองพอโดยไม่ได้ว่าอะไร จากนั้นนักเรียนแต่ละคนเริ่มเตรียมเครื่องมือและส่วนผสมเพื่อจะทำเมนูในวันนี้ซึ่งถูกเขียนอยู่ที่หน้าโต๊ะ ส่วนตัวผม…
ก็ยังคงยืนงงอยู่หน้าชุดเครื่องครัวของตัวเองแบบนั้นแหละ….
“พลอย…เราต้องทำยังไงต่ออะ”
ผมหันไปกระซิบถามพลอยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความกังวลอย่างที่สุด
“เอาน่า ฟ้าไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ทำง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ใช่สอบซะหน่อย ไม่ต้องกลัวหรอก”
พลอยพูดพร้อมกับยิ้มปลอบ ผมพยักหน้าอย่างจำใจก่อนจะมองไปที่เมนูอาหารที่อาจารย์ให้ทำวันนี้
“เมนูวันนี้: ข้าวผัดไข่”
เมนูโคตรง่ายระดับเด็กน้อยก็สามารถทำกินเองได้ที่บ้าน ทว่ามันช่างน่าเศร้าที่ไอ้เจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้นั้นได้แต่ยืนอ้าปากค้าง…. งานช้างชัด ๆ
ทำไงดีเนี่ย…..
ไม่สิ พลอยก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่การสอบ แค่ทำพอเอาให้ไม่ขายหน้าชาวบ้านชาวช่องก็พอสินะ…. ก็ยังยากอยู่ดีอะ
“ข้าว ไข่….กระเทียม หัวหอม….”
ผมพยายามตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอน แน่นอนว่าคุณครูท่านก็มีทำให้ดูเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก แต่ว่าช่างน่าเศร้า ทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่เข้าสมองของผมเลยแม้แต่น้อย
“พลอยช่วยหน่อยสิ~”
“เอ๋ แต่ว่าอาจารย์ก็เพิ่งสอนไปเองนะฟ้า บอกแล้วว่าไม่ต้องเครียด ทำในแบบที่ฟ้าชอบเลยนะ”
ไม่เพียงแค่พูดแบบนั้นแต่พลอยยังชูนิ้วโป้งแล้วยิ้มให้ ซึ่งอันที่จริงแล้วที่พวกเราได้มานั่งข้างกันนั้นเป็นผลมาจากการจับกลุ่มของอาจารย์โดยให้คนหนึ่งเป็นคนเตรียมของ ส่วนอีกคนเป็นคนทำอาหาร ซึ่งทั้งหมดมาจากการจับฉลาก ผลก็เลยทำให้ผมมาอยู่ในสภาพนี้
ตอนแรกก็ขอสลับตำแหน่งกับเจ้าตัวแล้วแต่เจ้าตัวก็ยืนกรานว่าอยากลองชิมอาหารฝีมือผมดู แน่นอนว่าพลอยไม่รู้หรอกว่าหายนะอะไรที่กำลังรออยู่น่ะ
“เอาไงเอากัน!!!”
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใด พร้อมกับสายตาอันแสนคาดหวังของเพื่อนรัก สุดท้ายมันก็กดดันให้ผมยอมทำในสิ่งที่ตัวเองพยายามหลีกเลี่ยงมันมาโดยตลอด….. การทำอาหาร
การทำอาหารเริ่มต้นเมื่อผมเริ่มหยิบกระทะขึ้นมา และความพินาศแรกก็เกิดขึ้นเพราะการจัดการกับไฟที่เตามันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด ผมเปิดไฟแรงเกินจนไฟแทบพุ่งออกมาเป็นทะเลเพลิง ทว่าทุกคนกลับไม่มีใครตกใจหรือแตกตื่น เพียงแต่ปรบมือแล้วบอกว่า
“โห ฟ้าสุดยอดเลย มีโชว์ก่อนทำอาหารด้วย”
“แบบนี้ฝีมือแม่ครัวมือหนึ่งแน่ ๆ”
