ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย - ตอนที่ 731 ส่งตัว / ตอนที่ 732 ขยะทั้งนั้น
ตอนที่ 731 ส่งตัว
จนกระทั่งได้เข้าไปยังห้องรับแขกในคฤหาสน์หลังงามหลังนั้นแล้ว ญาติๆ ทุกคนต่างก็ตีวงเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวเธอ
เฉินฝานซิงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของโซฟา วางมือทาบลงไปบนพนักแขน เบี่ยงกายฟังเสียงเฉินเชียนโหรวร้องเรียกเหล่าลุงป้าน้าอา
“อ่ายโย จิ้งอี๋ เธอนี่โชคดีจริงๆ เลยน้า มีลูกชายหล่อเหลาเอาการแบบนี้ แถมยังหาลูกสะใภ้ที่มีความสามารถแบบนี้มาให้เธอได้อีก ไหนบอกมาสิว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร”
“ฮ่าๆ อันที่จริงมันก็คือความโชคดีของฉันจริงๆ นั่นแหละค่ะ อีกอย่างต้องขอบคุณการเลี้ยงดูมาอย่างดีของอีกบ้านหนึ่งด้วย”
“สวยมากเลยนะ แถมยังมากความสามารถอีก หน้าตาก็ดี รัศมีก็โดดเด่น ลูกสะใภ้ดีๆ แบบนี้ หาที่ไหนไม่มีอีกแล้ว”
เมื่อมีคนอิจฉา ก็ต้องมีคนริษยา หลังจากที่ได้ฟังทุกคนชื่นชมเฉินเชียนโหรวประหนึ่งดอกไม้ดอกหนึ่งไปแล้ว ญาติขี้อิจฉาตาร้อนไม่พอใจขึ้นมา
“แต่หมู่นี้ชื่อเสียงไม่ค่อยดีอยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันว่านะ ไหนๆ ก็เข้าสกุลซูมาแล้ว ต่อไปก็ห่างๆ จากวงการบันเทิงอะไรนั่นสักหน่อยเถอะ มีคนตั้งไม่รู้เท่าไหร่คอยแต่จะจับผิดเธอขนาดนั้น เรื่องดีไม่เคยพูด เรื่องเน่าเสียประโคมไปไกลเป็นพันลี้ สกุลซูของเรา เป็นถึงตระกูลร่ำรวยอันดับต้นๆ ของผิงเฉิง เธออย่าได้ทำให้สกุลซูต้องขายหน้าเชียว พอถึงตอนนั้นก็จะเดือดร้อนไปถึงเธอด้วย!”
ประโยคที่ถูกพ่นออกมานี้ นับได้ว่าเป็นคำที่ระคายหูที่สุดแล้วสำหรับวันนี้ สีหน้าของหยางลี่เวยและเจียงหรงหรงต่างก็ดูไม่สู้ดีนัก ไช่จิ้งอี๋เองก็นึกโกรธและอึดอัดอยู่ในใจเช่นกัน
ถึงยังไงตอนนี้เฉินเชียนโหรวก็เป็นสะใภ้ของสกุลซูแล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมไม่ยอมให้ใครมาทำให้ลูกสะใภ้ต้องอับอาย
อีกอย่าง คนที่พูดคำนี้ออกมายังเป็นถึงน้องสะใภ้เล็กของตัวเองอีก
“น้องสาม จะงานอะไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งนั้น ข้อเท็จจริงในวงการบันเทิง เชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง ดังนั้นชื่อเสียงจะดีไม่ดีจะจับมาโยงกับความเป็นจริงไม่ได้ อีกอย่างใครๆ ก็ต้องมีช่วงเวลาที่ผิดพลาดกันทั้งนั้น…”
“อ้อ ฉันก็พูดไปงั้นแหละ ได้ข่าวว่าวงการนี้ยุ่งเหยิงสุดๆ เป็นกฎที่ห้ามเอ่ยถึง สมัยนี้ค้าขายเนื้อหนังกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ไหนจะโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องอื้อฉาวอะไรนั่นอีก…ไม่กี่วันมานี้ มีข่าวลือว่ากู้เจ๋อเหยียนอะไรนั่นกิ๊กกันกับเชียนโหรวไม่ใช่เหรอ เป็นถึงสะใภ้สกุลซูแล้ว ยังจะมีข่าวว่ามีกิ๊กอะไรอยู่อีก…”
สีหน้าของเฉินเชียนโหรวเองก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เธอแทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่
“คุณป้าสาม ก่อนหน้านี้หนูกับกู้เจ๋อเหยียนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันค่ะ การพบปะกันในวงการมันเป็นเรื่องยากที่จะไม่พูดคุยสนทนากัน เลยเป็นเรื่องที่พวกนักข่าวใส่สีตีไข่กันไปเองทั้งนั้นแหละค่ะ…”
“ใช่แล้วๆ น้าสาม เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พวกนักข่าวซี้ซั้วเขียนขึ้นทั้งนั้นแหละ อีกอย่างการที่เชียนโหรวอยู่วงการบันเทิงก็มีข้อดีกับสกุลซูนะ…”
จู่ๆ เสียงเล็กแหลมเสียงหนึ่งก็เอ่ยดังขึ้น เฉินฝานซิงไม่เงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
จริงสิ ญาติของซูเหิง จะขาดหลินเฟยเฟยไปได้ยังไงกัน
“เฟยเฟย!”
