ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย - ตอนที่ 733 กัดฟันทน? / ตอนที่ 734 คำแนะนำจากใจจริง
- Home
- ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย
- ตอนที่ 733 กัดฟันทน? / ตอนที่ 734 คำแนะนำจากใจจริง
ตอนที่ 733 กัดฟันทน?
เฉินฝานซิงเองก็หยัดกายลุกขึ้นเช่นกัน ไอเย็นแผ่ขยายออกมาในชั่วอึดใจ รังสีอันแข็งแกร่งที่แผ่อยู่รอบกาย ทำเอาทุกๆ คนรู้สึกกดดันจนหายใจลำบาก
“ถอนคำพูดเมื่อกี้เดี๋ยวนี้!”
“ฉันไม่ถอนแล้วจะทำไม เธอจะตบฉันงั้นเหรอ”
แกร๊ก เฉินฝานซิงโยนโทรศัพท์ลงไปบนโต๊ะน้ำชา ก่อนจะตรงเข้าหาหลินเฟยเฟย
“เธอวอนหาเรื่องเองนะ ฉันจะพูดอีกครั้งเดียว ถอนคำพูดเมื่อกี้ของเธอซะ!”
“ฉัน…”
สุดท้ายหลินเฟยเฟยก็ผวาถอยกลับไปสองก้าว ทว่าปากคอยังไม่ยอมอ่อนตาม
“พอได้แล้ว!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเดือดดาล เป็นเสียงอันดุดันของเจียงหรงหรง “แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่บ้านสกุลซู แกช่วยดูกาลเทศะด้วย!”
“กาลเทศะอะไร หรือเพราะที่นี่สกุลซูมีคนอยู่เยอะ ฉันถึงต้อง ‘กัดฟันทน’”
“เฉินฝานซิง!”
“ฉันก็อยู่นี่ไง! อย่าคิดจะมาเตือนกันหน่อยเลย วันนี้คุณมาขวางฉันไว้ตรงหน้าประตูบริษัท ก็ต้องคิดถึงสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะที่จะไว้หน้าพวกคุณในวันนี้ แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนไม่ชินกับการสงบศึกที่เกิดขึ้นได้ยากของเรา!”
ว่าพลาง สายตาเยือกเย็นและเชือดเฉือนของเธอก็เสียดแทงไปยังหลินเฟยเฟยอีกครั้ง เธอถอดกรูดไปซบกับเฉินเชียนโหรวอย่างรวดเร็ว
“เฟยเฟย รีบขอโทษสิ!”
ในตอนนั้นเองซูเหิงก็รีบปรี่เข้ามา มองไปยังหลินเฟยเฟยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่! ทำไมถึงไปช่วยมันล่ะ”
“เพราะคนที่เริ่มก่อนคือเธอ!”
“ฉัน…”
หลินเฟยเฟยโกรธจัด หากเธอยอมตอนนี้ ก็เสียหน้าน่ะสิ
“เอาเถอะๆ ฝานซิงจ๊ะ เมื่อกี้เฟยเฟยผิดไปแล้ว ฉันต้องขอโทษแทนเฟยเฟยด้วยนะจ๊ะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกทีนะ…”
เฉินฝานซิงหรี่ตาลง เธอแอบรู้สึกเกลียดที่ไม่อาจแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ในขณะนี้
อยู่กับคนพวกนี้นานเกินไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ถูกทำให้นิสัยเหมือนกัน
ราวกับเธอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนรอบตัวเฉินเชียนโหรวถึงได้สุดยอดกันได้ถึงขนาดนี้
ทว่าเมื่อต้องพูดถึงธาตุแท้ของคนพวกนี้ สุดท้ายคนที่ต้องใบ้รับประทานก็กลับกลายเป็นตัวเธอเสียเอง
“คุณนายซู ก็แค่คำขอโทษไม่กี่คำ พูดออกมาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ ไม่พูดซะยังดีกว่า มันเสียเวลา ลุงป้าน้าอาเยอะขนาดนี้ ลำบากพวกเขาต้องมารอเธออยู่คนเดียว”
“เฉินฝานซิง อย่าให้มันเกินไปนะ!”