ใจเย็นก่อนนะเพื่อน ๆ เอาตาที่ไหนมาดูว่าผมแสดงโชว์ทำอาหารสุดจริงจังกันน่ะ ทั้งหมดมันก็แค่เปิดไฟพลาดนะ หรือว่านี่พวกเธอพูดเพราะไม่อยากให้ผมเสียใจกันแน่เนี่ย
ทว่าเมื่อดูจากปฏิกิริยาเพื่อนรักที่ชูนิ้วโป้งให้ประดุจว่าทำได้เยี่ยมนั่น คงสรุปได้ว่าทุกคนคงเห็นว่าผมกำลังโชว์กายกรรมทำอาหารอยู่แหง ๆ
“ณัฐชา ครูรู้ว่าเธอมีฝีมือ แต่นี่มันออกจะอันตรายเกินไปหน่อยนะจ้ะ”
“ขะ..ขอโทษค่ะ”
ผมพยายามหรี่ไฟลงอย่างรวดเร็วเมื่อเจอสายตาที่จ้องมาของคุณครู และก็กลับมาโฟกัสที่หน้าเตาของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
“โอเค… ขั้นต่อไปต้องผัดกระเทียม”
ผมพูดกับตัวเองพลางหยิบกระเทียมที่พลอยเตรียมาใส่ลงไปอย่างทุลักทุเล ความร้อนทำเอาให้ผมรีบปากระเทียมเข้าไปในกระทะแบบประดุจคนปาลูกโป่ง ทว่ารอไปสักพักหนึ่งก็ได้กลิ่นไหม้ ๆ โชยออกมาจากกระทะซึ่งนั่นคือเจ้ากระเทียมที่ผมใส่ไปเมื่อครู่นี้
“เอ๊ะ…ไหม้เร็วเกิ้นนนนน!…งั้นนี่ ข้าวไปดับร้อนแล้วกันเอ้า!!”
ผมรีบโยนข้าวลงไปในกระทะแบบสะเปะสะปะ หวังว่าจะช่วยกลบกลิ่นไหม้ของกระเทียมได้บ้าง และเมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มชักจะไปไม่รอดก็เลยคว้าไม้ตายลับอย่างหนึ่งออกมานั่นคือมือถือ
ไม่รอช้าผมรีบเปิดเข้ายูทูปแล้วหาคลิปทำอาหารมาทันที แต่อนิจจังสงสัยจะหานานไปหน่อย จนผมเผลอทิ้งข้าวคากระทะนานไปจนสุดท้ายก็เลย….
“ข้าวติดกระทะ!!พลอย ข้าวมันติดกระทะแล้วอะ”
“ใจเย็นนะฟ้า ใช้ตะหลิวพลิกข้าวสิ”
ผมพยายามใช้ตะหลิวพลิกข้าวตามที่พลอยบอกอย่างทุลักทุเล เสียงดัง “กรีด ๆ ” ของข้าวที่ติดกระทะทำให้ผมเหงื่อตก ดูทรงแล้วข้าวน่าจะไหม้ไปเกินกว่าครึ่ง งานนี้สงสัยอาจารย์น่าจะได้ทานข้าวเกรียบแทนข้าวผัดซะแล้ว
และก็มาถึงช่วงท้ายของการทำนั่นคือการปรุงรสของอาหาร แน่นอนว่าพอตักข้าวแล้วลองชิม สิ่งแรกที่ได้รับรู้คือสัมผัสกรอบ ๆ ของข้าวที่ไหม้เกรียม พร้อมกัน กลิ่นของมันก็ลอยมาแตะจมูกซะจนไม่ชวนทาน หนำซ้ำยังมีรสชาติจืดสนิทด้วยความที่ใส่เครื่องปรุงไม่พอ
ตายแล้ว ๆ งานนี้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บแน่เลย….
แต่แล้วตอนนั้นเอง ตอนที่ความสิ้นหวังกำลังจะปกคลุมตัวผม ทางสว่างของชีวิตก็ได้ฉายออกมาเมื่อมีถุง ๆ หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงข้างหน้า ถุงที่มีรูปชามข้าวและบรรจุไปด้วยผลึกสีขาวเหลี่ยม ๆ จำนวนมาก
ตำนานว่าไว้ ใส่มากเท่าไหร่ก็อร่อยมากเท่านั้น…เพราะงั้น…
ไม่รอช้า ผมรีบคว้าถุงเครื่องปรุงรสมหัศจรรย์ออกมาก่อนจะทำการ เท… ย้ำว่าเท ลงไป ใช่ ผมอาศัยจังหวะที่คนอื่นมองไม่เห็นนี้ จัดการเทกระหน่ำผงชูรสจำนวนมากลงไปในกระทะข้าวผัดของตัวเอง
“ฟ้า..เมื่อกี้นี้….”