น้ำเสียงของเฉินเชียนโหรวอัดแน่นไปด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่แยกย้ายกันหลังงานครบรอบวิทยาลัยวันนั้น พวกเธอก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
“อื้ม เชียนโหรว...ไม่สิ พี่สะใภ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ…”
หลินเฟยเฟยเองก็ตอบเฉินเชียนโหรวกลับด้วยรอยยิ้ม
เฉินฝานซิงลอบยกยิ้มเย็น ตอนนั้นในงานเลี้ยงของวิทยาลัย เฉินเชียนโหรวโยนความผิดให้หลินเฟยเฟยต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น หลินเฟยเฟยใช่ว่าจะไม่รู้ แต่สุดท้ายตอนนี้ กลับสนิทสนมกับเฉินเชียนโหรวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไร้สมอง
ไม่รู้จริงๆ ว่าเฉินเชียนโหรวกรอกซุปอะไรใส่ลงไปให้เธอ
หลินเฟยเฟยอยู่ในเดรสรัดรูปสายเดี่ยว ผมยาวสยายระบ่า เอวสวยที่โยกย้ายไปมาขณะเดินเสริมให้เธอดูน่าหลงใหลขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อมองอย่างถ้วนถี่ ดูเหมือนว่าเธอจะผ่ายผอมลงไปกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ
เลิกคิ้วขึ้น เฉินฝานซิงไม่ได้สนใจเธออีกเท่าไหร่นัก
แม้ว่าเรื่องตอนนั้นเธอเองก็จะมีเอี่ยวด้วย แต่ว่า…
มันก็เป็นผลกรรมของตัวเองไม่ใช่รึไง
เมื่อหลินเฟยเฟยเห็นเฉินฝานซิง นัยน์ตาคู่นั้นก็พลันถูกย้อมไปด้วยความความชิงชัง
แม้ว่าจะไม่มีหลังฐานเป็นชิ้นเป็นอันมายืนยันได้ว่าคืนนั้นเฉินฝานซิงเป็นคนวางแผนทั้งหมด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉินฝานซิงควรจะได้รับ สุดท้ายเธอกลับกลายเป็น ‘นังโส’ ที่ถูกคนเป็นหมื่นเป็นพันรุมหัวเราะเยาะเสียเอง
ถูกแบนออกอากาศ ถูกผู้เป็นพ่อสั่งห้ามไม่ให้เข้าในคฤหาสน์ของตัวเอง เพื่อจงใจไม่ให้คนอื่นๆ มองเห็นเธอ ทุกๆ วันนอกจากรับประทานอาหารสามมื้อ ก็คือขับถ่ายและเข้านอน
หลังจากนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถูกปล่อยออกมา ก่อนหน้านั้นมีแฟนคลับมาหาเธอ มีทั้งทุ่มเงินขอมีสัมพันธ์กับเธอ ไปจนถึงการสะกดรอยตาม บีบบังคับ และปิดล้อม…
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ต้องขอบคุณสมนาคุณจากเฉินฝานซิง
นังผู้หญิงสมควรตายคนนี้
สายตาดุดันถูกส่งไปยังเฉินฝานซิง ทว่าภาพของเฉินฝานซิงกลับนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังด้วยท่าทีเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง กลับบาดตาเธอเสียจนเจ็บแสบ
