ก่อนออกจากวังซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องต่างไปเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์เสียก่อน ทั้งนี้เพื่อป้องกันคนผู้นี้เรียกหาพวกเขาในยามที่ไม่อยู่ อย่างน้อยการมาบอกกล่าวเจ้าเหนือหัวด้วยตนเองก็เป็นการแสดงความจงรักภักดีประการหนึ่ง ทั้งเพื่อป้องกันผู้อื่นใส่ร้ายว่าพวกเขากำลังซุ่มกำลังคิดคดทรยศ
ซู่อ๋องลู่หนิงหวังและอวิ๋นอ๋องหานเซียว ได้รับแต่งตั้งให้เป็นโอรสบุญธรรมของฝ่าบาทตั้งแต่วันที่ถูกส่งไปชายแดน พระองค์ไม่พบหน้าพวกเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
บัดนี้ผ่านมานับสิบกว่าปีแล้วแม้ว่าหลังจากกลับมาจากสนามรบครานี้พวกเขาจะเข้าเฝ้าหลายครั้งแต่พระองค์กลับรู้สึกว่ามองคนทั้งสองนี้เช่นไรก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
อ๋องทั้งสองอยู่ในชุดคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีดำ เส้นผมสีดำราวหมึกถูกรวบตึงครอบเอาไว้ด้วยกวานเงิน ดวงตาคมกล้าเป็นประกายดุจดวงดารา ใบหน้าคล้ายรูปปั้นของเทพเซียนที่ไร้ซึ่งอารมณ์อันใดคล้ายจะละแล้วซึ่งเรื่องของทางโลกอย่างสิ้นเชิง แต่ผู้คนย่อมรู้กันดีว่าสองอ๋องผู้นี้สังหารคนมานับไม่ถ้วนแล้ว
“พวกเจ้าทำป้ายหยกประจำตัวหายหรือ เหตุใดไม่ห้อยเอาไว้ที่เอว?”
โอรสสวรรค์เป็นคนละเอียดรอบคอบ ของที่พระองค์สั่งทำย่อมต้องใส่พระทัยไม่น้อย หลายปีมานี้รู้สึกผิดกับบุตรบุญธรรมทั้งสองอยู่มากที่ส่งพวกเขาไปตกระกำลำบาก แม้พวกเขาจะไม่เคยปริปากพระองค์ก็รู้ว่าพวกเขาผ่านเรื่องลำบากอันใดมาบ้าง
ซู่อ๋องลู่หนิงหวังเป็นฝ่ายตอบ
“มอบให้ท่านเลขาไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทเลิกพระขนงเป็นเชิงถามว่าด้วยเหตุใด แต่พวกเขาทั้งสองยังยืนนิ่งพระองค์จึงตรัสถามต่อ
“อ้ายเจิงหรือ เขาเอาป้ายหยกของพวกเจ้าไปด้วยเหตุใด?”
ครานี้อวิ๋นอ๋องกลับเบ้ปากน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจแล้วตอบคำถามของฝ่าบาทด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ได้ถามพ่ะย่ะค่ะ แต่หากมีผู้นำป้ายหยกทั้งสองชิ้นมาใส่ร้ายว่าเป็นพวกกระหม่อมที่กำลังคิดก่อกบฏ ก็ให้พระองค์ประหารอ้ายเจิงเสีย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันทั้งสองอย่างแน่นอน”
ฝ่าบาททรงสรวลออกมา เดิมทีคิดจะทำชิ้นใหม่ให้พวกเขาแต่ในเมื่ออยู่ในมือของอ้ายเจิงแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีอันใด อาจจะดีกว่าให้สองอ๋องนี้เห็นเป็นของไร้ค่าจะโยนทิ้งวันใดก็ยังไม่รู้
ฝ่าบาทเองก็ขี้คร้านจะเอาความ คนที่ถูกเลี้ยงดูด้วยทหารผู้หนึ่งที่พลีชีพในสนามรบไปแล้วย่อมมีความคิดที่ไม่เหมือนคนทั่วไป
พระองค์สั่งให้พวกเขานั่งลงเพื่อดื่มน้ำจัณฑ์เป็นเพื่อน แล้วเอ่ยเข้าเรื่องที่ต้องการปรึกษาทันใด