“สูตรลับ…อืม สูตรลับ”
ผมหันไปมองหน้าพลอยที่ตอนนี้กำลังชี้ไปที่ถุงซึ่งผมแอบซ่อนอยู่บ้างหลัง โดยเธอมองสลับไปมาระหว่างผมกับกระทะก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่น ๆ
“ไตมันจะวายเอานะจ้ะ”
“รู้จักกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมไหมพลอย…. ความอร่อยแลกสุขภาพน่ะ”
“ไม่น่าจะมีหลักการแบบนั้นอยู่ในโลกนะ”
“ขอโทษนะคะ ขอชิมหน่อยได้ไหมคะ”
ไม่ทันที่พลอยจะได้พูดอะไร จู่ ๆ ก็มีเสียงใส ๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลังก่อนจะปรากฏร่างของคุณน้ำที่ตอนนี้กำลังใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูดสุดน่ารัก เธอกำลังมองมาระหว่างพวกเราและข้าวที่วางอยู่ในกระทะ
“เอ่อ คือว่า…..”
“ไม่ได้เหรอคะ?”
ด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของผู้บริโภค ทำให้พลอยจะเดินไปห้ามทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นที่น้ำพูดซ้ำขึ้นมา พลอยก็ถอยไปก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เอ่อ…แล้วแต่น้ำเลยแล้วกันจ๊ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“คุณน้ำจะทานจริงเหรอ เอ่อคือว่า… ฝีมือเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะไม่ค่อยถูกปากคุณน้ำหรอกนะ”
ผมมองสลับไปมาระหว่างข้าวผัดโซเดี่ยมสูตรพิเศษกับคุณเจ้าหญิง โดยในใจก็ได้แต่เป็นห่วงว่าถ้าให้เธอกินเข้าไป ไตของคุณเจ้าหญิงตรงหน้าจะแหกเอาเหรอเปล่า
“ไม่หรอกค่ะ อาหารที่คุณฟ้าทำน่ะ ต้องอร่อยอยู่แล้วล่ะ มั่นใจหน่อยสิคะ”
ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน!!!!!
ตอนนั้นเองที่เธอได้เดินเข้าไปใกล้จานข้าวผัดที่ถูกวางเอาไว้ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาแล้วยื่นมันไปตักข้าวผัดจานนั้นขึ้นมา ทำเอาหัวใจของผมเต้นสั่นแรงไปทุกขณะจิต ความหวาดกลัวในความผิดพลาดค่อย ๆ รุมเร้าผมเข้ามาเรื่อย ๆ
ไม่ดีแล้ว ๆ งานนี้คุณน้ำผิดหวังแน่ ๆ เลย
งับ
ข้าวได้ผ่านเข้าไปในปากก่อนที่ปากบาง ๆ นั่นจะค่อย ๆ เคี้ยวข้าวสีน้ำตาลไหม้ ซึ่งผมก็ได้ยินเสียงของบางอย่างแตกหักคล้ายข้าวเกรียบโดยบี้ดังออกมาจากแม่หล่อน เธอเคี้ยวมันอย่างช้า ๆ ก่อนที่สุดท้ายจะยิ้มออกมา
“อร่อยมาก ๆ เลยค่ะฟ้า”
“เอ๋… จริงเหรอ”
ได้ยินแบบนั้น จู่ ๆ ใจของผมที่มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็ฟูขึ้นมาอย่างมีความหวัง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีใครสักคนมาชมว่าอาหารของผมอร่อย ว่าแต่ทำไมกันนะ ทำไมมือของคุณน้ำถึงสั่นแปลก ๆ
“ถึงจะลิ้นชาไปหน่อยแต่ว่าอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ เก่งมากค่ะคุณฟ้า”
“งั้นเหรอ ดีใจนะที่ได้ยินแบบนั้นน่ะ”
ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อได้รับคำชมจากคุณน้ำ
“ความรักบังลิ้นเหรอเนี่ย…..”