รัศมีที่ไม่มีใครเหมือนของเฉินฝานซิงนั้น มักจะทำให้เธอรู้สึกขัดตาอยู่เสมอ
แต่ไหนแต่ไรผู้หญิงมักจะปฏิเสธเพศเดียวกัน
ไร้เหตุผล แต่ก็กลับสมเหตุสมผล
เฉินฝานซิงทำให้คนรู้สึกเกลียด โดยเฉพาะทำให้ผู้หญิงด้วยกันเอง
สองแขนกอดอก หลินเฟยเฟยยืนอยู่ต่อหน้าของเฉินเชียนโหรว ทว่าสายตากลับจ้องมองมายังเฉินฝานซิง พลางเค้นขำเสียงเย็นแล้วพูดว่า
“น้าสาม เฉินเชียนโหรวอยู่ในวงการบันเทิงมานานขนาดนี้ ยังสะสมความนิยมมาได้ไม่น้อย ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะไปเข้าแข่งขันนักปรุงน้ำหอมระดับนานาชาติ กรรมการให้คะแนนเธอไว้สูงมาก ดูเหมือนว่าแชมป์ของปีนี้จะถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเชียนโหรวนะ ได้รับรางวัลสูงสุดในการประกาศรางวัล ชื่อเสียงของเฉินเชียนโหรวจะต้องดังระเบิด ค่าตัวก็จะต้องพุ่งเป็นเรือขึ้นตามระดับน้ำ ผลงานที่ชนะเลิศนั่น สกุลซูไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะได้รับสิทธิ์ในการนำไปพัฒนาได้มากแค่ไหน บวกกับการที่เฉินเชียนโหรวเป็นพรีเซนเตอร์เองด้วย…ลองคิดถึงสกุลซูตอนนั้นสิคะ จะได้ผลพลอยได้มากมายขนาดไหน”
แค่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันชื่นชมกันอย่างไม่ขาดสาย
ผลงานของแชมป์โลก ออกแบบด้วยตัวเอง เป็นพรีเซนเตอร์เอง ผลิตเองขายเอง ระหว่างนั้นก็ประหยัดค่าพรีเซนเตอร์ไปได้อีกเยอะ อีกอย่างค่าลิขสิทธิ์ก็ไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ผลประโยชน์นี้ก็พอที่ให้คนอิจฉาตาร้อนกันไปทั้งชาติแล้ว
เสียงอุทานและความอิจฉาตาร้อนของทุกคนทำให้เจียงหรงหรงและหยางลี่เวยนึกลำพองขึ้นในใจ คางเชิดขึ้นอีกหลายส่วน
เฉินเชียนโหรวคือความภาคภูมิในของพวกเขามาโดยตลอด ไม่ใช่แค่จะฉลาดและว่านอนสอนง่าย เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ยังมากด้วยความสามารถ หลายปีมานี้ ถ้าไม่นับเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ เธอก็แทบจะไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังเลย
รอให้งานประกาศรางวัลครั้งนี้มาถึงแล้ว เธอก็คงจะดังระเบิดขึ้นมาจริงๆ
เกียรติยศและความมั่งคั่งที่เธอนำพามาให้ กล้าถามเลยว่าบนโลกนี้จะมีใครหน้าไหนที่ทำได้อย่างเธอ?