“หืม?” เฉินฝานซิงหันไปเธออย่างไม่แยแส นัยน์ตาทั้งคู่ย้อมไปด้วยความเยือกเย็น ความรู้สึกกดดันเช่นนั้นทำให้บรรยากาศตึงเครียดไปครู่หนึ่ง
“เฟยเฟย! ขอโทษเดี๋ยวนี้!” ซูเหิงพลันข่มเสียงต่ำด้วยความโกรธ อารมณ์บนใบหน้าถูกฉาบไปด้วยพายุน้ำแข็ง
“พี่!”
“เฟยเฟย...”
ในตอนนั้นเองเฉินเชียนโหรวก็ได้เดินเข้ามาคล้องแขนเข้าเอาไว้อย่างอบอุ่นและสนิทสนม พลางเอ่ยเสียงเบาว่า
“เฟยเฟย เมื่อกี้น่ะเกินไปแล้วจริงๆ นะ ถึงยังไงนั่นก็พี่สาวของเพื่อนนะ…เรื่องนี้ พูดจาแบบนี้ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ได้ยังไงกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อยากได้ยินทั้งนั้น…ขอโทษพี่เขาไปก่อนเถอะ…”
เฉินเชียนโหรวไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่หลินเฟยเฟยพูด เพียงแค่ย้ำไม่ให้หลินเฟยเฟยทำให้สกุลซูขายหน้าต่อไปเพียงเท่านั้น
คำพูดนี้ ทุกคนที่นั่นไม่มีใครฟังไม่ออก ซูเหิงเองก็ขมวดคิ้วเบาๆ พร้อมทั้งมองไปยังเฉินเชียนโหรววูบหนึ่ง
ทว่าเฉินเชียนโหรวกลับมองไปยังหลินเฟยเฟยอย่างไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังปรามเธออย่างหน่ายใจ
เฉินฝานซิงเป็นพี่สาวของเธอ ทว่าบางคำพูดของเธอกลับแฝงไปด้วยความหยามเหยียดต่อเฉินฝานซิง ราวกับจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ประมาณว่า ‘คนเลวในสกุลฉันคนนี้ เธออย่าลดตัวลงไปทะเลาะด้วยเลย’ อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าเธอหยามเฉินฝานซิงเช่นนี้ หลินเฟยเฟยก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
“เอาละๆ จริงๆ ฉันก็ไม่ควรจะพูดแบบนั้นต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้ เอาละ ฉันขอโทษ! ขอโทษ โอเคไหม”
ขอโทษอย่างอย่างกำกวม
แต่ที่สำคัญเธอไม่ได้ขอโทษเธอเพราะเธอดูถูกเพื่อนของเฉินฝานซิง ภายใต้การยุยงอันชาญฉลาดของเฉินเชียนโหรว มันได้กลายเป็นว่าไม่ควรพูดจาเช่นนี้ในสถานการณ์เช่นนี้
เฉินฝานซิงจ้องหลินเฟยเฟยเรียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง “ขอโทษเรื่องอะไร”
ความเจ้าคิดเจ้าแค้นในใจของเฉินเชียนโหรว ทำไมเธอจะมองไม่ออก
ไหนๆ ก็มองออกแล้ว เธอจะปล่อยไปได้อย่างไร
“เธอ…”
ความได้ใจบนใบหน้าของหลินเฟยเฟยยังคงไม่จางหายไป ทว่ากลับถูกคำพูดของเฉินฝานซิงขัดอารมณ์จนหน้าเครียดขรึมลง
เฉินเชียนโหรวเองก็ตีคิ้วขมวด “พี่คะ เมื่อกี้เฟยเฟยก็ขอโทษไปแล้ว วันนี้…ให้เลิกแล้วต่อกันไปได้ไหมคะ…”
“อะไรที่เรียกว่าเลิกแล้วกันไป ฉันกับพวกเธอมีความสัมพันธ์อะไรที่คู่ควรที่จะประนีประนอมงั้นเหรอ”
สีหน้าของเฉินเชียนโหรวขรึมลงเล็กน้อย เธอหันมองซูเหิงที่อยู่ข้างๆ พลางขบฟันด้วยความเจ็บใจ
ซูเหิงขยับปาก “ฝานซิง…”
เฉินฝานซิงไม่ขยับคิ้วและดวงตา เสียงเย็นเอ่ยขึ้นต่อว่า
“อยากจะเป็นคนดีไม่ใช่รึไง งั้นก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลยสิ ทำไมเธอต้องขอโทษฉัน”
เฉินเชียนโหรวยืนอยู่ที่เดิม อย่างทำตัวไม่ถูก
“เฉินฝานซิง แกจะมากไปแล้วนะ! อย่าโอหังให้มันมากนัก!”