“เรื่องชายาของพวกเจ้า เราเห็นควรว่า”
ซู่อ๋องกลับไม่ปล่อยให้พระองค์ได้ตรัสต่อ
“ไม่ลำบากพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ เราทั้งคู่กำลังไปรับนางเข้าวัง หลังจากนั้นขอฝ่าบาทประทานดินแดนอันสงบสักที่เป็นรางวัลก็พอ พวกเราจะไปใช้ชีวิตกันที่นั่นไม่ยุ่งเกี่ยวกับวังหลวงอีก”
ฝ่าบาทยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อย
“พวกเจ้าว่าอย่างไรนะ มีแล้วหรือพระชายาน่ะ อยู่ที่ใด เป็นบุตรสาวบ้านใดกัน”
อวิ๋นอ๋องตอบตามตรง
“เรื่องนี้กระหม่อมจะกลับมาทูลภายหลังพ่ะย่ะค่ะ เข้าวังมาวันนี้ก็เพื่อจะกราบทูลเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ หากแต่งงานมีพระชายาแล้ว ฝ่าบาทและขุนนางพวกนั้นคงไม่ยัดเยียดบุตรสาวของพวกเขาให้กระหม่อมทั้งสองอีก”
“แม้แต่เป็นบุตรสาวของผู้ใดพวกเจ้ายังไม่รู้ นี่คิดจะหาคนมาตบตาข้าหรือ ผู้ที่จะเป็นพระชายาของเจ้าทั้งสองย่อมต้องมีฐานะที่เหมาะสม ใช่ว่าจะจับผู้ใดมาก็ได้”
ซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องย่อมมีเหตุผลของตนเอง
“กระหม่อมทั้งสองออกรบมานับสิบปี ไม่สนใจเกียรติฐานะไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง เดิมทีคิดตายในสนามรบ แต่บัดนี้สงครามสงบสุขจึงได้มีโอกาสกลับมาถวายความจงรักภักดี เรื่องที่มีพระชายาก็เพื่อฝ่าบาทสบายพระทัย มีบุตรสืบวงศ์สกุลเช่นนี้ก็คงพอกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทไร้วาจาที่จะตรัสแล้ว ย้อนกลับไปในวันที่ส่งพวกเขาไปชายแดน เด็กชายที่มีอายุเพียงแปดขวบและหกขวบในยามนั้น กลับไม่มีท่าทางหวาดกลัวยังเห็นความยินดีที่จะไปในดวงตาอันแข็งกร้าวของพวกเขาเสียอีก
ในวันนี้ก็เช่นกัน พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งอำนาจในเมืองหลวง มีเพียงชายแดนเท่านั้นที่พวกเขาต้องการ แม้จะถูกคัดค้านจากเหล่าขุนนางด้วยกลัวว่าหากยกดินแดนให้สองอ๋องปกครองแล้วอาจคิดรวบรวมคนก่อกบฏ แต่พระองค์หาได้คิดเช่นนั้น
“เช่นนี้ก็ตามใจพวกเจ้า เราเองก็เหนื่อยกับเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ขอเพียงธรรมเนียมเล็กน้อยพานางทั้งสองมาหาเราและไทเฮาเพื่อดูหน้าดูตารู้จักกันเสียหน่อย เข้าใจหรือไม่ พวกเจ้าไปรับนางมาอย่างไรก็อย่าให้เสียเกียรติของอ๋อง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องทั้งสองนับว่าได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทอย่างเหลือล้น จะมีผู้ใดบ้างที่ฝ่าบาทจะต้องมาอ้อนวอนให้พาภรรยาของตนมาพบผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อบุญธรรมของสามีกันบ้าง
“ว่าแต่นางมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร พระชายาทั้งสองคนของพวกเจ้า”