หัวใจของไช่จิ้งอี๋เบิกบานดั่งดอกไม้
การสู่ขอเฉินเชียนโหรวมาได้ แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ นั่นก็คือสกุลซู
วันนี้แค่พูดถึง เธอก็จินตนาการได้แล้วว่า เมื่อวันนั้นมาถึงจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ในชั่วพริบตาเดียวสกุลซูจะพัฒนาไปมากแค่ไหน
ญาติๆ พากันชื่นชมเฉินเชียนโหรวไม่ขาดปาก ยิ่งมองเฉินเชียนโหรว ก็ยิ่งแทบจะเข้าไปลากเธอกลับบ้านไป
เฉินเชียนโหรวถูกชมจนหน้าแดง ทว่าในใจหลับรู้สึกกระหยิ่มใจ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินฝานซิงที่อยู่บนโซฟาไปวูบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังแกว่งแก้วน้ำที่อยู่ในมืออยู่ นิ้วเรียวขาวที่เห็นข้อต่อชัดเจนเคาะลงไปบนแก้วใส มุมปากที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เหมือนกับการถากถาง
เธอขมวดคิ้วมุ่น จนถึงตอนนี้ความไม่แยแสเช่นนี้ของฝานซิง ไหนจะสีหน้าอย่างผู้ชนะนั่นอีก ทำเอาเธอเกลียดชังจนจับขั้วหัวใจ
ตอนที่ 732 ขยะทั้งนั้น
เธอขมวดคิ้วมุ่น จนถึงตอนนี้ความไม่แยแสเช่นนี้ของฝานซิง ไหนจะสีหน้าอย่างผู้ชนะนั้น ทำเอาเธอเกลียดชังจนจับขั้วหัวใจ
แน่นอนว่าหลินเฟยเฟยเองก็รู้สึกขัดหูขัดตานัก เธอเดินกอดอกไปนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตรงหน้าเฉินฝานซิง พร้อมทั้งมองไปยังอีกฝ่ายด้วยยิ้มเย็น
“เป็นไงบ้างล่ะ พี่ฝานซิง ได้ยินมาว่าเธอเองก็เข้าแข่งขันปรุงน้ำหอมเหมือนกันนี่ ได้มากี่คะแนนล่ะ อันดับที่เท่าไหร่ มั่นใจรึเปล่า”
บรรดาลุงป้าน้าอาค่อยๆ พากันหันมองมาทางนี้
“คะแนนเท่าไหร่ไม่จำเป็นต้องพูดหรอกมั้ง ส่วนได้อันดับที่เท่าไหร่…”
เธอช้อนสายตามองไปยังเฉินเชียนโหรววูบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “แน่นอนว่าก็ต้องพอใจอยู่บ้าง”
“เหอะ!”
หลินเฟยเฟยขำเย้ยเสียงเย็น “มั่นใจแล้วยังไง ครั้งนี้เธอก็แค่ไปในนามของจือชิ่น ต่างกับสกุลซูราวฟ้ากับเหว! คะแนนของพี่เชียนโหรวในครั้งนี้ ต้องเป็นแชมป์แน่นนอนอยู่แล้ว อันดับของเธอจะสูงสักแค่ไหน แล้วมันจะยังไง โถ พี่ฝานซิง…ยอมรับซะเถอะ เธอแพ้อีกแล้ว! แพ้ให้เชียนโหรวอีกแล้ว!”
ประโยคสุดท้ายของหลินเฟยเฟย พูดคำเว้นคำราวก็ถูกเค้นออกมาจากไรฟัน
ทุกๆ ครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าหลินเฟยเฟยจะชอบดูเรื่องตลกของเธอมากกว่าเฉินเชียนโหรวเสียอีก
รอยโค้งตรงมุมปากของเฉินฝานซิงยิ่งกว้างขึ้นทุกชั่วขณะ เธอยกน้ำในแก้วขึ้นดื่มจนไม่เหลือสักหยด
จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ “ใครจะไปรู้ล่ะ”
ท่าทีไม่แยแสของเฉินฝานซิงทำเอาหลินเฟยเฟยโกรธจนตัวสั่น
ทุกครั้งหากไม่ใช่เพราะถูกเธอกระแทกเข้าอย่างจัง ก็จะถูกเธออัดด้วยปุยนุ่นเช่นนี้
“ฉันอยากจะเห็นนักว่าตอนนั้นเธอจะหน้าแหกยับเยินขนาดไหน! หวังว่าเธอจะนิ่งให้ได้เหมือนตอนนี้นะ!”