“หลินเฟยเฟย” ซูเหิงขึ้นเสียงอีกครั้ง “ขืนยังก่อเรื่องไม่เลิก ก็ไสหัวกลับคฤหาสน์ของเธอไปซะ!”
“พี่คะ!”
“ระยะเวลากักบริเวณของเธอยังน้อยไปใช่ไหม”
“พี่…พี่ทำเกินไปแล้วนะ! พี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้เฉินโหรวเป็นเมียพี่แล้ว พี่ปกป้องผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเธอแบบนี้ แล้ว…แล้วก็ยังไม่ไว้หน้าใครอีก พี่เห็นเชียนโหรวเป็นอะไร!”
“ออกไปซะ!”
ซูเหิงไม่พูดอะไรอีก เขาออกคำสั่งด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
น้ำเสียงเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ไช่จิ้งอี๋จึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจอีกครั้ง “อย่าทะเลาะกันอีกได้ไหม ไม่เห็นเหรอว่าวันนี้เป็นวันอะไร สรุปว่าเธอยังสติดีอยู่ไหม!”
เจียงหรงหรงเองก็สีหน้าหวาดหวั่นไม่แพ้กัน
สายตาดุดันกราดมองไปยังเฉินฝานซิง “แกสนุกพอรึยัง ไม่คิดว่าตัวเองเป็นเรื่องตลกเหรอ”
“ไม่รู้สึก! ปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกก็ไม่ใช่ฉันน่ะสิ ขนาดไม้กวนปุ๋ยคอกที่ก่อเรื่องขึ้นมายังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเรื่องตลกเลย ทำไมฉันต้องรู้สึกด้วยล่ะ”
ไม้กวนปุ๋ยคอกที่ก่อเรื่องขึ้นมา
หากไม่ใช่หลินเฟยเฟยและเฉินเชียนโหรวจะหมายถึงใครไปได้อีก
เฉินฝานซิงเองก็ไม่รู้จะง้างปากของหลินเฟยเฟยได้อย่างไร จึงทำได้เพียงตาต่อตาฟันต่อฟัน
สรุปว่าการจะทำให้เธออมทุกข์นั้นคือเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
“คำพูดจากปากอีกาในฝูงหงส์คำนี้ ฉันขอคืนให้เธอสภาพเดิม เธอเป็นสิ่งของพรรค์ไหน คนรอบข้างเธอก็เป็นสิ่งของพรรค์นั้น ฉันมองออกอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า การที่เธอกับเฉินเชียนโหรวจะกลายเป็นเพื่อนกันมันก็ไม่แปลกอะไรหรอก”
คำพูดนี้ทำเอาคนฟังดีใจไม่ลงแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คำพูดที่น่าฟังอะไรนัก
“เอาละๆ รีบกินข้าวกันได้แล้ว อายุเท่าไหร่กันแล้ว ยังจะทำตัวเหมือนเด็กๆ กันอยู่ได้ หรือต้องให้ลงไม้ลงมือกันก่อนถึงจะเข้าใจ ฮะ”
ในตอนนั้นเอง น้ำเสียงซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะเจือไปด้วยอารมณ์ขัน เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมองขึ้นไป ความเยือกเย็นในแววตานั้นสงบลงหลายส่วน
ซูข่ง ปู่ของซูเหิง
ก่อนหน้านี้เขาดีกับเธออยู่ไม่น้อย
“คุณปู่!”
เฉินเชียนโหรวร้องเรียกเสียงหนึ่ง สีหน้าซีดลงเล็กน้อย บนใบหน้าเล็กฉายแววอึดอัด
ตอนที่ 734 คำแนะนำจากใจจริง
เฉินเชียนโหรวร้องเรียกเสียงหนึ่ง สีหน้าซีดลงเล็กน้อย บนใบหน้าเล็กฉายแววอึดอัด
ซูข่งพยักหน้ารับเรียบๆ เขาเคลื่อนสายตามองไปยังเฉินฝานซิง พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น
“หนูฝานซิง ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เฉินฝานซิงคลี่ยิ้ม “คุณปู่ซู…”
คุณปู่ซู?