อวิ๋นอ๋องยกมุมปากใบหน้าเยือกเย็นยิ่ง
“สตรีนางเดียวพ่ะย่ะค่ะ เราสองคนจะแต่งพระชายาคนเดียวกัน ส่วนชื่อนั้นกระหม่อมลืมไปแล้ว เพียงแต่ได้พบนางโดยบังเอิญและอ้ายเจิงบอกว่านางอาจกำลังตั้งครรภ์ลูกของกระหม่อมทั้งสองอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
แน่อนว่าฝ่าบาททรงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“นี่พวกเจ้า”
คราวนี้ฝ่าบาทไม่อาจตรัสคำใดได้จริง ๆ พระองค์รู้ว่าทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมา แต่คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ภรรยาพวกเขาก็ยังหมายหมั้นที่จะแต่งกับสตรีคนเดียวกัน
แต่ว่าสองคนนี้ประหลาดยิ่ง กระทั่งชื่อแซ่ของสตรีนางนั้นพวกเขาก็ยังลืม เช่นนั้นฝ่าบาทคิดว่าหากเรียกอ้ายเจิงมาสอบถามคงจะได้เรื่องกว่าเป็นแน่
เมื่อคนทั้งสองเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำอื่นแม้แต่ประโยคเดียว ฝ่าบาทตรัสถามก็ตอบเพียงคำสั้น ๆ นิสัยนั้นถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยน ฝ่าบาทจึงทรงเหนื่อยหน่ายที่จะสนทนาแล้วเช่นกัน
“เอาเถิดพวกเจ้ารีบพานางมาพบเราโดยไว หากนางตั้งครรภ์ลูกของพวกเจ้าจริงเราก็ยินดียิ่ง เรื่องพระชายาจะได้มีข้ออ้างกับเหล่าขุนนางพวกนั้น อีกทั้งเรื่องดินแดนชายแดนที่พวกเจ้าขอเราสัญญาว่าจะดูที่เหมาะสมแล้วยกให้พวกเจ้าสองพี่น้องปกครองไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดอีก”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากออกจากวัง ซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องไม่ได้คิดที่จะรั้งอยู่ที่จวนของตนเอง พวกเขาออกจากเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วยิ่ง
ความจริงในใจของซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องหาได้ห่วงนางผู้นั้น ทั้งยังหวังให้นางตั้งครรภ์พื้นฐานบ้านเดิมของนางจากที่อ้ายเจิงบอกก็ไม่ได้มีฐานะต่ำต้อย แม้จะเป็นบุตรสาวของอนุก็นับว่ามีความงามและความเก่งกาจเหมาะสมทุกประการ
เรียกได้ว่านางเข้ามาในชีวิตของพวกเขาถูกจังหวะพอดี
สองอ๋องหาได้มีความรู้สึกอื่นใดต่อนางเพียงคิดใช้นางเพื่อเป็นตัวตัวประกันจากฝ่าบาท เพื่อให้พวกเขาหลุดพ้นจากวังหลวงที่ไม่อยากเข้ามาข้องแวะด้วยอีก
หากเร่งเดินทางเช่นนี้ภายในห้าวันต้องถึงซูอานเป็นแน่ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ใจของทั้งคู่ลิงโลดยิ่งกว่านกที่กำลังโผบินบนท้องฟ้า
สองวันผ่านมาหนานอิงนอนหนาวสั่น หลังจากถูกน้ำเย็นสาดเข้าร่างเต็ม ๆ อีกทั้งยังมีบาดแผลที่ถูกทำร้าย แม้จะได้ยาจากบ่าวที่แอบช่วยเหลืออาการป่วยของนางก็ยังไม่ทุเลา
เรือนขังทาสแห่งนี้มีเพียงผ้าห่มผืนบางและฟางที่ใช้ปูนอน อากาศที่เย็นจนเกือบจะฆ่าคนตายได้เช่นนี้ทำให้สตรีทั้งสองเกือบจะสิ้นใจ