พลอยที่มองเหตุการณ์อยู่ได้พูดพึมพำบางอย่างด้วยเสียงที่เบาก่อนมองไปที่คุณน้ำด้วยสีหน้าหวั่น ๆ และถอนหายใจออกมา
“ที่เหลือก็อาจารย์สินะ…. สงสารท่านแท้ ๆ”
คุณครูประจำวิชาทำอาหารก็เดินมาตรวจผลงานของนักเรียนแต่ละคน แล้วก็ถึงคราวของผมและพลอย คุณครูหยุดมองจานของพวกเราก่อนจะมองสำรวจดูทั่ว ๆ
“กลิ่นหอมพอใช้ได้ แต่ข้าวออกจะ….ติดกระทะเยอะไปหน่อยนะคะณัฐชา”
คุณครูมองไปที่กระทะซึ่งมีเศษซากของอารยธรรมที่พังพินาศวางกองอยู่เต็มกระทะไปหมด ซึ่งนั่นก็คือข้าวจำนวนมากที่กลายเป็นสีดำทะมึนประดุจโดนไฟไหม้มาก็ไม่ปาน
“เอ่อ… พอดีไม่ค่อยชินอุปกรณ์เท่าไหร่น่ะค่ะ”
“งั้นเหรอคะ สงสัยจะถนัดเตาไฟฟ้าสินะคะ”
“ประมาณนั้นค่ะ”
ผมตอบไปพลางหลบสายตาของคุณครูที่จ้องมา ซึ่งอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากนอกจากจะใช้ช้อนของเธอตักเข้าไปที่ข้าวของผมที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้โดยเป็นส่วนที่ดีที่สุดเท่าที่พลอยจะพยายามคัดออกมาให้ได้แล้วจากเศษซากอารยธรรมข้าวผัดในกระทะ
ทันทีที่คุณครูตักข้าวผัดสูตรพิเศษของผมเข้าปาก เหตุการณ์ทั้งหมดราวกับถูกหยุดลงด้วยเวทมนตร์ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ครูอย่างลุ้นระทึก พอช้อนเข้าปากปุ๊บ ครูนิ่งไปชั่วขณะ ทุกคนกลั้นหายใจ
แล้วทันใดนั้น…
ปึง! ครูวางช้อนลงอย่างแรง ก่อนที่ใบหน้าของครูจะเริ่มเปล่งประกาย ตาของครูเบิกโพลง เหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนเมฆสายไหม สายตาของครูเป็นประกาย เหมือนกับได้ลิ้มรสอาหารแห่งสวรรค์! ริมฝีปากของครูสั่นระริก ราวกับกำลังพยายามหาคำพูดออกมา
“อร่อย… อร่อยมาก!!” ครูตะโกนขึ้นด้วยความทึ่งเหมือนพบกับโอเอซิสกลางทะเลทราย เสียงนั้นดังก้องทั่วห้อง ทุกคนเริ่มหันมามองหน้าผมอย่างงุนงง
“รสชาติกลมกล่อม… ทั้งที่ข้าวมีทั้งกลิ่นไหม้ ทั้งแข็งและกรอบไม่ต่างจากข้าวเกรียบ แต่ทำไมอร่อยขนาดนี้!” ครูพูดพลางตักข้าวเข้าปากอีกคำด้วยความรวดเร็ว
แต่ทันใดนั้น… ปึง!! ช้อนกระแทกจานอีกครั้ง!
ครูเริ่มสั่น ใบหน้าของครูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด และน้ำตาเริ่มไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
“อ๊าาาาาา!!”
ครูร้องเสียงดัง พร้อมกับมือที่จับคออย่างแรง
“ลิ้น…ลิ้นของครูมันกำลังชา ชาไปหมด!!!”
ครูตะโกนอย่างกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับพายุคลื่นยักษ์!
“ณัฐชา เธอใส่อะไรลงไปในข้าวผัดนี่กัน!!”
“เอ่อ ผงชูรสนิดหน่อยค่ะ”
คุณครูเบิกตาโพรง
“อร่อยมาก… แต่!!! ผงชูรสงั้นเหรอณัฐชา…แย่แล้ว ผงชูรสมันกำลังล้นทะลักออกมาจากทุกอณูข้าว!!” ครูน้ำตาไหลพราก แต่ยังตักข้าวเข้าปากอีกคำอย่างลุกลี้ลุกลน
“อร่อยแต่ลิ้นครูชาไปหมดแล้ว.. นี่เธอใส่ไปมากขนาดไหนกันณัฐชา!!”
“นิดหน่อยค่ะ”
ครึ่งถุง…….
ปัง
“ดีค่ะ…ครูให้ผ่าน แต่ว่านะคะญัฐชา ครั้งหน้าครูขอล่ะ ถ้าเธอยังห่วงสุขภาพครูล่ะก็นะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ.. แหะ ๆ”