ซูข่งนิ่งเงียบไป ก่อนหน้านี้เธอเคยเรียกเขาว่าคุณปู่
เขามองไปยังท่าทางเด็ดเดี่ยวและเย็นชาของเธอ จากนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหน็ดหน่าย ก่อนจะกวักมือ “ไปกินข้าวที่ห้องอาหารกันเถอะ”
ซูข่งปรากฏตัวออกมา บรรยากาศก็พลันอบอุ่นขึ้น แต่ทว่าก็แอบอึดอัดอยู่เล็กน้อย
เพราะเป็นถึงประมุขของบ้าน เขาจึงยังคงไม่ละทิ้งความเข้มงวด
เฉินฝานซิงยังคงไว้หน้าของซูข่ง
อีกอย่าง ตอนนี้เรื่องนี้ราวกับว่าเธอจะไม่เสียเปรียบ
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสถานะการโทรอีกครั้ง การสนทนาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
เธอเพ่งมองมันวูบหนึ่ง จากนั้นจึงปิดหน้าจอมือถือลงแล้วทิ้งมันลงกระเป๋าไป
เธอไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีกต่อไป คนกลุ่มหนึ่งทยอยเดินไปยังห้องอาหาร
แต่เธอสิ่งที่เธอไม่รู้นั่นก็คือ ตอนนี้ในกลุ่มวีแชทนั้นกำลังเดือดปุดๆ
สวี่ฮั่น: [ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพี่สะใภ้ของเรากำลังถูกรังแกวะ]
ซั่งชีชี: [แถมยังโดนรุมอีกต่างหาก!]
อินรุ่ยเจวี๋ย: [แม่งเอ๊ย ทำไมพี่สะใภ้ต้องไปบ้านสกุลซูด้วย]
ลู่เส้าเชียน: [บ้านสกุลซูไหน]
ลี่ถิงเซิน: [สกุลซู บ้านอดีตคู่หมั้นของเฉินฝานซิง]
สมาชิกทุกคน: […]
ซั่งชิงม่อ: [เหมือนฉันจะได้ยินคนด่าพวกเราเป็นขยะนะ!]
อินรุ่ยเจวี๋ย: [ไป! พวกเราออกโรง!]
–
การปฏิบัติตัวต่อเธอและเฉินฝานซิงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดของซูข่ง ทำเอาเฉินเชียนโหรวรู้สึกพะว้าพะวัง
ในใจก็รู้สึกไม่สงบสุข
ซูข่งรู้สึกเอ็นดูเฉินฝานซิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นคนที่เขาพึงพอใจจะให้เป็นหลานสะใภ้มากที่สุด ตอนนั้นการเสนอให้ซูเหิงหมั้นหมายกับเฉินฝานซิงก็เป็นความคิดของเขา
กลัวว่าในสายตาของเขา เขาจะไม่พอใจกับการที่เธอเข้ามาแทรกกลาง
ซูข่งและเจียงหรงหรงพูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็ย่อมจะต้องมีเรื่องที่พูดคุยกันถูกคอเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้พวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่ว่าภายในลึกๆ นั้นจะคิดเช่นไร ทว่าภายนอกนั้นก็จำเป็นที่จะต้องแสดงด้านที่ดีออกมา
ในอาหารมื้อหนึ่ง หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอย่าง เป็นสิ่งที่พบบ่อยที่สุดในการเข้าสังคม วันนี้เฉินฝานซิงได้เห็นมันทั้งหมดบนโต๊ะอาหารมื้อนี้
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว คนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันในห้องรับแขกอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำลากันหลังจากที่ได้พูดคุยสนทนากันไปแล้วเล็กๆ น้อยๆ
คือนี้เฉินฝานซิงรับประทานได้ค่อนข้างเยอะ
ไม่ใช่เพราะเธอตะกละเพราะที่สกุลซูมีแต่ของอร่อย แต่เป็นเพราะสกุลนี้มีละครให้ดูเยอะดี เธอในฐานะผู้ชม จึงคิดเสียว่าอาหารนั้นคือแตงโมเอามาแทะเล่น
“เชียนโหรว ผลงานในการแข่งขันครั้งนี้ ดูๆ แล้วคงไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ตอนนี้เราเริ่มผลิตเป็นสินค้าเลยดีกว่าไหม พอตอนนั้นเชียนโหรวคว้ารางวัลกลับมาแล้ว เราก็ฉวยโอกาสจากกระแสความดังนี้ วางสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดไปเลยเป็นไง”
เมื่อไช่จิ้งอี๋เห็นซูปิ่งโย่วพูดเช่นนั้น แม้ว่าปกติตัวเธอเองจะไม่เคยได้ไถ่ถามเรื่องในบริษัทมาก่อนเลย แต่ข้อเสนอนี้เธอเองก็คิดว่ามันใช้ได้เลยทีเดียว
“ผลการแข่งขันยังไม่ออกมาเลย จะลงทุนกับการผลิตไปตอนนี้ มันยังเร็วเกินไป ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน ตอนนี้ไม่ต้องกังวลก่อน!”