จนกระทั่งก่อนรุ่งสางบ่าวคนหนึ่งแอบเอายาต้มมาให้หนานอิงทั้งยังมีโจ๊กร้อนหอมกรุ่นมาแบ่งให้นางกับอาโจวคนละถ้วย หนานอิงไม่หิวเลยสักนิดแต่นางไม่อยากตายนางจึงฝืนใจกินข้าวและกินยาจนหมด
แต่อาการป่วยของนางค่อนข้างรุนแรง หนานอิงเริ่มอาเจียนและเกิดหนาวสั่น อาโจวตกใจจนร้องไห้เมื่อเห็นสภาพของหนานอิงในยามนี้
“ช่วยตามท่านหมอที ฮือ ฮือ ช่วยบอกนายท่านทีว่าคุณหนูไม่สบาย ผู้ใดก็ได้”
อาโจวร้องไห้ส่งเสียงดังตลอดช่วงเช้า ข่าวเรื่องหนานอิงถูกขังอยู่ที่เรือนทาสล่วงรู้ถึงหูท่านหนานจนได้ เขาตำหนิฮูหยินใหญ่อย่างรุนแรง
“ข้าบอกให้ปล่อยนางไปเหตุใดเจ้าจึงขังนางเอาไว้ในเรือนทาส ไม่ฟังคำสั่งข้าแล้วหรือ”
ฮูหยินใหญ่พยายามทำใจดีสู้เสือแย้มยิ้มแล้วเอ่ยอย่างมีเมตตา
“ท่านพี่ นางเจ็บเพียงนั้นท่านจะปล่อยนางไปได้อย่างไร นางเดินเข้ามาที่นี่คนเห็นทั้งเมือง ชื่อเสียงของสกุลหนานเองก็ด่างพร้อยเพราะนางไปแล้ว หากชาวบ้านเห็นนางออกไปทั้งที่ยังบาดเจ็บเช่นนั้น ท่านคิดว่าพวกเขาจะคิดว่าท่านเป็นคนเช่นไร ปากคนยาวกว่าปากกา คงได้นินทาว่าท่านละทิ้งบุตรสาวที่น่าสงสารเช่นนั้น ตัวข้าที่ขังนางเอาไว้ที่เรือนทาสก็เพราะเกรงว่าจะเกะกะขวางหูขวางตาท่านพี่เข้า ให้นางอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วเราหาทางกู้ชื่อเสียงกลับมาจะไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
คำพูดของฮูหยินใหญ่ย่อมมีเหตุผลค่อนข้างมาก อีกทั้งตั้งแต่ชื่อเสียงของหนานอิงพังพินาศดูเหมือนว่ากิจการเครื่องหอมของเขาจะซบเซาลงทันตาเห็น
บัดนี้ยังได้ทางบ้านเดิมของฮูหยินใหญ่ช่วยเหลือในการเปิดตลาดส่งสินค้าไปยังแคว้นอื่น ความหวังที่จะกลับมาทำกำไรได้เช่นวันวานจึงพอจะมีบ้าง ท่านหนานจึงเห็นความสำคัญของฮูหยินใหญ่แล้ว เขาจึงไม่ได้ตำหนิสิ่งใดอีก
แต่ในเมื่อเรื่องหนานอิงล้มป่วยในคฤหาสน์ล่วงรู้ถึงหูท่านหนานแล้วเขาจึงสั่งให้หมอไปช่วยรักษาหนานอิง
“อย่าให้นางตายที่นี่ให้คนนินทาว่าร้ายสกุลหนานว่าแล้งน้ำใจต่อนางอีก หากนางหายแล้วส่งนางออกไปเงียบ ๆ อย่าให้ผู้ใดรู้เห็น”
ฮูหยินใหญ่แม้จะใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กลับกำมือแน่นนางย่อมรู้ว่าท่านหนานอย่างไรก็ยังอาลัยบุตรสาวผู้นี้อยู่บ้าง แต่นางก็ไม่ได้ขัดขวางการรักษา ในใจของนางยังมีแผนการร้ายเพื่อกู้ชื่อเสียงของสกุลหนานให้กลับมา
อีกทั้งพรุ่งนี้คุณชายเหยียนก็จะมาพบหนานอิงตามที่นางนัดแนะเอาไว้แล้ว คราวนี้อย่างไรคุณชายเหยียนก็ไม่อาจรอดพ้นจากการเป็นบุตรเขยของนางไปได้เป็นแน่ ฮูหยินใหญ่ในช่วงนี้จึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งที่แผนการที่วางไว้ทั้งหมดสำเร็จโดยไร้อุปสรรค์