“เฟยเฟย เธอไม่ต้องพูดแล้ว…”
ในตอนนั้นเฉินเชียนโหรวก็เอ่ยขึ้นทันที น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงไปด้วยความหวาดหวั่นและเอาใจ
“พี่คะ ต้องขอโทษด้วยที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
เฉินฝานซิงช้อนสายตาขึ้นมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น สายตาทุกคู่ถูกย้อมไปด้วยความเหยียดหยามและชิงชังอย่างไม่คิดปกปิด
เธอเค้นขำเสียงหนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงไปหยิบกาน้ำขึ้นมาเทน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว
“มีอะไรให้ต้องขอโทษ จุดประสงค์ที่เธอเรียกฉันมา ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้รึไง”
สีหน้าของเฉินเชียนโหรวแข็งทื่อไปเล็กน้อย “พี่คะ พี่พูดเรื่องอะไร…ฉัน…ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ นะคะ…”
“จริงด้วยฝานซิง เมื่อกี้คนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ไม่ใช่เชียนโหรวสักหน่อย แต่หนูก็ไม่ต้องอายไปหรอกนะจ๊ะ เพราะถึงยังไงการแข่งขันนี้ก็ไม่ใช่ทุกสิ่ง ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งต่อไปก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้…”
การพูดการจาของไช่จิ้งอี๋ เอนเอียงไปทางเฉินเชียนโหรว
“อื้ม หนูเองก็คิดว่าไม่เป็นไรเหมือนกันค่ะ ในสนามรบ แพ้ชนะเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แพ้แล้วก็แพ้ไป หากแพ้เพราะความสามารถของตัวเอง มันก็คือความสามารถของตนเอง แต่ชนะเพราะสิ่งที่ไม่ใช่ของของตัวเอง นั่นมันก็…ไม่ต่างอะไรกันกับพวกกาฝากเลย จริงไหมคะ”
เธอเอ่ยกับไช่จิ้งอี๋ ทว่าปลายหางตากลับเหลือบมองไปยังเฉินเชียนโหรว
สีหน้าของเฉินเชียนโหรวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจเธอก็กลับมามั่นใจในตัวเองและสงบนิ่งลงอีกครั้ง
นัยน์ตาสุกใสของเฉินฝานซิงหรี่ลงน้อยๆ เธอจ้องมองเฉินเชียนโหรวอยู่สองวินาที จากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น
ทุกคนไม่รู้ว่าสิ่งที่เฉินฝานซิงพูดถึงอยู่นั้นคืออะไร และก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะพูดตอบไปเช่นไร
“คุยอะไรกันอยู่ครับ”
ตรงหัวบันได ซูเหิงและผู้ชายมีอายุหลายคนกำลังเดินลงมา น้ำเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวล รูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งยังหล่อเหลาเสียจนสาวๆ แทบคลั่ง
ขณะที่ค่อยๆ ก้าวลงมาจากบันไดสูงนั้น เขาก็แสดงท่วงท่าออกมาอย่างสูงส่งและอ่อนโยน
จะว่าไป จริงๆ แล้วใช่ว่าเฉินฝานซิงจะเลือกผู้ชายสักคนตามอำเภอใจ
ตอนนั้นที่ได้ซูเหิงมาอย่างง่ายดายก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
“คุณอา คุณลุง คุณน้า คุณป้า…พี่เหิง...”
เฉินเชียนโหรวก้าวเข้าไปเอ่ยคำทักทายอย่างรู้กาลเทศะ ก่อนที่สุดท้ายเธอจะเดินไปหาซูเหิงด้วยสีหน้าเขินอาย
ความมีกาลเทศะและความน่ารักของเฉินเชียนโหรวทำให้ซูเหิงพึงพอใจไม่น้อย เขายิ้มให้เธออย่างอบอุ่นและปล่อยให้เธอคล้องแขนของตัวเองไป
“อ่ายโยๆ ดูสิๆ เป็นผู้ชายที่รูปหล่อจริงๆ ผู้หญิงก็สวย เหมาะสมกันสุดๆ ทำคนอื่นเขาอิจฉาตาร้อนกันหมดแล้ว”
“จริงด้วย เจริญตาสุดๆ ฉันไม่ได้พูดเพราะเขาเป็นหลานฉันหรอกนะ นายใหญ่สกุลเฉิน นายท่านสกุลเฉิน ได้ลูกเขยแบบซูเหิงของพวกเราเป็นเขยเนี่ย ถือว่าเป็นโชคดีของพวกคุณแล้วนะ!”
เจียงหรงหรงยิ้มออกมาอย่างจริงใจ พลางพยักหน้ารับ “พูดถูกค่ะ เป็นความโชคดีของสกุลเฉินของเรา แถมยังเป็นความโชคดีอันมหาศาลของเฉินเชียนโหรวด้วย ที่หาเขยแบบนี้มาให้สกุลเฉินได้”
สายตาของเฉินเชียนโหรวหันมองไปยังเฉินฝานซิงอีกครั้งผ่านฝูงชน แต่กลับได้พบว่าความสนใจของเธอไม่ได้อยู่ทางนี่
ขณะนั้นเฉินฝานซิงกำลังก้มหน้าลงเล่นโทรศัพท์
ป๋อจิ่งชวน: [ส้วมหลุมอยู่ไหน]
เฉินฝานซิง: [?? ส้วมหลุมอะไรคะ?]