ซูปิ่งโย่วยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เสียงของซูข่งก็ดังขึ้น
และสีหน้าเองก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“คุณตาคะ ทำไมต้องรอให้ผลการแข่งขันออกก่อนล่ะคะ เชียนโหรวเองก็มั่นใจแล้วว่าผลการแข่งขันครั้งนี้มีโอกาสสูงมาก ทุบสติของมิเชลล์ รุ่นพี่ของเธอคนนั้นที่เคยคว้าแชมป์โลกสองสองสมัยติดๆ กันไปแล้ว แบบนี้ยังต้องรอให้ประกาศผลรางวัลอยู่อีกเหรอคะ หรือต่อให้เฉินเชียนโหรวไม่เป็นแชมป์ แต่ก็ต้องติดอันดับหนึ่งในสามอยู่ดี แต่ไม่ว่าจะได้ที่เท่าไหร่ เรื่องการร่วมมือกันระหว่างสกุลซูกับสกุลป๋อก็ได้ปักหมุดลงบนกระดานไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเราเริ่มผลิตเร็วสักหน่อย ช่วงเวลาที่ประหยัดไปก็มีความสัมพันธ์อันใหญ่หลวงกับยอดขายนะคะ!”
“ถึงตอนนั้นขืนช้าไปก้าวเดียว ต่อให้เป็นกระแสมากแค่ไหนก็เสียเปรียบ อีกอย่างระหว่างที่รอ จะต้องเสียลูกค้าไปมากแล้วแน่ๆ…”
ที่หลินเฟยเฟยพูดมาก็มีเหตุผล นัยน์ตาของเฉินเชียนโหรวฉาบทับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
ในตอนนี้ ผลประโยชน์เหล่านี้ในมือของเธอยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ตัวอย่างเช่น เธอไม่ต้องออกปากขอความคิดเห็นจากใคร หากเธอบอกว่าจะเริ่มลงทุนผลิต ก็ไม่มีใครที่จะลุกขึ้นมาคัดค้านเธอได้
ซูข่งผูกคิ้วชนกัน นัยน์ตาหลักแหลมมองไปยังซูเหิง “ซูเหิง แกว่าไง”
ซูเหิงพยักหน้า “ผมเองก็คิดว่าลงทุนผลิตก่อนเลยก็ดีครับ สิ่งที่เฟยเฟยพูดมาพวกนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารนา”
ซูปิ่งโย่วเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ซูข่งย่นคิ้วเงียบขรึมไปครู่นึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นวางสายตาไปยังเฉินฝานซิงที่นิ่งเงียบอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม
“ฝานซิง หนูว่าไงล่ะ”
เมื่อเฉินฝานซิงที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งถูกเอ่ยชื่อ เธอจึงช้อนสายตามองฝูงชน
แต่ละคนจ้องมองมายังเธอด้วยสีหน้าแววตาที่แตกต่างกันออกไป
“เฉินฝานซิงทำงานให้สกุลซูมาสามปีกว่า การตัดสินใจของเธอในทุกๆ ครั้งล้วนมาจากการมุมมองที่โดดเด่น หนูลองบอกมาสิ ว่าครั้งนี้สกุลซูควรจะลงทุนสร้างล่วงหน้ารึเปล่า”