คิดจะยกตนขึ้นมาเทียบชั้นกับนางไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ชาติหนานอิงและมารดาของนางจึงจะมีวาสนา
เมื่อได้รับยา หนานอิงมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อบ่าวเห็นท่านหนานใจดีกับหนานอิงแล้วจึงกล้าที่จะนำผ้าห่มและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้นาง ถึงจะเป็นเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ ของบ่าวก็ตามที ข่าวของผู้เป็นมารดาถูกถ่ายทอด
มารดาของนางกำลังล้มป่วยเพราะตรอมใจเรื่องของนาง หนานอิงแม้จะป่วยแต่นังยังฝืนใจจึงเขียนจดหมายสั้น ๆ ฉบับหนึ่งให้บ่าวผู้นั้นแอบส่งให้มารดาว่านางปลอดภัยและสบายดี
อาโจวคอยเฝ้าดูแลหนานอิงไม่ห่างจนกระทั่งวันต่อมาหนานอิงก็ไม่มีอาการหนาวสั่นแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนในยามที่หนานอิงล้มป่วย กว่าจะดื่มยาได้แต่ละชามล้วนยากเย็นแสนเข็ญ แต่ในยามนี้สิ่งที่หนานอิงกลัวที่สุดกลายเป็นความตาย ไม่ว่าจะเป็นยาขมเพียงใดหนานอิงก็ไม่รีรอที่จะดื่มจนหมด
แต่นางยังอ่อนด้อยยิ่ง ไม่รู้ว่ายาที่ตนเองดื่มน้ำนอกจากจะรักษาอาการป่วยแล้ว ฮูหยินใหญ่ยังแอบให้คนใส่บางสิ่งเข้าไปด้วย
วันต่อมาคุณชายหวังมาหาหนานอิงตามที่ฮูหยินใหญ่ให้คนส่งจดหมายไปนัดหมาย ยามโหย่วช่วงตะวันโพล้เพล้ให้เขารีบมาที่จวนเนื่องจากท่านหนานจะไม่อยู่บ้านในยามนี้
หวังเหยียนเตรียมอาหารบำรุงและยาบำรุงชั้นดีมาให้หนานอิงหลายอย่าง ตั้งใจว่าหลังจากวันนี้จะขอร้องท่านแม่ให้มาสู่ขอหนานอิงเป็นอนุในเรือนของตน
ด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมเมื่อฮูหยินใหญ่ออกมาพบเขา ก็ให้คนพาหวังเหยียนไปที่เรือนด้านหลังทันใด
“หนานอิงป่วยหนัก หลานชายต้องระวังสักนิดนางอยู่เรือนท้ายจวนข้าจะให้คนพาเจ้าไป”
“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
บ่าวรับใช้ของหวังเหยียนไม่ได้รับอนุญาตให้ไปกับเขา จึงมีเพียงคนของฮูหยินใหญ่เท่านั้นที่นำทาง คฤหาสน์ของสกุลหนานใหญ่โตราวกับพระราชวัง มีเรือนเล็กเรือนน้อยแยกเป็นชั้น ๆ ถูกแบ่งแยกเป็นสัดส่วนด้วยลานกว้างของแต่ละเรือน
หวังเหยียนเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเรือนเล็กหลังหนึ่ง
“คุณชายเชิญด้านในเจ้าค่ะ คุณหนูรออยู่ในนั้น”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นจากไปแล้ว หวังเหยียนเอ่ยปากทัดทานบ่าวผู้นั้นไม่ทัน เขาเป็นบุรุษส่วนหนานอิงเป็นสตรีจะอยู่กันตามลำพังได้อย่างไร
แต่เมื่อนึกถึงเหตุผลแล้ว หนานอิงในยามนี้หาใช่คุณหนูผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป ผู้ใดก็รู้ว่านางผ่านสิ่งใดมาบ้าง อีกทั้งเขาเองก็ยังคิดรับนางมาเป็นภรรยา ด้วยความคิดถึงนางสุดหัวใจในยามนี้ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามเขาได้อีกต่อไปแล้ว
MANGA DISCUSSION