ป๋อจิ่งชวน: [คนท้องบอกว่าคุณไปส้วมหลุม]
เฉินฝานซิงได้ยินป๋อจิ่งชวนพูดเช่นนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้
แม้มันจะมีไม่กี่ตัวอักษร แต่มันก็เต็มไปด้วยคำถากถาง
เฉินฝานซิง: [สกุลซู]
ป๋อจิ่งชวน: [?]
เฉินฝานซิง: [บ้านสกุลซู]
หลังจากนั้นป๋อจิ่งชวนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย
เฉินฝานซิงเองก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ก่อนที่เธอจะพบกับแอดข้อความในไลน์กลุ่ม ‘ไฮโซจอมห่วย’
เมื่อกดเข้าไปดู ก็พบว่าด้านล่างของชื่อกลุ่มแสดงคำว่า ‘กำลังสนทนากลุ่ม’
ก่อนหน้านี้เฉินฝานซิงก็ไม่ได้มีเพื่อนมากนัก นอกจากเพื่อนร่วมงานที่เห็นหน้าค่าตากันทุกวันกับลูกค้า และกลุ่มออฟฟิเชียลของบริษัทแล้ว ในวีแชทของเธอก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลย
นอกจากจะรู้ว่ามันคือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร อย่างอื่นเธอก็ไม่ค่อยถนัดนัก
สำหรับ ‘การสนทนากลุ่ม’ นี้ เธอยังพอเข้าใจฟังก์ชั่นนี้อยู่บ้าง นาทีนั้นเธอก็กดเข้าไปด้วยความฉงน
ทันใดนั้นเสียงของอินรุ่นเจวี๋ยก็ดังเอ็ดตะโรออกมาจากในโทรศัพท์
“แม่งเอ๊ย สลบมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะตื่น กูเป็นเจ้าของวันเกิดนะ ทำไมถึงปล่อยให้กูนอนอยู่ในห้องนั้น”
เสียงคำรามนั้นทำเอาเฉินฝานซิงตกใจจนแทบจะปล่อยโทรศัพท์ให้หล่นลงพื้น
คนทั้งบ้านพากันนมองมายังเธอ
แม้ว่าสีหน้าจะแตกต่างกันไป แต่ก็ไม่เกิดไปกว่าคำว่าตกใจ
“แม่แกคลอดแกออกมายากนักรึไง แกจะเกิดอีกสักกี่วันกันวะ เลยเที่ยงคืนมาแล้ว วันเกิดก็ถือว่าจบลงแล้ว! ไม่ปล่อยให้นอนข้างถนนก็บุญแค่ไหนแล้ว!”
“แม่งมึงเอ๊ย กูปวดหัวจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!”
เฉินฝานซิงเองก็รู้สึกอึดอัด เธอยกโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะออกจากการโทรกลุ่ม
ทว่าเฉินเชียนโหรวกลับเอ่ยขึ้นว่า “พี่คะ เมื่อกี้คนพวกนั้นคือ…”
“เพื่อน”
เฉินฝานซิงพบว่าตอนนี้เสียงในโทรศัพท์เงียบลงแล้ว
“เพื่อน? คงเป็นกลุ่มที่รวมคนประเภทเดียวกันไว้สินะ ฟังจากคำพูดคำจาเมื่อกี้แล้ว พูดอย่างกะรีบไปลงอเวจีที่ Low จริงๆ! แต่อย่างว่าละนะ มันก็ยากจริงๆ ที่เธอจะมีใครมาคบเป็นเพื่อน”
สีหน้าของเฉินฝานซิงขรึมลง น้ำเสียงก็เย็นตามลงมาสิบกว่าองศา
“หลินเฟยเฟย จะปากเสียก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง ฉันก็ขี้เกียจจะให้ค่าเธอนะ แต่อย่ามาได้คืบเอาศอก หากพวกเขาต่ำ แล้วอย่างเธอล่ะ เรียกว่าอะไร”
“แก…”
หลินเฟยเฟยพลันลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา “แก…เฉินฝานซิง ฉันว่าแกจงใจมาที่นี่เพื่อหาเรื่องกันใช่ไหม แค่บอกว่าพวกนั้นต่ำแล้วมันยังไง ฉันพูดผิดไปงั้นเหรอ แกคบกับเพื่อนดีๆ ได้ซะที่ไหน! ก็มีแต่พวกขยะทั้งนั้นแหละ!”