นัยน์ตาสงบนิ่งกวาดมองไปยังผู้คนเหล่านั้น ก่อนจะหยุดลงตรงใบหน้าของซูข่ง
ซูข่งมองไปยังเฉินฝานซิงด้วยสายตาที่จริงใจและตรงไปตรงมา สื่อว่าเขาต้องการความคิดเห็นจากเธอจริงๆ
เมื่อก่อนซูข่งก็ให้ความจริงใจกับเธออยู่ไม่น้อย
หลังจากที่ผู้เป็นแม่จากไป ความห่วงใยของซูข่งก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ในปีนั้นไม่มีใครที่จะมาจริงใจกับเธอ นอกจากคุณปู่ ชิงจือแล้ว ก็มีซูข่ง นอกจากนั้นยังมีซูเหิงที่คอยอยู่เคียงข้างเธอ
แม้จะมีกันไม่มาก แต่คำถามไถ่สารทุกข์สุขดิบในตอนนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอจดจำน้ำใจนี้ได้
คงไม่มีใครลืมเลือนคนที่ยื่นความอบอุ่นมาให้ในวันที่ตนยากลำบากมากที่สุด
เธอเองก็ไม่ใช่พวกเนรคุณ
“คุณตาคะ จะไปถามเธอทำไมคะ ตอนนี้เธอเป็นศัตรูกับสกุลซูของเรา! จะไปเสนออะไรดีๆ ออกมาได้ยังไง!” หลินเฟยเฟยเป็นคนแรกที่ไม่ยินดีจะฟังข้อเสนอจากเฉินฝานซิง
แม้แต่เจียงหรงหรงเองก็พูดว่า
“ที่รัก ตำแหน่งของเฉินฝานซิงดูน่าอายไปหน่อย ตำแหน่งการงานอย่างคุณซูปิ่งโย่วกับซูเหิง คงไม่ต้องการความคิดเห็นจากเธอหรอกค่ะ…”
“ใช่เลยๆ คุณตา ตระกูลเราคนออกจะเยอะแยะขนาดนี้ ทำไมต้องไปถามเธอด้วยล่ะ ถ้าจะถามเธอ ถามพี่สะใภ้ยังดีซะกว่า!”
หลินเฟยเฟยเล่นกับเล็บที่ตัวเองเพิ่งจะทำไปเมื่อไม่นานนี้ พลางแสดงท่าทีเห็นด้วย ทุกๆ การกระทำของเธอแสดงออกว่าไม่ชอบเฉินฝานซิง
เฉินเชียนโหรวยิ้มน้อยๆ เธอมองไปยังซูข่งวูบหนึ่ง กลับพบว่าเขาไม่แม้แต่จะปรายตามองหลินเฟยเฟยเลยสักนิด ทว่ากลับมองไปยังเฉินฝานซิงอยู่เช่นนั้น ไม่เปลี่ยนท่าทีไปแม้แต่น้อย
นัยน์ตาเธอพลันประกายไปด้วยความร้ายกาจ คนที่นำพาเกียรติยศศักดิ์ศรีมาให้สกุลซูคือเธอ เฉินเชียนโหรว ทำไมถึงจ้องแต่จะฟังความคิดเห็นจากเฉินฝานซิง
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นและความเชื่อใจในดวงตาของนายท่านใหญ่สกุลซูแล้ว เฉินฝานซิงก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเลิกคิ้วขึ้นอย่างครุ่นคิดก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า
“หนูคิดว่า…ไม่ควรผลิตก่อนค่ะ”
หลินเฟยเฟยขำเย็นออกมาเสียงหนึ่ง “ดูสิคะ คุณตา นี่ไม่คิดจะเสแสร้งเลยซักนิด เห็นๆ เลยว่าเธอคิดไม่ดีกับเรา”
“ทำไมล่ะ” ซูข่งถามต่อ
เฉินฝานซิงถอนสายตาหลับมา ยกแก้วน้ำขึ้นจรดตรงริมฝีปาก เก็บซ่อนความเฉยชาในแววตาเธอเอาไว้